ลอยกระทงผ่านไป...ปีใหม่กำลังมา ...วาเลนไทน์ยังคอยท่า...


เรื่องราวความห่วงใยวัยรุ่น โดยเฉพาะสาวๆ ที่มักตกเป็นเหยื่อทางเพศแบบที่เต็มใจแต่ไม่รู้ตัว กำลังเป็นสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย โพลสำนักหนึ่งระบุว่า ช่วงเทศกาลลอยกระทง วัยรุ่นมีโอกาสที่จะเสียสาวเสียหนุ่ม ถึงร้อยละ 75.7 สาเหตุเพราะได้ออกไปเที่ยวด้วยกันตามลำพัง และบรรยากาศพาไป คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายก็คงจะตามลูกไม่ทันอีกตามเคย แล้วก็ต้องมาก่ายหน้าผากกลุ้มใจไปวันๆ
เด็กรุ่นใหม่มองการเสียตัวเป็นเรื่องธรรมดา แถมคิดว่าเป็นแค่เรื่องของการแสวงหาความสุขให้แก่ชีวิตไม่เห็นเป็นอะไร
อายุของเด็กวัยรุ่นที่จะเสียตัวน้อยลง เรื่อยๆ จนน่าเป็นห่วง นั่นหมายถึง เราก็จะมีคุณแม่วัยรุ่นอายุน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

ยุคปัจจุบันนี้ ไม่เฉพาะลูกสาวที่น่าห่วง แต่ลูกชายก็น่าห่วงไม่แพ้กัน เพราะการเสียตัวของพวกเธอและพวกเขาเหล่านั้น มักจะแลกด้วยวัตถุเงินทองตอบแทนกลับมา เมื่อยิ่งได้ (เงิน) ก็ยิ่งยินดีที่จะเสีย (ตัว)

การเสียตัวของลูก อาจไม่ได้เกิดจากการสำส่อนหรือใจแตก แต่เกิดจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ในโรงเรียนต่างๆ มีการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างครูกับนักเรียน หรือแม้แต่นักเรียนกับนักเรียนอยู่ไม่น้อย

คนที่มักล่วงละเมิดทางเพศเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ มักเป็นคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นต่างเพศและ/หรือเพศเดียวกัน เช่น ครูที่โรงเรียน คนที่บ้านโดยเฉพาะพ่อ แม้แต่ในวัดก็อาจจะไม่ปลอดภัยอีกแล้ว

เด็กวัยรุ่นยอมเสียตัว อาจจะเพราะต้องการเงินมาซื้อวัตถุตามสมัยนิยม และที่ห้ามมองข้ามไปคือ การเสียตัวเพื่อแลกกับยาเสพติดหรือใช้ควบคู่กันไป เมื่อติดยาก็อาจจะติดเซ็กซ์ร่วมด้วย นอกจากนี้ บางส่วนก็ถูกบังคับหรือถูกหลอกก็มี

ส่วนน้องๆ วัยรุ่นก็ควรคิดและตระหนักอยู่เสมอว่า 
ความสนุกชั่ว ครั้งชั่วคราว ไม่ใช่สุขถาวรและแท้จริง อย่าได้ฝันว่าจะเจอรักแท้กับคนที่เราปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้โดยง่ายดาย
มุมมองเรื่องการเสียตัว จะมองว่าของใหม่ย่อมดีกว่าเสมอ วันนี้คุณเป็นของใหม่ แต่ไม่มีของใหม่ไหนจะใหม่ตลอดกาล พึงเตรียมตัวรับมือกับอารมณ์ของการถูกทำให้เป็นของเก่า แล้วจะต้องมานั่งฟูมฟายเสียอกเสียใจไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรที่ดีเกิดขึ้น

บ่อยครั้งที่การเสียตัวจะนำมาซึ่งผลกระทบเสียหายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท้องในเวลาที่ไม่ควรท้อง ปัญหาการทำแท้ง การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การสูญเสียโอกาสทางการเรียน การทำงาน และอนาคตในการที่จะได้เจอคนดีๆ ร้ายสุดก็คือ การเสียชีวิต

การปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำให้คนส่วนใหญ่ดูถูก และคุณอาจจะหมดคุณค่าในสายตาคนดีๆ และอาจมีเพียงแค่มูลค่าในการเป็นที่ระบายความใคร่ของใครบางคนเท่านั้น

การหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการเสียตัว หรือเรื่องเพศนานๆ มักสะท้อนว่า คุณน่าจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคอารมณ์แปรปรวน ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที

สิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ควรทำ เพื่อป้องกันการเสียตัวก่อนวัยอันควรของลูก ก็คือ เพิ่มเวลาในการสังเกตพฤติกรรมลูกๆ ให้เวลาพูดคุยทำความเข้าใจ และให้ความอบอุ่น โดยเฉพาะลูกวัยรุ่น แม้ต้องการอิสระ แต่ลูกวัยรุ่นก็ยังต้องการพ่อแม่คอยหนุนหลังอยู่ตลอดเวลา

เริ่มฝึกวินัยตั้งแต่ลูกยังอายุน้อยๆ เพราะการที่ลูกมีวินัย ลูกจะรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้นด้วย พ่อแม่และครูอาจารย์ ควรทำตัวให้เข้าใจ และเป็นที่ไว้วางใจเวลาที่เด็กมีปัญหาจะได้กล้าเข้ามาปรึกษา

หากลูกพลาดพลั้ง อย่าซ้ำเติม ควรให้อภัย ตั้งสติหาทางแก้ไข ด้วยการปรึกษาผู้มีประสบการณ์ อย่าปล่อยให้ค่านิยมทางสังคมเยียวยากันเอง เพราะอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

เด็กวัยรุ่นเองพึงระลึกและท่องให้ขึ้นใจว่า 
ทุกครั้งที่มีความต้องการทางเพศ ไม่จำเป็นต้องระบายทุกครั้ง 
การหาทางออกด้วยวิธีอื่น นอกเหนือจากการมีเพศสัมพันธ์ ก็ช่วยบรรเทาความกำหนัดได้ เช่น การออก กำลังกาย ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ตนเองชอบ 

หากลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ ควรดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำความผิด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป อย่ากลัวอิทธิพลต่างๆ เพราะปัจจุบันมีองค์กรให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายมากมาย
เสียตัวขนาดไหน ยังไม่เสียใจที่เสียรู้และเสียคุณค่าในการมองตน 
อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่ความผิดติดตัวตลอดไป ถ้าเริ่มต้นแก้ไขและหยุดปล่อย ตัวปล่อยใจตั้งแต่วันนี้ หันกลับมาดูแลตนเองกันดีกว่า คนที่มีคุณค่า ใครๆ ก็อยากได้ โดยไม่ต้องไปเที่ยวแจกให้ใครฟรีๆ...

ผ่อนคลายที่ชายทะเล


ความทรงจำที่ประทับใจอย่างมากหลายปีก่อน คือการได้ไปเที่ยวในที่ที่ตนเองโปรดมากๆ นั่นคือ ชายทะเลและเกาะทางภาคใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน แม้เท้าจะเหยียบย่ำไปบนพื้นทรายร้อนๆ แสงแดดจะแผดเผาตามร่างกายจนแสบไปหมด แต่ก็มีกลิ่นอายของทะเลที่โปรดปราน อันเป็นที่มาของความสุขทางใจมากมายเหลือเกิน

สิ่งที่อดทำไม่ได้คือ การลงไปนอนกองอยู่ตรงนั้น เอาหูแนบกับพื้นทราย ฟังเสียงคลื่นกระทบชายหาดและเสียงเรือหางยาว ที่แล่นอยู่ไกลๆ ความทรงจำเหล่านี้ ถูกบันทึกไว้ในโสตประสาท แม้จะหลายปีผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเลือนหายไป เพราะเรียกออกมาใช้ประโยชน์ ในยามที่รู้สึกเครียดจากการทำงานและเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอยู่เสมอ

สมองของคนเรามีข้อดีมากๆ คือ มีความสามารถจดจำทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีได้เกือบทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องรับรู้เรื่องเหล่านั้นพร้อมกันทีเดียว

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราคงอยู่ไม่ได้ เพราะความคิดคงตีกันในสมอง เหมือนกับคนที่ป่วยทางจิต อารมณ์แปรปรวน ในสมองมีแต่ความสับสนปนเปเรื่องราวต่างๆ ไปหมดจนขาดสติ แต่ข้อเสียของสมองคนเราอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีปุ่มลบทิ้ง (delete) เหมือนในคอมพิวเตอร์

วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่เครียดได้ คือ ทำอย่างไรให้ความคิดที่เป็นลบ หรือความเครียดอ่อนแรงลงไป ด้วยการเติมสิ่งที่เป็นบวก หรือความสุขให้มีพลังมาทดแทน

วิธีเพิ่มพลังเซลล์สมองแห่งการผ่อนคลายแบบง่ายๆ
เริ่มต้นบอกตัวเองทุกวันว่า ฉันจะดูแลจิตใจของฉันทุกเวลา โดยเฉพาะในยามที่อ่อนล้าหมดกำลังใจ ข้อนี้สำคัญที่สุด ตราบใดที่คุณยังลังเลเรื่องการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะสุขภาพทางกายและใจ แถมบางคนก็มัวแต่ดูแลคนอื่น จนตัวเองเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธใดๆ รับรองได้ว่า คำแนะนำข้อถัดไปก็คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน

เมื่อบอกตัวเองแล้ว หันมาตั้งใจหาสิ่งที่ดีๆ ที่จะนำมาเข้าสู่ความคิดและจิตใจของตนเอง ด้วยการคิดทบทวนว่า กิจกรรมใดที่เราชอบทำ โดยเฉพาะการเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หาประสบการณ์ใหม่ๆหรือเติมเต็มประสบการณ์ดีๆ ให้กับจิตใจของเราอยู่เสมอๆ เพราะการเพิ่มพลังแบบนี้ ก็เหมือนการไปชาร์จแบตเตอรี่ให้ชีวิตของเราเอง อย่ามัวแต่นั่งเครียด หรือวิตกกังวลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม หรือจมอยู่กับงาน เพราะยังไงก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เติมความรู้สึกที่เป็นบวกให้กับสมองและความคิดของตนเอง ด้วยการเข้าหาสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด อย่าลืมว่าคนเราเกิดมาจากธรรมชาติ เราอยู่กับธรรมชาติมายาวนาน การห่างไกลจากธรรมชาติ เป็นตัวเพิ่มความเครียดที่ดีที่สุด การหาประสบการณ์จากการท่องเที่ยว หรือบำเพ็ญประโยชน์ให้กับธรรมชาติและสังคมรอบๆ ตัวคุณ และเพิ่มเติมว่า หากคุณสามารถอยู่ห่างๆ เทคโนโลยีทั้งหลายไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการหมกมุ่นอยู่กับสื่อสังคมออนไลน์ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะช่วยให้จิตใจสงบขึ้นได้มาก เนื่องจากไม่มีสิ่งมารบกวนจิตใจจนมากเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ การผ่อนคลายทางร่างกาย เช่น การไปนวด ไปสปา ออกกำลังกาย เช่น โยคะหรือจ๊อกกิ้ง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลตนเองและให้ผลดีกับเซลล์สมองของเราเช่นเดียวกัน

รู้ไหมว่า เซลล์สมองของคนเราถูกทำลายไปตามธรรมชาติทุกวัน และจะถูกทำลายมากขึ้นกว่าปกติ เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น จากการหมกมุ่นอยู่กับความเครียด วิตกกังวลและโดยเฉพาะความโกรธ การอยู่คนเดียวเงียบๆ เป็นการให้เวลากับสมองในการผ่อนคลาย จากอารมณ์ที่รบกวน จะทำให้สมองได้ปรับคลื่นใหม่ ที่ไม่ใช่คลื่นแห่งการทำลายเซลล์สมอง จะเป็นการช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ดี โดยเฉพาะเซลล์มองที่เกี่ยวข้องกับ “ความจำ”

หลักการแห่งธรรมะ เป็นสิ่งสำคัญต่อการปรับสภาพความตึงเครียดของสมองให้ผ่อนคลายขึ้น มีรายงานการวิจัยบอกว่า การนั่งสมาธิและการวิปัสสนา จะช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น และมีความสุขขึ้นโดยอัตโนมัติ 

ทั้งนี้และทั้งนั้น การกระทำดังกล่าวควรมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ ไม่แนะนำให้คนที่จิตใจสับสนมากๆ ไปนั่งวิปัสสนา เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม

หากคิดอะไรยังไม่ออกก็อย่าลืม “การนอนหลับพักผ่อน” ให้เพียงพอก่อน ถือว่าเป็นตัวจุดประกายความคิดอื่นๆ ขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่แนะนำให้นอนมากจนเกินไป เช่น เกินวันละ 10 ถึง 12 ชั่วโมง อาจจะยิ่งทำให้สมองเฉื่อยชา เชื่องช้า และติดการนอนจนไม่อยากออกไปไหน อารมณ์อาจจะหดหู่แทนที่จะสดชื่น เมื่อพักผ่อนเต็มที่อารมณ์ดีขึ้น เชื่อว่า เดี๋ยวโปรแกรมท่องเที่ยวคงจะพรั่งพรูจนแทบจะเที่ยวกันไม่ทัน

ปลายปีแบบนี้ ฝนก็ตกน้อยลง อากาศเริ่มเย็นสบาย ฤดูกาลท่องเที่ยวและการเฉลิมฉลองของคนไทย เริ่มมาถึงอีกครั้งหนึ่ง คุณจะเก็บตัวอยู่ในบ้านหรือในห้องสี่เหลี่ยมหรือ 

ออกไปสร้างประสบการณ์แห่งความสุข บันทึกไว้ในความทรงจำดีกว่าไหม

เผื่อวันใดวันหนึ่งต้องเรียกใช้ จะได้มีสำรองเยอะๆ

ชวนท่องเที่ยวจันทบุรี

งาน “เปิดโลกอัญมณีและของดีเมืองจันท์” ครั้งที่ 9 จัดโดยจังหวัดจันทบุรีร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี งานจะมีในวันที่ 8–16 ธันวาคม 2555 ณ ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี


ใน งาน “เปิดโลกอัญมณีและของดีเมืองจันท์” ครั้งที่ 9 มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ การจัดแสดงอัญมณีล้ำค่าหาชมได้ยาก การเดินแบบอัญมณีและเครื่องประดับในพิธีเปิดงานวันที่ 8 ธันวาคม 2555 มีการปรับภูมิทัศน์รอบบริเวณงานภายใต้แนวคิด “Jewelry in the Garden” โดยการใช้สีสันของดอกไม้นานาพันธุ์แทน อัญมณีสีต่างๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อให้เห็นถึงความเป็นเมืองแห่งอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางย่านการค้าพลอยจันท์ของจังหวัดจันทบุรี ซึ่งจัดและตกแต่งโดยผู้ชำนาญการด้านการจัดสวน พร้อมประดับตก แต่งไฟรอบบริเวณงาน


นิทรรศการตามรอยเส้นทางอัญมณี รวบรวมองค์ความรู้ด้านอัญมณีตั้งแต่แหล่งกำเนิดจากทั่วทุกมุมโลก โดยจัดให้เป็นนิทรรศการที่มีชีวิต มีการสาธิตขั้นตอนและกระบวนการของการเพิ่มมูลค่าในการผลิตอัญมณี

โปรแกรมทัวร์ฟรี สำหรับผู้สนใจในกระบวนการผลิตอัญมณีโดยเริ่มตั้งแต่แหล่งที่มาและขั้นตอนการเพิ่มมูลค่าจากโรงงานผลิตอัญมณี พร้อมทั้งนำเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ


มีการออกร้านจำหน่ายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากโรงงาน ผู้ประกอบการของทุกองค์กรในภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในจังหวัดจันทบุรีกว่า 150 บูธ มีกิจกรรมส่งเสริมการขายชิงโชคอัญมณีและเครื่องประดับ

รวบรวมร้านจำหน่ายอาหารพื้นเมืองจันท์รสเลิศ ร้านจำหน่ายผักปลอดสารพิษจากวังแซ้ม แหล่งเกษตรอินทรีย์ขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (OTOP) ระดับ 4–5 ดาว และในปีนี้มีการเพิ่มสีสันของงานด้วยการรับ–ส่งผู้เข้าชมงานจาก จุดจอดรถด้วยรถม้าและรถรางด้วย


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-3930-3118 ถึง 9

ชวนท่องเที่ยวอุทัยธานี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วันมรดกโลกห้วยขาแข้ง

งาน “วันมรดกโลกห้วยขาแข้ง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 7–10 ธันวาคมของทุกปี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นผืนป่าอันยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย ประกอบด้วย ผืนป่าอนุรักษ์ 3 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าด้านตะวันออก และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 6,222 ตารางกิโลเมตร หรือ 3,888,750 ไร่ ในเขตจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อยู่ในพื้นที่ 6 อำเภอ ของ 3 จังหวัด ได้แก่ อำเภอบ้านไร่ อำเภอลานสัก อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก นับเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลมรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม ระบุว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปีพุทธศักราช 2534 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่–ห้วยขาแข้ง นับเป็นสถานที่ธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นมรดกโลก

โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ข้อที่ 8 ข้อที่ 9 และข้อที่ 10 ดังนี้ หลักเกณฑ์ข้อที่ 8 เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด ในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางธรณีวิทยา หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได

หลักเกณฑ์ข้อที่ 9 เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีเอกลักษณ์หายากหรือสวยงามเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา หลักเกณฑ์ข้อที่ 10 เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์ และพันธุ์พืชที่หายาก หรือที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจด้วย

อาณาเขตของผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งทอดยาวอยู่บนแนวเทือกเขาถนนธงชัย เชื่อมต่อกับตอนเหนือของเทือกเขาตะนาวศรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน และเป็นต้นธารของแควใหญ่และแควน้อย ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำแม่กลอง

อาณาเขตอันกว้างใหญ่หลายล้านไร่ ที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของพืชพันธุ์ ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ชุกชุมด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่ และเป็นถิ่นอาศัยซึ่งสัตว์ป่าสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป

ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและปลา สัตว์หลายประเภทจัดเป็นสัตว์หายาก และกำลังถูกคุกคาม เช่น ควายป่า เสือโคร่ง เสือดำ เสือลายเมฆ วัวแดง กระทิง สมเสร็จ เลียงผา หมาไน ชะนีมือขาว ลิงอ้ายเงี้ยะ นกยูงไทย นกเงือกคอแดง

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง เป็นผืนป่าภายใต้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2503 (ปรับปรุงแก้ไขปีพุทธศักราช 2535) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการคุ้มครองสัตว์ป่าที่นับวันจะลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ

จากการที่ได้รับประกาศเป็นมรดกโลก ในวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จังหวัดอุทัยธานีร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี และอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ได้กำหนดจัด งาน “วันมรดกโลกห้วยขาแข้ง” ระหว่างวันที่ 7–10 ธันวาคม ของทุกปี

โดยมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมของนักเรียนและเยาวชนเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมการออกร้านจำหน่ายสินค้าชุมชน กิจกรรมการเดิน–วิ่งมาราธอน กิจกรรมการประกวดธิดามรดกโลก กิจกรรมการแสดงดนตรีอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตก กิจกรรมการแข่งขันจักรยานเสือภูเขา และ กิจกรรมการแห่หุ่นสัตว์ป่า ของอำเภอต่างๆ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอบ้านไร่ เป็นต้น

นอกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และงาน “วันมรดกโลกห้วยขาแข้ง” แล้ว จังหวัดอุทัยธานียังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ได้แก่ วิถีชุมชนเรือนแพ หมู่บ้านลอยน้ำแหล่งสุดท้ายในประเทศไทย วิถีชีวิตชุมชนชาวลาวครั่ง ลาวเวียง ผู้สืบทอดภูมิปัญญากว่า 200 ปี หมู่บ้านรากไม้ การนำทรัพยากรที่คิดว่าไร้ค่ามาสร้างสรรค์ ชิ้นงาน ระบบนิเวศในป่าหมาก 100 ปี ที่สมบูรณ์ วัฒนธรรมประเพณีที่เก่าแก่ อาหารพื้นบ้านปลอดสารพิษ และเพื่อสุขภาพก็ขอเชิญชวนทุกท่านไปเที่ยวจังหวัดอุทัยธานี ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปริยวัชร สิงห์เรือง “ไกด์แดง อุทัยธานี” หมายเลขโทรศัพท์ 08-6790-9749

รักในรอยแค้น...ของเพศเดียวกัน


ข้อมูลจากต่างประเทศ ทั้งอเมริกา อังกฤษ และแคนาดา พบว่า กลุ่มคนที่รักเพศเดียวกันมีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรงกันมากกว่ากลุ่มคนรักต่างเพศค่อนข้างชัดเจน ปัจจัยของการใช้ความรุนแรงในเพศเดียวกัน มีหลายปัจจัย

ปัจจัยแรกๆ พื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของคนที่จะไปก่อความรุนแรง อาจจะมีความผิดปกติทางสมองและจิตใจบางอย่าง ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เช่น เป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน รวมถึงสารเสพติด ที่มักเจอได้บ่อยๆ หรือลักษณะของร่างกาย ที่อาจจะเอื้อให้กระทำการรุนแรงสำเร็จ ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งประเด็นนี้จะแตกต่างกันเพียงเพศมากกว่า คือหากเป็นเพศชายหรือเกย์ ที่รูปร่างกำยำแข็งแรง ก็มีโอกาสที่จะก่อความรุนแรง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้สำเร็จได้มากกว่าเพศหญิง

ปัจจัยที่ 2 เป็นเรื่องจิตใจของคนคนนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า บุคลิกภาพ แม้ปัจจุบันเราค่อนข้างเชื่อมากขึ้นว่าก ารชอบเพศเดียวกันไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูอย่างเดียว แต่เกิดจากความหลากหลาย (variation) ทางโครงสร้างสมองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออารมณ์ ความรู้สึกและรสนิยมของคนคนนั้นว่า จะชอบเพศใดมากกว่า แม้จะเป็นเพศเดียวกับตัวเองด้วยก็ตาม แต่ก็ยังคงพบว่า ในกลุ่มที่รักเพศเดียวกันมีปัจจัยเสริม ที่มักทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่าย นั่นคือสภาพครอบครัว การเลี้ยงดูที่มักจะเกี่ยวข้องกับการได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว ที่อาจจะนำมาซึ่งความกดดัน มีผลต่ออารมณ์ ความคิดและความสามารถในการควบคุมตนเองด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่ 3 เรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่ชอบแบบเดียวกัน น่าจะถือว่าสำคัญที่สุด ที่มีผลต่อทัศนคติในการดำเนินชีวิตคู่ของคนรักเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่านิยมเปลี่ยนคู่บ่อยๆ เพื่อความสนุกสนานทางเพศ หรือแม้แต่ความเชื่อในเรื่องการไขว่คว้าหาความรัก ด้วยหวังว่าจะทำให้พบคนที่ “ใช่” สักวันหนึ่ง และค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาว่า คนรักเพศเดียวกันชีวิตไม่ยั่งยืน 

ดังนั้น ต้องเกาะให้ติดอย่างแน่นเหนียว และลึกๆ ก็อยากจะพิสูจน์ให้สังคมรับรู้ว่า ฉันทำได้ คาดหวังว่าอย่าให้มีอะไรมาทำให้ต้องพรากจากกัน จนเป็นที่มาของความหึงหวง เมื่อรวมกับองค์ประกอบ 2 ข้อข้างต้น ก็อาจจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ยิ่งบานปลาย จนถึงขั้นจบชีวิตกันไปก็ไม่น้อย


การที่จะดูว่าคู่ที่ทำร้ายกัน มีปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงหรือไม่ มีวิธีสังเกตไม่ยาก
เริ่มจากดูว่า เมื่อเกิดกรณีพิษรักแรงหึง พอทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว ทำร้ายตนเองตามหรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้าทำร้ายตนเองด้วย น่าจะเข้าข่าย ส่วนพวกที่ทำร้ายคนอื่นแล้วหนีไป น้อยรายที่จะป่วยทางจิตเวช ส่วนใหญ่ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่รักกัน เพราะคนรักกันคงไม่ทำได้ขนาดนี้ มักเป็นพวกนิสัยไม่ดีและมักอยู่ด้วยกันด้วยผลประโยชน์เสียมากกว่า

สังคมควรหันกลับมาเข้าใจเรื่องรักของเพศเดียวกันให้มากขึ้น ซึ่งความจริงก็ไม่ได้แตกต่างจากชายจริงหญิงแท้สักเท่าไร อย่างน้อยพวกเขาก็มีความรักให้กัน และรอการยอมรับจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา

ส่วนคู่รักเพศเดียวกันทั้งหลาย ก็ควรฝึกที่จะรักกันอย่างมีเหตุผล เข้าอกเข้าใจ รู้จักควบคุมอารมณ์มิให้เตลิดเปิดเปิง มีปัญหาควรแก้ไขเหมือนคู่รักชายหญิงนั่นละ เพราะหากใช้อารมณ์ในสัมพันธภาพค่อนข้างมาก มักไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงเสียมากกว่า ...ความลุ่มหลงไม่เคยทำให้ใครมีความรักที่ยั่งยืน ...เพราะมันเป็นความหลงรักแบบมืดมนที่ทำให้คนตาบอดได้เสมอ

รักต่างวัย...รักอย่างไร ไม่ให้ใจทุกข์


เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของคนที่มีคู่ หรือกำลังจะมีคู่ ไม่มีอะไรจะน่าสนใจ เท่ากับการนำเสนอคู่รักที่มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น อายุ ฐานะทางสังคม ระดับการศึกษา แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา แต่ในที่สุดเรื่องราวจะจบลงอย่างไร ก็คงไม่มีใครสามารถที่จะทัดทานได้ เพราะคนที่กำหนดความต้องการก็คือ คนทั้ง 2 คนนั้น 

สำหรับมุมมองที่น่าสนใจ ไม่ใช่เรื่องความแตกต่าง หากแต่ความแตกต่างเหล่านั้น จะสามารถทำให้ทั้งคู่เกิดการยอมรับ และปรับตัวเข้าหากันได้หรือไม่ เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าเสียอีก

รักไม่มีพรมแดน...หรืออายุเป็นเพียง ตัวเลข

แรกๆใครๆ ก็คิดแบบนั้นทั้งนั้น เพราะช่วงเวลาแห่งความหลง หรือตกหลุมรัก มันทำให้ทุกอย่างดูน่ายอมรับไปเสียหมด แต่พอใช้ชีวิตไปสักพักแล้ว อาจจะเกิดปัญหาในเรื่องสัมพันธภาพขึ้นมา ก็กลับมานั่งโทษกันไปโทษกันมาว่า เพราะอีกฝ่ายหนึ่งไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้

สิ่งที่ต้องมองว่า เพราะความที่เข้ากันไม่ได้ หรือความไม่เหมาะสมในหลายๆ ด้าน จึงทำให้ต้องเลิกรากันไป เป็นประเด็นที่น่าให้ความสำคัญมากกว่าเสียอีก 

ดังที่โบราณว่าไว้ “ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ยามชังน้ำตาลก็ว่าขม” หรือ “เส้นผมบังภูเขา” เรามาดูกันว่า อะไรบ้างที่ทำให้เกิดปัญหาได้ในคู่รักต่างวัย

ความแตกต่างของอายุ ร่วมกับความแตกต่างของรูปลักษณ์ภายนอก ถ้าตนเองจิตใจมั่นคงก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มาก และสู้คนที่อายุน้อยกว่าไม่ได้ ก็ย่อมเกิดปัญหา เช่น หึงหวง กลัวการสูญเสีย กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไปในที่สุด

อายุที่แตกต่าง ย่อมมีผลต่อประสบการณ์ในชีวิตที่แตกต่างอย่างแน่นอน 

ดังนั้น การเจอปัญหาในแต่ละวัน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละฝ่าย มักจะแตกต่างกัน ซึ่งมักจะลงเอยด้วยความขัดแย้งในที่สุด เช่นเดียวกันความแตกต่างเรื่องฐานะทางสังคม 

ถ้าเอาเรื่องความแตกต่างมา เป็นตัวตำหนิ หรือการเปรียบเทียบกัน ก็ย่อมส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและการไม่ยอมรับ เช่น การไม่ยอมรับจากครอบครัว ญาติพี่น้องของแต่ละฝ่าย ซึ่งมักจะตามมาด้วยการดูถูกเหยียดหยามกัน 

ในที่สุด ชีวิตคู่ก็ไม่สามารถที่จะไปด้วยกันได้ และมักจะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ไร้ค่าในที่สุด ความแตกต่างทางความคิด และมุมมองของความรัก เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะการมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น การที่จะสามารถคงความสัมพันธ์ที่ยาวนานไว้ได้ นั่นก็คือ

การที่ต่างฝ่ายต่างมีความรัก ความเมตตาต่อกัน

วิธีคิดที่น่าจะทำให้ใจสบายขึ้น กรณีที่เกิดรักต่างวัยขึ้นในชีวิตของคุณ เรื่องของอายุ ควรแตกต่างกันไม่เกินสิบปี และโดยทั่วไปสังคมมักจะให้ค่านิยมว่ าฝ่ายชายน่าจะมีอายุมากกว่าฝ่ายหญิง แต่ถ้าผู้ชายหายากจริงๆ (ในปัจจุบันก็อย่าไปคิดมากเลย อายุน้อยกว่าก็คงไม่เป็นไร)

เราคงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิดของคนอื่นได้ ยิ่งอายุต่างกัน ย่อมพบว่าความแตกต่างก็จะมากขึ้นด้วย การปรับใจ เปลี่ยนความคิดตัวเอง ลดการควบคุม การพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายหนึ่ง พร้อมทั้งยอมรับในความเป็นตัวตนของแต่ละคนให้ได้ ถ้ารู้สึกว่าความแตกต่างทางอายุมาทำให้ตนเองขาดความมั่นใจ ก็ลองค่อยๆ ทบทวนว่า ตนเองมีจุดดีในตัวเองอะไรบ้าง หมั่นมองตนเองในแง่มุมที่ดีบ่อยๆ เราก็จะพบว่าตัวเราเองไม่ได้ด้อยค่าอย่างที่เราคิดว่าเราเป็นจริงๆ

การคบคนที่อายุต่างจากเรามากๆ อาจจะมีโอกาสที่จะได้รับรู้เรื่องราวประสบการณ์ดีๆ ที่หลายๆคนอาจจะไม่มีโอกาสอย่างที่เราได้มาก่อน ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของเรา คิดเสียว่า การได้คบคนต่างวัยนั้นเหมือนมีแหล่งขุมทรัพย์ความรู้อยู่ใกล้ก็น่าจะถือว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆ มากแล้ว ที่ต้องระวังความคิดของตนเองก็คือ อย่าคิดว่าการมีคู่รักต่างวัย เช่น คบกับคนที่อายุต่างกันมากๆ บางรายขนาดรุ่นพ่อรุ่นแม่ เพราะลึกในจิตใต้สำนึกกำลังโหยหาความรัก (ที่ขาดไป) จากพ่อหรือแม่ คงไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต คงต้องเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รัก หรือฉันสามี ภรรยา มิใช่การชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปในอดีต

จะเป็นความรัก ความสัมพันธ์แบบไหนก็แล้วแต่ คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่า การได้ลองพิจารณาดูว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น อยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเข้าใจ การรู้จักให้อภัย และปรับตัวซึ่งกัน และกันหรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวบอกถึงความยั่งยืน ในการใช้ชีวิตคู่ได้ดีกว่าสิ่งอื่นใด 

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ (ที่แอบแฝง) ย่อมนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนและนำไปสู่ความล้มเหลวของชีวิตคู่ในที่สุด

การเมือง...เรื่อง (ไม่) เครียด...

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเมือง

ความแตกต่างทางความคิด กำลังทำให้สุขภาพจิตของคนในสังคมส่วนหนึ่งใกล้จะพังลง ยังไม่นับรวมที่คนในบางครอบครัว มีความคิดแตกต่างกันเอง แล้วก็มานั่งทะเลาะกัน หรือมองหน้ากันไม่ติด

ข่าวคราวมากมายที่สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน บางครั้งถึงขนาดที่ใช้กำลังห้ำหั่นกัน

เคยตั้งคำถามเล่นๆ กับตัวเองว่า อะไรเป็นตัวจุดชนวน “ความคิด” ที่นำไปสู่ภาวะสุขภาพจิตเสื่อมถอย แล้วก็ได้คำตอบหลายอย่าง อาจเป็นเพราะความห่วงใยของคนไทยที่รักประเทศ หรือเป็นเพราะความรู้สึกที่รับไม่ได้ ที่คนอื่นคิดไม่เหมือนตัวเอง คนบางคนก็ด่วนตัดสินอะไรต่อมิอะไรไป โดยที่ยังไม่ได้ฟังเหตุผลว่า อะไรถูกอะไรผิด แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม สิ่งที่รู้สึกในเวลานี้ก็คือ

ความสุขของคนไทยกำลังเริ่มลดลงเรื่อยๆ....

ซึ่งต้นตอของความสุขที่ลดลงนั้น ไม่ได้มาจากปัจจัยเรื่องการเมือง หรือเศรษฐกิจ แต่มาจากปัญหาสุขภาพจิตของปัจเจกบุคคล ที่ไม่สามารถปรับความคิด ความรู้สึกให้เท่าทันกับเหตุการณ์ หรือเรื่องราวที่มากระทบได้

อะไรจะเกิดอะไรจะสูญเสีย อะไรจะเลวร้ายขนาดไหน เรายังโชคดีที่ยังไม่เคยเจอปรมาณูลงสักลูกเลย 

ญี่ปุ่น ที่บาดแผลทางกายนับไม่ถ้วน แถมบาดแผลทางใจยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังสามารถพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพให้กลับมาเจริญได้อีกครั้ง

เกาหลีใต้ สู้รบมายาวนานตลอดหลายศตวรรษ ก็ยังเจริญไม่แพ้กัน 

ยุโรปอเมริกา ล้วนแล้วแต่บาดเจ็บกันมาทั้งนั้น 

ทุกวันนี้ประเทศเหล่านั้น ก็แข่งขันเจริญก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง

รู้สึกทุกครั้งที่เห็นว่า บ้านเรามีการพัฒนาที่ล้าหลัง ซึ่งไม่น่าจะน้อยกว่า 50 ปีเป็นอย่างน้อย ทุกวันนี้ เราเรียกร้องมองหาผู้นำและคนที่จะมาแก้ปัญหา แต่คนที่จะแก้ปัญหาได้ ก็คือ คนไทยอย่างเราๆ นี่แหละหากมุ่งมั่นกันจริงๆ ก็จะกลับมาดีเองได้ ไม่มีอะไรที่พวกนักการเมือง สามารถทำร้ายประเทศชาติได้มากขนาดนั้น ยังเชื่อว่ามีคนดีมากกว่าคนเลว และเชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้ประเทศล้าหลัง ไม่พัฒนา ก็คือ จิตใจที่ขาดการดูแลและปล่อยให้ความทุกข์บั่นทอนทุกวันต่างหาก

คนประเภทไหนบ้าง...หรือคุณเองก็น่าจะลองถามตัวเองว่า เป็นคนที่ทำให้การเมืองมีอิทธิพลต่อชีวิตมากเกินไปหรือเปล่า เช่น นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ขาดการให้อภัย ขาดความยืดหยุ่น หลงยึดติดอยู่กับความคิดตนเอง หูเบา ใครพูด ใครปั่นหัวก็เชื่อไปหมด ขาดความรู้ ความพากเพียรในการห เหตุผลกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในสมอง โดยเฉพาะการหมกมุ่นอยู่กับการเสพข่าวรายวัน

นี่ยังไม่นับรวมสำหรับคนที่ป่วยๆ เช่น เป็นโรคจิตโรคอารมณ์ แปรปรวนทั้งหลาย สะกิดหน่อยเป็นไม่ได้ อารมณ์พุ่งพล่านจนแทบจะเบรกไม่ได้เลย 

คนเหล่านี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง มักทำให้เรื่องราวและชีวิต ไปจบที่โรงพักเสมอๆ ถ้าโชคดีหน่อยตำรวจก็จับส่ง รพ. จิตเวช ให้หมอลองตรวจวินิจฉัยดูว่า เกิดอะไรขึ้น ถึงยอมเป็นเหยื่ออารมณ์ทางการเมืองกันได้มากมายขนาดนั้น

จริงๆแล้ว การเมืองไม่ใช่เรื่องเครียด เราเองต่างหากที่ “เครียด” จริงมั้ย.!!!

เที่ยวเมืองตราด

"เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา"
คำขวัญประจำจังหวัดตราด จังหวัดในภาคตะวันออกที่อยู่ติดกับประเทศกัมพูชา เป็นจังหวัดที่มีของดีหลายอย่าง ตามที่ได้เอ่ยถึงในคำขวัญ ได้แก่ มีเกาะจำนวน 66 เกาะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด มีพลอยแดงน้ำงาม ที่มีชื่อว่า “ทับทิมสยาม” มีผลไม้ขึ้นชื่อคือ ระกำหวาน เป็นแหล่งกำเนิดสุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน ที่มีลักษณะพิเศษ มีความฉลาดและซื่อสัตย์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง

บริเวณชายทะเลแหลมงอบมีอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง พระอนุสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผินพระพักตร์ไปยังบริเวณที่เคยเกิดยุทธนาวีเกาะช้าง มีการจัดบริเวณและอาคารพิพิธภัณฑ์คล้ายเรือรบ ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประวัติการสู้รบของกองทัพเรือไทยกับกองกำลังเรือรบของฝรั่งเศส รอบๆ บริเวณอนุสรณ์สถาน เป็นสวนสำหรับพักผ่อน และจะมีงานฉลองเพื่อระลึกถึงการทำยุทธนาวีกองกองทัพเรือไทย ในวันที่ 17–21 มกราคมของทุกปี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แมงกะพรุนถ้วยหลากสี

เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จังหวัดตราดเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมีผู้นำภาพแมงกะพรุนถ้วยหลากสีไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ทำให้มีคนเดินทางไปชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวจังหวัดตราดบอกว่าในช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ จะมีแมงกะพรุนถ้วยมารวมตัวกันเป็นฝูง และทอดตัวเรียงยาวเต็มทะเลอย่างนี้ทุกปี เป็นสิ่งที่คนในพื้นที่เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่เคยเห็น

นับว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ทำให้การท่องเที่ยวของจังหวัดตราดคึกคักขึ้นมา ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวบ้านในแถบนั้น ได้นำเรือมาบริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งเรือออกไปชมแมงกะพรุนหลากสีที่ลอยตัวขึ้นมาเป็นสายยาวกว่า 2 กิโลเมตร บริเวณปากคลองเขาล้าน และตามชายหาดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หาดราชการุณย์ ศูนย์ราชการุณย์ สภากาชาดไทย เขาล้าน ซึ่งมีห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย

โลกของ"มุนินทร์" แรงแค่เงา หรือแรงเกินไปกับโลก "มุตตา" ผู้อาภัพ...

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แรงเงา

พ่อแม่ใครช่างตั้งชื่อ แล้วยิ่งเป็นลูกแฝดสองคน ที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งเก่งจนร้ายกาจ แต่อีกคนเชื่องช้าเนิบนาบ สมกับคำแปลของชื่อ ที่มีความหมายถึง "แก้ว" ชนิดหนึ่งสมัยโบราณ สีหมอกอ่อนๆ คล้ายสีไข่มุก ถ้าเป็นไข่มุกจริงๆ ยังดูมีค่าเสียกว่า แต่นี่ยิ่งแปลความหมายชื่อตัวเอง ก็ยิ่งช้ำ ดูต่ำต้อยเสียเหลือเกิน

โลกของตัวละครตัวหนึ่ง จากบทประพันธ์ของ นันทนา วีระชน ที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยสองอารมณ์ของความน่าสมเพช สงสารที่โดนผู้ชายหลอก และการถูกประณามหยามเหยียดที่บังอาจไปแย่งสามีของชาวบ้านเขา...นานาจิตตัง ใครอยู่ฝ่ายไหน ที่อาจจะมีสถานการณ์ที่บ้านคล้ายกับในละคร ก็คงเชียร์ฝ่ายนั้น และต่อต้านฝ่ายตรงกันข้าม ส่วนเรื่องปมด้อยของตัวละคร ถ้าเอามาพินิจพิเคราะห์ดีๆ จะเห็นว่า แม่แก้วสีหม่นแบบไข่มุกคนนี้ มีชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย

เริ่มจากการเป็นลูกที่ต้องแข่งขันกับแฝดคนพี่ ที่เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ดูคล่องแคล่วและเก่งกาจจนร้ายกาจ ทำให้สังคมส่วนใหญ่ รวมถึงพ่อแม่เธอเองก็อดชื่นชม (จนบางทีก็เกินหน้าเกินตา) มิได้ แล้วคนที่อ่อนแอซึ่งในความเป็นจริง ก็มีความอ่อนหวานนุ่มนวล เป็นกุลสตรีที่น่าชื่นชม แต่ทว่าสังคมยุคปัจจุบันแทบไม่ต้องการเธออีกแล้ว แล้วเธอจะมีที่ยืนอยู่ที่ตรงไหนได้ 

นอกจาก เปลี่ยนตัวเอง เพื่อลบปมในใจให้ได้เท่านั้นเอง

ความผิดของมุตตา น่าจะเรียกว่าผิดพลาดเสียมากกว่า ที่มีแฟนตาซีหรือจินตนาการ ที่ไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไร คงด้วยปมด้อยที่คนหลายคน มักปล่อยให้มันมีอิทธิพลกับชีวิต (impact) โดยที่ไม่ได้แก้ไข หรืออาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ มาคอยตอกย้ำให้เธอทำตัวเป็นนางเอกโดยความเต็มใจ แต่ความเป็นนางเอกของเธอจริงๆ แล้ว ลึกลงไปอีกขั้นในจิตใจของเธอนั้น เธอเป็นนางมารร้ายโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะได้ใช้ความเป็นนางเอกแย่งชิงสิ่งที่ตนเองต้องการ (ต้องขอบอกว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวในสังคม) คงต้องหาให้ได้ว่า เธอ enjoy หรือสนุกอยู่กับการเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว เวลาที่เจ็บปวด และเก็บกด ก็จะระเบิดออกมาเป็นระยะๆ ดูโดยรวมแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากนางมารร้ายสักเท่าไรนัก แต่บางครั้งการมีความน่าสงสารบังหน้า ก็อาจจะทำให้หลายคนเคลิบเคลิ้มตามไป จนอาจจะชวนกันเดินหลงทางได้เช่นเดียวกัน และนี่ก็คือเรื่องราวของผู้หญิง ที่อาจจะเป็นตัวแทนของหญิงหลายคน ที่ขาดสภาพการรักตัวเอง ปกป้องตัวเอง แม้กระทั่งบางคนที่มองดูตัวเองไร้คุณค่า ด้วยการมองข้ามคุณค่า หรือกองคุณค่าตัวเองไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของชีวิต แล้วเอาปม (ที่คิดว่า) ด้อยมาชูให้เด่น แต่กลับนำทางชีวิตไปสู่ความมืดมน...

เพื่ออะไร!!! ก็คงมาจากการเลี้ยงดูแต่เยาว์วัยนั่นเอง...

พ่อแม่เป็นผู้ให้ชีวิต ตอนกำเนิดและช่วงเลี้ยงดู แต่มนุษย์ทุกคนจะต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้มีศักยภาพเป็นของตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้เอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ไม่ว่าจะมาจากภายนอก หรือแม้กระทั่งภายในใจของเราเอง

ซึ่งอุปสรรคภายในใจสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด...อุปสรรคที่ว่านั้นคือ “ความคิดและอารมณ์” ของเรา หากเราคุมอารมณ์ไม่ได้ ความคิดก็มักเตลิดเปิดเปิง หรือหากเราคุมความคิดไม่ได้ อารมณ์ของเราก็ย่อมแปรปรวน

ทั้งหมดทั้งปวง ถ้ามองดีๆ ก็ล้วนแล้วแต่เราทำขึ้นมาเองทั้งนั้น 

คำว่า “ทิฐิ” จะเป็นผลลัพธ์ จากการไม่สามารถคุมอารมณ์และความคิดได้

เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ชีวิตก็อาจจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย หรือหนักกว่านั้น ก็แขวนอยู่บนขื่อบ้าน เหมือนที่มุตตากระทำต่อความคิดและอารมณ์ของเธอ...

ทำให้เธอต้องจบชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่คนข้างหลังก็เสียใจและเจ็บแค้น...แถมไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว จากการตาย...เรื่องราวของเธอจบลงไปแล้ว แต่เรื่องราวของพี่สาว ที่หน้าเหมือนเธอ ก็กำลังเริ่มต้นอีกครั้ง ด้วยความดุเด็ดเผ็ดมัน ถูกใจหลายคนที่ชอบความรุนแรงแฝงความบันเทิง จะดีหรือไม่ หากการแก้แค้นจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...ต้องร้องเพลงให้แม่สาวที่ชื่อแปลว่า "จอมนักปราชญ์ผู้เก่งกาจ" จากเมืองนอก ด้วยเนื้อเพลงที่ว่า 
“เธอกลับมาครานี้ ไม่เป็นเหมือนเธอคนก่อน ไม่คอยอ้อนวอนไม่ง้อให้เป็นเหมือนเก่า” อีกแล้ว
เพราะเธอมาแก้แค้น ให้น้องสาวฝาแฝดที่เสียชีวิตไป ด้วยความเข้าใจว่าถูกผู้ชายหลอกให้ชอกช้ำระกำทรวง แถมยังตายทั้งกลมอีกต่างหาก ในหัวใจของพี่สาวและยิ่งเป็นฝาแฝดด้วยแล้ว คงไม่มีใครไม่เสียใจ และความเสียใจเหล่านั้น ก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความแค้นได้ไม่ยากเลย

ในช่วงเวลาของความโกรธของคนเรา ซึ่งคงไม่ต่างจากตอนเศร้าหรือลุ่มหลง เราสามารถที่จะทำอะไรได้ง่ายดาย และบางครั้งเราก็สามารถที่จะมีพลังมากมาย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนทำให้แรงอาฆาตพยาบาท สามารถนำไปใช้ในการทำร้ายคนอื่นได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีความเก็บกด ไม่กล้าแสดงออก ก็ยังมีพลัง (ที่ซ่อนอยู่ในสภาพห่อเหี่ยว) เพื่อที่จะสามารถทำร้ายร่างกายตนเองได้เช่นเดียวกัน

ในยามที่เราไม่รู้เหตุผลที่มากเพียงพอ หรือตัดสินไปอย่างวู่วาม สิ่งที่จะห้ามความโกรธไม่ให้ส่งพลังทำลายล้างออกไปได้ คงไม่มีอะไรดีเท่ากับ “สติ” เพราะสติ จะช่วยติดเบรกพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ให้เราได้อย่างมาก ช่วยแปรเปลี่ยนอารมณ์ที่แปรปรวนให้ลดลง จนสามารถทำให้เหตุผลขึ้นมาแซงหน้าได้ 

เมื่อนั้น ความหายนะก็จะค่อยๆ ลดลง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วต้องฝึกฝนทั้งสิ้น จะให้ครูบาอาจารย์ หรือนักจิตบำบัดที่ไหนมาช่วย ก็คงไม่สำคัญเท่ากับตัวเราเอง ที่จะเปิดใจยอมรับ เพื่อเรียนรู้จักตัวเองหรือเปล่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ก็เลยมีหลายคนตั้งคำถามว่า จะแก้แค้นอย่างไรให้สาสม เมื่อเขามาทำร้ายคนที่เรารัก...นั่นเอง 

คนส่วนใหญ่มักทำใจไม่ได้ แต่ที่ทำใจไม่ได้ เพราะตอนนั้นอารมณ์มันพลุ่งพล่าน แต่หากเชื่อในเรื่องกาลเวลา ที่ช่วยเยียวยาทุกสิ่งอย่าง คุณก็จะได้ประสบการณ์และความภาคภูมิใจ ที่แสดงให้เห็นว่าตนสามารถรอได้ และผลดีที่ตามมาคือ การช่วยชะลอความสูญเสีย ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ยังมีไฟแห่งความโกรธอยู่ ไม่ว่าคุณจะเก่งมาจากไหน จะชื่อเสียงเรียงนามน่าชื่นชมขนาดใดก็ตาม หากไม่เป็นไปตามชื่อของตนเอง ก็ป่วยการที่จะมีชื่อดีๆ ให้เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่ตนเอง และความคาดหวังและความรักที่พ่อแม่มีให้ตลอดมา...

แม้ชีวิตเมียหลวงจะน่าสงสาร ที่ถูกแย่งความรักจากสามีไป แต่ก็มีเมียหลวงจำนวนไม่น้อย ที่สามีทนความร้ายกาจของเธอไม่ไหว จนต้องเผลอใจไปหาคนใหม่ทดแทน จะด้วยความเหงาทางใจหรือนิสัยที่รักสนุกไม่รู้จักพอก็ตาม ก็จะเกิดปัญหาตามมาทั้งสิ้น และหากวันหนึ่ง เมื่อคุณเผอิญพลาดพลั้งไปอยู่ในวังวนของคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ โดยเฉพาะผู้ชายเจ้าชู้ที่ชอบอ้างว่า ไม่มีความสุขกับเมียหลวง แล้วไปเที่ยวหลอกให้คนที่จะมาเป็นเมียน้อยตายใจ ...จนเกิดเรื่องเกิดราวมากมาย ถึงขั้นต้องทำร้ายกัน ก็ควรทบทวนถามตัวเองว่า คู่ควรหรือไม่ ที่จะไปตบตีกับคนพรรค์นั้น ใครรวยกว่า สวยกว่า เด่นกว่าไม่สำคัญ มันสำคัญที่พฤติกรรม การใช้ความรุนแรงเหล่านั้นต่อหน้าสาธารณชน หรือลอบทำร้ายคนอื่นแบบลับหลังก็ตาม มิใช่วิสัยของวิญญูชนในการแก้ปัญหา

ลองถามตัวเองดูสักนิดสิว่า ถ้าเราอยากจะทำตัวดูมีคุณค่า อยากมีจิตใจที่สุขสงบ...จะไปเกลือกกลั้วกะพวกเขาเหล่านั้นทำไมให้มีมลทิน ยิ่งแก้แค้นก็ยิ่งหมองมัว เพราะไม่เคยมีใครมีความสุขจากการใช้อารมณ์เลยสักคนเดียว

จุดไฟเผาบ้านใครสักคน ที่เราโกรธเกลียดได้ คงจะสะใจพิลึก ถ้ามั่นใจว่าไฟเหล่านั้นไม่ลามกลับมาเผาใจตัวเอง ให้ร้อนรุ่มสุมทรวงด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย การตอบแทนคนที่ทำร้ายเรา หรือคนที่เรารักยังมีอีกหลายช่องทางที่ดีๆ มากกว่าการทำร้ายกันเพื่อความสะใจ...แรงอาฆาตของเงาแห่งความโกรธจะหมดไป ด้วยแรงใจแห่งการให้อภัย.

สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) ก่อตั้งธรรมยุต

สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) ก่อตั้งธรรมยุต บรรลุพระนิพพาน

สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) เกิดเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2349 ซึ่งเป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ถิ่นฐานเดิมของท่านอยู่แถวๆ วัดเทวราชกุญชรในปัจจุบัน

ไม่มีหลักฐานว่า ท่านบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่เมื่อไหร่ ทราบแต่ว่า ท่านบรรพชาที่วัดสังเวชวิศยาราม ย่านบางลำพู เมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างวัดราชโอรสขึ้นก็โปรดให้ท่านไปอยู่ที่วัดราชโอรส

ในปี 2369 หรือรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 3 นั่นเอง ท่านได้อุปสมบทที่วัดเทวราชกุญชรแล้วไปอยู่ในสำนักวัดราชาธิวาส โดยไปศึกษาที่วัดเบญจมบพิตรบ้าง วัดชนะสงครามบ้าง

สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) รูปนี้ มีความสำคัญนัก เพราะท่านเป็น 1 ใน 10 รูป ที่ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเป็นพระวชิรญาณเถระก่อตั้งวงศ์พระธรรมยุตขึ้นในประเทศไทย ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช และประทับอยู่ที่วัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส นั้น ทรงศึกษาและปฏิบัติแล้วพบว่า "หลักการปฏิบัติสับสน ขาดหลักอ้างอิงที่แน่นอน เป็นแต่เพียงรับฟังคำบอกเล่าของโบราณาจารย์ ปฏิบัติไปก็ยิ่งห่างไกลจากความรู้" หลังตั้งพระทัยว่าจะศึกษาให้แตกฉาน ก็ทรงสอบระเบียบแบบแผนและคัมภีร์ต่างๆ แล้วพบว่า "ศาสนวงศ์อันตรธานมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งโน้นแล้ว" จึงทรงตั้งสัจจกิริยาธิษฐานในอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ว่า "ข้าพเจ้าออกบวชด้วยความเชื่อ ความเลื่อมใส มิได้เพ่งต่ออามิส สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นต้น ถ้าวงศ์บรรพชาอุปสมบทมีเนื่องมาแต่สุคตทศพลยังมีอยู่ ณ ประเทศใด ทิศใด ขอให้ประสบหรือได้ยินข่าวให้ได้ภายในสามวันหรือเจ็ดวัน ถ้าไม่เป็นดังนั้น ข้าพเจ้าก็จักเข้าใจว่า ศาสนวงศ์นั้นสิ้นแล้ว" ไม่กี่วันหลังจากนั้น พระองค์ก็ได้พบพระเถระชาวรามัญผู้รู้ข้อวัตรปฏิบัติแตกฉานในพระไตรปิฎก

หลังจากนั้นทรงได้อุปสมบทใหม่ เพราะสงสัยว่า การอุปสมบทในคราวก่อนนั้นจะมีความผิดพลาดไม่สมบูรณ์อยู่ หรือที่เรียกว่า ทัฬหีกรรม อุปสมบทที่สีมาน้ำวัดสมอราย มีพระรามัญ 20 รูป ทุกรูปมีกาลพรรษาล่วง 20 พรรษา มาเป็นพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวด โดยให้สลับพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวดทุกหนึ่งจบรวม 6 ครั้ง

เมื่อทรงผนวชเสร็จแล้ว ก็ทรงให้ศิษย์หลวง 9 รูปร่วมอุปสมบทใหม่ในพิธีนั้นด้วย หนึ่งในนั้นคือ สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ)

นั่นเป็นการอุปสมบทครั้งที่ 4 ของท่าน ซึ่งไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะตามประวัติ สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) อุปสมบทถึง 7 ครั้ง หลังบวชครั้งที่ 4 และเรียนพระปริยัติในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ต่อมาท่าน "ไม่สู้ชอบใจพระกรรมวาจาจารย์ของท่าน" ท่านจึงเข้าอุปสมบทใหม่ซ้ำอีก เพื่อให้แน่ใจว่า การอุปสมบทของท่านบริสุทธิ์จริงๆ

ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบว่า การอุปสมบทแบบรามัญนั้นไม่มีการสวดบุพพกิจ ท่านจึงอุปสมบทใหม่อีกเป็นครั้งที่ 6 ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อท่านไปนมัสการพระปฐมเจดีย์แล้วได้ปฏิญาณตนเป็นอุปสัมบันภิกษุต่อพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอุทิศบรรพชา และเป็นการบรรพชาครั้งที่ 7 ของท่าน ศิษย์รุ่นหลังได้วิเคราะห์ไว้ว่า การที่ท่านได้อุปสมบทถึง 7 ครั้งนั้นชี้ให้เห็นว่า "ท่านมุ่งความบริสุทธิ์ในชีวิตพรหมจรรย์มากเพียงไร" นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรื่องราวความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของท่านนั้นปรากฏตกทอดมาอีกเรื่องหนึ่งคือ ปกติท่านจะจำวัดผู้เดียวในกุฏิใหญ่คณะ 5 แต่มีคืนหนึ่งอสุรกายปรากฏขึ้นในรูปหญิงสาว นับแต่นั้นมาท่านจึงให้พระเณรมานอนเป็นเพื่อน เพราะเกรงว่าจะมีผู้พบแล้วเข้าใจผิด นอกจากศึกษาปริยัติแล้ว สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) ยังมุ่งปฏิบัติโดยเฉพาะอสุภกรรมฐาน แม้แต่ภาพถ่ายของท่านที่ตกมาถึงคนรุ่นหลังก็ยังเป็นรูปที่ท่านกำลังนั่งพิจารณากองกระดูกอยู่

ตามประวัตินั้นบ่งชัดว่า สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัยมาก ท่านจะสวดมนต์ไหว้พระวันละ 3 ครั้ง กล่าวคือ หลังฉันเช้าแล้วจะไหว้พระสวดมนต์ที่กุฏิเพียงลำพัง พอ 4 โมงเช้าจะไหว้พระในพระอุโบสถพร้อมพระภิกษุสามเณร พลบค่ำก็จุดเทียนไหว้พระพร้อมกับลูกวัด ครั้งหนึ่งซึ่งพิเคราะห์กันแล้วเชื่อว่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชพิธีจัดสวดมนต์ในวังหลวง สังฆการีได้มานิมนต์ท่านเข้าไปร่วมสวดมนต์ด้วย โดยนิมนต์ท่านให้เข้าวังในเวลา 4 โมงเย็น ท่านก็ตอบว่า "4 ทุ่มข้าจะไป" เพราะที่วัดโสมนัสฯ สวดมนต์เย็นไหว้พระเสร็จกันตอน 3 ทุ่ม พอพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าประจำที่ ขาดแต่สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เลยทรงถามสังฆการี ว่า ไปนิมนต์ท่านอย่างไร ท่านถึงยังไม่มา สังฆการีก็กราบทูลตามความดังกล่าว จึงมีรับสั่งว่า "ท่านไม่อยากเข้าวังแล้ว ทีหลังอย่าไปนิมนต์ท่าน" พอสังฆการีไปกราบเรียนให้สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) ทราบ สมเด็จฯ ท่านจึงว่า "เออ ข้างๆ วัดของข้านี้ก็อิ่มแล้ว"

สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นที่ได้รับการยกย่องอย่างยิ่งจากพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 3 รัชกาล คือ รัชกาลที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คราวรัชกาลที่ 5 ทรงผนวชนั้น ท่านได้รับนิมนต์ให้เข้าไปประจำที่พระพุทธรัตนสถาน ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายพระธรรมปริยายแด่พระองค์จนกระทั่งลาผนวช และในรัชกาลนั้นเองที่ทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระวันรัต โดยปรากฏในประกาศทรงแต่งตั้งตอนหนึ่งว่า "มีพรรษายุกาลเจริญมาก ประกอบด้วยรัตตัญญูมหาเถระธรรมยั่งยืนมานานปละมีปฏิภาณปรีชาตรีปิฎกกลาโกศลฉลาดในธรรมโมบาย ขวนขวายในการสั่งสอนนิกรบรรษัททั้งคฤหัสถ์บรรพชิต เป็นพาหุลกิจนิตยสมาทานมิได้ย่อหย่อน เป็นที่มหานิกรนับถือ เป็นปูชนียฐานบุญเขตที่ควรเคารพบูชา และมีสุตาคมและศีลาธิคุณมั่น..." กล่าวกันว่า สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) นั้น เป็นที่นับถือของหมู่พระสงฆ์ธรรมยุตมากเป็นพิเศษ ภาษาสมัยใหม่ก็คงเรียกว่า นับถือท่านเป็นไอดอลของพระธรรมยุต

เที่ยวเขื่อนศรีนครินทร์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เขื่อนศรีนครินทร์

เขื่อนศรีนครินทร์ หรือเขื่อนเจ้าเณร ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเจ้าเณร อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2523 เป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความสูงจากฐานราก 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำมากที่สุดในประเทศไทย คือ 419 ตารางกิโลเมตร เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านมากมายหลายอย่าง เช่น ด้านการชลประทาน ทำให้พื้นที่การเกษตรลุ่มน้ำแม่กลองมีน้ำใช้อย่างสะดวกสบายกินพื้นที่กว่า 4,000 ล้านไร่ ช่วยปล่อยน้ำเพื่อผลักดันน้ำเค็มไม่ให้หนุนล้ำเข้ามาทำความเสียหายบริเวณปากน้ำแม่กลองในช่วงฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี ด้านการผลิตไฟฟ้า สามารถผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนได้ใช้อย่างเพียงพอตลอดปี ด้านการบรรเทาอุทกภัย สามารถกักเก็บน้ำที่หลากมาในฤดูฝนไว้ในอ่างเก็บน้ำได้เป็นจำนวนมาก ด้านคมนาคม ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือไปยังอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ด้านการประมง เขื่อนศรีนครินทร์เป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ ในการเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ ช่วยเพิ่มรายได้ในการหาปลาให้แก่ชาวบ้านแถบนั้น และสุดท้ายยังเป็น สถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

เขื่อนศรีนครินทร์นี้ เมื่อตอนเริ่มโครงการสำรวจและวางแผนก่อสร้างให้ชื่อว่า โครงการเขื่อนเจ้าเณร เพราะบริเวณที่ก่อสร้างเขื่อน ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเจ้าเณร ซึ่งเป็นช่องเขาที่แคบที่สุดที่พม่าใช้เป็นเส้นทางเดินทัพเข้ามาทำสงครามกับไทยในสมัยสงครามเก้าทัพ ช่องเขานี้คือ โป่งสะเดา พม่านำทัพแสนกว่าคนมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ พระองค์เจ้าขุนเณร นำทหารประมาณ 500 คน มาสกัดทัพพม่าตรงบริเวณนี้ แต่เนื่องจากทัพพม่ามีจำนวนมาก พระองค์เจ้าขุนเณร จึงคิดหากลยุทธ์การรบแบบใหม่ คือ การรบแบบกองโจร โดยนำทหารซุ่มโจมตีพม่าไม่ให้รู้ตัวฆ่าแล้วขโมยเสบียงอาหารมา แบบมึงมาข้ามุด มึงหยุดข้าตี มึงหนีข้าไล่ พม่าสู้ไม่ได้และไม่มีเสบียงจึงแตกพ่ายไม่เป็นชิ้นดี พระองค์เจ้าขุนเณร จึงได้ฉายาว่า “แม่ทัพกองโจร” เมื่อการสำรวจโครงการก่อสร้างเขื่อนเสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานชื่อเขื่อนแห่งนี้ว่า “เขื่อนศรีนครินทร์”

การไปเที่ยวเขื่อนศรีนครินทร์ ระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงเขื่อนศรีนครินทร์ ประมาณ 200 กิโลเมตร ถนนหนทางสะดวกสบาย ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว

เริ่มจากไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเขื่อนศรีนครินทร์ คือ พระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) ที่ชาวเขื่อนเคารพนับถือ ตั้งอยู่บริเวณจุดชมวิวบนสันเขื่อน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมากราบไหว้ขอพร แล้วไปยืนถ่ายรูปบริเวณสันเขื่อน ที่สูงลิบลิ่วเห็นวิวอ่างเก็บน้ำและโรงไฟฟ้าอย่างชัดเจน 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนเวลารำลึก

จากนั้นเราก็ไปที่สวนเวลารำลึก เพื่อชมนาฬิกาแดด ที่สร้างด้วยคอนกรีตเป็นรูปโค้งขนาดใหญ่ มีเข็มนาฬิกาอันใหญ่และเส้นรุ้งเส้นแวงแบ่งเวลา เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมากระทบปลายเข็มนาฬิกา เงาจากปลายเข็มนาฬิกาจะทาบลงบนพื้นหน้าปัดบอกเวลา บอกเดือน และบอกฤดูกาลต่างๆ น่าอัศจรรย์จริงๆ ที่นอกจากจะบอกเวลาได้แล้ว ยังสามารถบอกเดือนและฤดูกาลได้ด้วย รอบๆ บริเวณจัดตกแต่งภูมิทัศน์สวยงาม เหมือนเดินอยู่ที่สวนในต่างประเทศ มีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่และดอกไม้นานาชนิดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน สำหรับคนที่ชอบกีฬาก็มีสนามกอล์ฟที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ให้อวดวงสวิงแข่งขันกัน

จากนั้นก็ได้เวลาล่องเรือชมอ่างเก็บน้ำ เป็นเรือยนต์ขนาดใหญ่จุได้ 50 คน ล่องชมบริเวณโดยรอบอ่างเก็บน้ำ ทำให้ได้รู้ว่าอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน คือ แหล่งทำมาหากินของชาวบ้าน คุณประสพชัย เล่าว่า ในอ่างเก็บน้ำมีธุรกิจต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น ทำการประมงหาปลาไปขาย ธุรกิจล่องเรือชมอ่าง และการสร้างเรือนแพของเอกชนที่มีมากมายหลายเจ้าเรียงรายจนนับไม่ถ้วน เกิดการจ้างแรงงานทำให้ชาวบ้านแถบนั้นมีอาชีพ โดยใช้ผลประโยชน์ร่วมกันกับเขื่อนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้เวลาชมวิวทิวทัศน์ในอ่างเก็บน้ำประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน พามากินส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ทอด ลาบ น้ำตก และปลาทอดจากเขื่อน ที่ร้านอาหารบริเวณสันเขื่อนซึ่งเป็นร้านค้าของสวัสดิการพนักงานเขื่อน จะด้วยความหิว หรือแม่ครัวฝีมือดีก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่ส่งมาให้กินอร่อยหมด โดยเฉพาะไก่ทอดร้อนๆ ที่กรอบนอกนุ่มใน อร่อยจนฝันถึง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำตกเอราวัณ

ช่วงบ่ายไปคลายร้อนด้วยการไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณ น้ำตกขนาดใหญ่และสวยงาม มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไปและร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่าหลายชนิด ที่ได้ชื่อว่าน้ำตกเอราวัณ เพราะสายน้ำที่ไหลตกลงมาจากชั้นที่ 7 มองดูคล้ายกับหัวช้างเอราวัณที่มี 3 หัว น้ำตกแต่ละชั้นมีชื่อเรียกคล้องจองกันตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 7 คือ ไหลคืนรัง วังมัจฉา ผาน้ำตก อกผีเสื้อ เบื่อไม่ลง ดงพฤกษา ภูผาเอราวัณ ใครอยากจะรู้ว่าแต่ละชั้นสวยงามขนาดไหนก็ปีนป่ายขึ้นไปชมได้ไม่ผิดกติกาใดๆ ทั้งสิ้น 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหารเรือนธารา

แดดร่มลมตกถึงเวลาอาหารเย็น ห้องอาหารเรือนธารา อาหารเมนูชาวเขื่อนที่เป็นอาหารพื้นบ้าน เช่น แกงส้มหน่อไม้ดองปลากดคัง ที่เป็นเอกลักษณ์อร่อยไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ใครมาถึงเขื่อนศรีนครินทร์แล้วไม่ได้กินถือว่ามาไม่ถึงนะจะบอกให้ เพราะกาญจนบุรีขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหน่อไม้ มีทั้งหน่อไม้รวกและหน่อไม้ไผ่ตง ที่หวานอร่อยที่สุด นำมาทำเป็นหน่อไม้ดอง หน่อไม้ต้ม และหน่อไม้แห้ง

อาหารอื่นๆ ก็มี เมนูปลาจากเขื่อน เช่น ปลาทอดสมุนไพร ฉู่ฉี่ปลาคัง ปลาพุงแตก ปลาซอสมะขาม ปลาทอด แกงส้มผักหวานกุ้ง เต้าเจี้ยวหลน น้ำพริกลงเรือ ไก่รวนเค็ม อาหารทุกอย่างอร่อยตามตำรับถนัดศรีชวนชิม หลังจากรับประทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องตบท้ายด้วย ไอศกรีมหลากรสของอร่อยของที่นี่ อิ่มหนำสำราญแล้วก็กลับเข้าที่พัก ส่วนอาหารเช้าก็มีให้เลือกมากมายทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง หรือจะเป็นอาหารจานเดียวก็มีเช่นกัน

ก่อนกลับได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า ซึ่งมี คุณธัญญา ประเสริฐผล หัวหน้าแผนกเดินเครื่องและคณะเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ โดย คุณสุกิจ ยิ่งยง เป็นวิทยากรบรรยายความรู้เรื่องการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ให้เราฟังอย่างละเอียด โดยฝากให้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบว่า เขื่อนทุกเขื่อนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สร้างขึ้นมีประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างมหาศาล สมกับสโลแกนของ กฟผ. ที่กล่าวว่า “มุ่งมั่นและพัฒนา ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย” ไม่ต้องกลัวว่าเขื่อนจะแตก เพราะก่อนที่จะสร้างเขื่อนได้มีการวิจัย สำรวจ และหาข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ประกอบกับใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้าง สามารถกักเก็บน้ำและรองรับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวได้อย่างสบาย ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆ ทั้งสิ้น

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก จนทำให้การมาท่องเที่ยวเขื่อนศรีนครินทร์ครั้งนี้ มีความสุข สนุกสนาน และได้รับความรู้

เที่ยวเขาค้อ

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2510–2525 “เขาค้อ” คือสมรภูมิรบที่สำคัญที่คอมมิวนิสต์ยึดเป็นฐานที่ตั้งสู้รบกับทหาร มีทหาร ตำรวจ พลเรือนและประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตที่บนเขาค้อ กว่าจะรบชนะก็กินเวลาประมาณ 15 ปี ประวัติศาสตร์การสู้รบบนเขาค้อมีให้ศึกษาหาความรู้มากมาย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งบนเขาค้อ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีนิทรรศการและจำลองเหตุการณ์เมื่อครั้งกระนั้นให้ชมอย่างละเอียด

เขาค้อในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจนจำพื้นที่เดิมที่เคยไปไม่ได้เลย ตลอดสองข้างทางมีภูเขาใหญ่น้อยสลับซับซ้อนเรียงรายลูกแล้วลูกเล่าลดหลั่นกันไป ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเหมือนภูเขาในภาคเหนือ มีแต่ภูเขาหัวโล้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวขจีและต้นสนสามใบสวยงามมาก “เขาค้อ” จึงได้ฉายาว่า “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” ช่วงนั้นคนยังไม่นิยมไปท่องเที่ยว มีแต่ชาวบ้านที่ทำมาหากินตั้งรกรากอาศัยอยู่ดั้งเดิมเท่านั้น บรรยากาศและความเป็นธรรมชาติของเขาค้อในขณะนั้น จึงสดชื่นรื่นรมย์บริสุทธิ์ เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ยังไงยังงั้น

แต่เดี๋ยวนี้.....บรรยากาศทั้งหลายมันหายไปเกือบหมดแล้ว เพราะมีร้านค้า บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง ตลอดจนโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านขายของฝากของที่ระลึก ผุดขึ้นไปทั่วทั้งภูเขาจนดูคล้ายเขาใหญ่เข้าไปทุกที ราคาที่ดินพุ่งกระฉูด เพราะมีคนไปซื้อที่ปลูกบ้านหรือทำบ้านจัดสรร ภูเขาที่เคยเป็นเขาหัวโล้นก็กลับมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมไปทั่ว แทบไม่เหลือวิวแบบสวิตเซอร์แลนด์ให้เห็นอีกแล้ว แต่ก็น่าชื่นใจที่มีป่าไม้เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ

เขาค้อ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาน้อยใหญ่ของทิวเขาเพชรบูรณ์ ในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 1,333 ตารางกิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,290 เมตร มีป่าเต็งรังป่าสนขึ้นเรียงราย ภูมิอากาศเย็นตลอดปีและเย็นจัดในฤดูหนาว

ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนสายๆ แวะกินอาหารกลางวัน ที่ ร้านบ้านสวนกริลล์เพลส ของเชฟอั๋น ใกล้สี่แยกไฟแดง ทางที่จะไปอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี จากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) เลี้ยวขวาไปนิดเดียวร้านอยู่ฝั่งขวามือ เป็นร้านเชลล์ชวนชิมที่ขายสเต๊ก อาหารฝรั่งและอาหารไทยหลายอย่าง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของเบทาโกรมาปรุงอาหาร ทำให้อาหารทุกจานอร่อยและปลอดภัย เชฟอั๋นจัดอาหารยอดฮิตมาให้กินหลายอย่าง เช่น สเต๊กเนื้อแสนนุ่ม สเต๊กปลาแซลมอน พอร์คชอพ ไส้กรอก สปาเกตตีกุ้งแม่น้ำ สลัดผักสด ขนมปังอบกระเทียมที่หอมเนยและกระเทียม และที่อร่อยที่สุดเหมาะจะกินแกล้มเบียร์ คือ กระดูกหมูอ่อนอบซอส รสชาติกลมกล่อมเคี้ยวกระดูกอ่อนกรุบๆ อร่อยจนฝันถึง ใครจะไปเที่ยวเขาค้อขอแนะนำให้ไปกินอาหารกลางวันที่ร้านเชฟอั๋น รับรองจะติดใจ โทร.จองโต๊ะล่วงหน้าที่เบอร์ 08- 1404-3638

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พิพิธภัณฑ์เขาค้อ

เที่ยวพิพิธภัณฑ์อาวุธ เขาค้อ ให้เยาวชนรุ่นหลังได้มาศึกษาหาความรู้ ฟังบรรยายสรุปและชมยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย เช่น ซากเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถถัง ปืนกล ปืนใหญ่ ปืนเอ็ม 16 บังเกอร์หลบภัย ภาพนิทรรศการ การจำลองภูมิประเทศบนเขาค้อ และเครื่องแบบทหารของจริง ที่จัดได้อย่างยอดเยี่ยม 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ

ต่อด้วยการไป คารวะอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ที่สร้างเป็นแท่งหินอ่อนรูปทรงสามเหลี่ยมสูงตระหง่านอยู่บนยอดเขา ภายในสลักชื่อวีรชนผู้เสียชีวิต รำลึกถึงวีรชนผู้กล้าทั้งหลาย 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก

แล้วก็มากราบนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้คนที่อาศัยอยู่บนเขาค้อได้อยู่กันอย่างมีความสงบสุข เพราะก่อนหน้านี้คนไทยเคยสู้รบกันที่นี่

บนเขาค้อมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น พระตำหนักเขาค้อที่ตั้งอยู่บนเขาย่า วัดพระธาตุผาแก้ว น้ำตกศรีประดิษฐ์ สวนป่าหิมพานต์ และจุดชมวิวสวยๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูป ก่อนที่เราจะเดินทางกลับได้ไปแวะซื้อ ของฝากที่ร้านขายของฝากอยู่ตรงจุดชมวิวสวนรัชมังคลาภิเษก เส้นทางหล่มสัก–พิษณุโลก (สาย 12) กิโลเมตรที่ 108 มีของอร่อยๆ หลายอย่างจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา เช่น มะขามหวาน มะขามคลุก น้ำปู แจ่วบอง ปลาส้ม แหนมปลา ครูตั๋งทอดปลาส้ม แหนมปลามาให้พวกเราจิ้มน้ำปู แจ่วบอง กินกับข้าวเหนียวลืมผัว (เป็นชื่อพันธุ์ข้าวเหนียว ชื่ออย่างนี้จริงๆ) แกล้มกับหน่อไม้หวาน หลายคนบอกว่าอร่อยลืมผัวลืมเมียเลยจริงๆ สนใจของอร่อยที่ว่ามาโทร.ไปสอบถามได้ที่เบอร์ 08-1707-4636

เมื่อลงมาจากเขาค้อสิ่งหนึ่งที่ปฏิบัติเป็นประจำ คือ ไปรับประทานขนมจีนที่บีบเส้นสดๆ แล้วขยุ้มใส่จานไม่ทำเป็นจับเหมือนภาคกลาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเพชรบูรณ์ จะมีร้านขายขนมจีนมากมายหลายร้านตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนทั้งที่อำเภอหล่มสักและอำเภอหล่มเก่า ใครเป็นเจ้าประจำกันก็เข้าไปกินตามชอบ แต่คราวนี้ครูตั๋งพามากินที่ร้านขนมจีนสุพรรณ อยู่ที่หล่มเก่า มีทั้งน้ำยากะทิ น้ำยาป่า น้ำพริกและน้ำปลาร้า แถมด้วยแกงเขียวหวาน ลาบปลา และตบท้ายด้วยกล้วยบวชชี อิ่มจนถึงเย็น ซึ่งทำให้การเดินทางไปพักผ่อนครั้งนี้ สนุกสนาน กินอิ่มนอนหลับ

เที่ยวเมืองหอยหลอด

“เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ มีอุทยาน ร.2 แม่น้ำแม่กลองไหลผ่านนมัสการหลวงพ่อ บ้านแหลม”
คำขวัญเมืองแม่กลอง หรือ จ.สมุทรสงคราม ทำให้เราได้ทราบว่าที่นี่มีทั้งอาหารการกิน แหล่งประวัติศาสตร์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เราไปท่องเที่ยว

ชวนเที่ยวดอนหอยหลอดแบบเช้ากลับเย็น (เที่ยวเฉพาะดอนหอยหลอดเท่านั้นนะ) หาความสุขใส่ตัวแบบสบายๆ เหมือนผมบ้าง ก็จะทำให้ชีวิตยืนยาวไปอีกหลายปี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดอนหอยหลอด

ดอนหอยหลอด เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของ จ.สมุทรสงคราม ที่หลายคนรู้จักกันดี เป็นสันดอนอยู่ตรงปากแม่น้ำแม่กลอง เกิดจากการตกตะกอนของดินปนทราย ซึ่งคนโบราณเรียกว่า “ทรายขี้เป็ด” กินพื้นที่ 15 ตารางกิโลเมตร บริเวณสันดอนมีสัตว์ทะเลอยู่หลายชนิด แต่จะมีหอยอาศัยอยู่มากที่สุด เช่น หอยหลอด หอยลาย หอยปุก หอยปากเป็ด หอยแครง และที่มีมากที่สุด คือ หอยหลอด ลักษณะของมันเหมือนหลอดกาแฟ จึงเรียกว่าหอยหลอด แต่ที่จริงมันคือ หอย 2 ฝาประกบกัน ตัวมันสีขาวขุ่นยาวตามรูปร่างของเปลือกหลอด ฝังตัวอยู่ในเลน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หอยหลอด

วิธีจับหอยหลอดก็ง่ายกว่าจับหอยอื่นๆ ไม่ต้องลงไปในทะเล รอจนกว่าน้ำทะเลจะลดลงเห็นสันดอนก็เอาไม้เล็กๆ จุ่มปูนขาวแหย่ลงไปในรูหอยหลอด หอยจะเมาปูนแล้วโผล่ขึ้นมาให้จับ แต่บางคนใช้วิธีสาดปูนขาวลงบนสันดอน เมื่อหอยเมาก็จะโผล่ออกมามากมายง่ายต่อการจับ ทำให้หอยลดจำนวนลงมาก จนครั้งหนึ่งเคยมีการรณรงค์ไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะหอยหลอดที่นี่เป็นแหล่งที่ใหญ่และมีมากที่สุดในประเทศไทย ถ้าสูญพันธุ์ไปเราคงไม่มีหอยหลอดกินแน่ๆ แต่ปัจจุบันนี้ได้ข่าวมาว่ามีนักท่องเที่ยวเดินลงไปที่สันดอนมากแทบทุกวัน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถจับหอยได้ หอยจึงเพิ่มจำนวนขึ้น ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม จะเป็นช่วงน้ำทะเลลดลงนานกว่าช่วงเวลาอื่น สันดอนก็จะโผล่มาให้เห็น ทำให้สามารถลงไปเดินเล่นจับหอยหลอดได้อย่างสบาย

มาเที่ยวดอนหอยหลอด นอกจากมากินอาหารทะเลสดๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง แถมยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ เดินทางสะดวกขับรถมาชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว ก่อนเข้าดอนหอยหลอดจะมีป้ายบอกทางเห็นชัดหาง่ายไม่หลงแน่ๆ เริ่มจากไปไหว้ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ตั้งตระหง่านหันหน้าสู่ทะเล บรรดานักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต้องแวะมากราบไหว้เสมอ ใครจะขออะไรมักจะประสบความสำเร็จ ดูจากคนที่มาจุดประทัดแก้บนดังสนั่นหวั่นไหวเกือบทุกวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ หรือที่ทหารเรือเรียกพระนามท่านจนติดปากว่า “เสด็จเตี่ย”ท่านเป็นศูนย์รวมใจเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวประมง ที่ใช้ชีวิตอยู่กับทะเลแทบทุกคน ด้านหลังของศาลมีศูนย์เรียนรู้ของชุมชน ที่เปิดให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ประวัติดอนหอยหลอด ภูมิปัญญา ท้องถิ่นและข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หอยหลอด

หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว คราวนี้ก็มาดูว่าน้ำขึ้นหรือน้ำลง อยากแนะนำว่า ก่อนไปควรสอบถามรายละเอียดเวลาน้ำขึ้น-น้ำลงที่ อบต.บางจะเกร็ง โทร. 0-3472-3749, 0-3472-3736 หรือตารางน้ำขึ้น-น้ำลง ณ ดอนหอยหลอด กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ถ้าน้ำลงก็สามารถลงไปเดินสำรวจดอนหอยหลอดได้อย่างใกล้ชิด ใครจะเตรียมอุปกรณ์ลงไปทดลองจับหอยหลอดด้วยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ถ้าน้ำขึ้นก็เช่าเรือหางยาวชมปากอ่าวบริเวณดอนหอยหลอดก็จะได้บรรยากาศอีกแบบคือ ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมง เห็นภูมิประเทศบริเวณปากอ่าว ดูความอุดมสมบูรณ์ของป่าโกงกาง และช่วยเหลือชาวบ้านให้มีอาชีพในการพานักท่องเที่ยวนั่งเรือชมวิว กิจกรรมนั่งเรือชมปากอ่าวกับจับหอยหลอด จะทำกันก่อนหรือหลังอาหารกลางวัน คงต้องพิจารณาจากช่วงน้ำขึ้น-น้ำลงเป็นตัวกำหนด ส่วนเรื่องอาหารกลางวันจะกินร้านไหนก็ได้ เพราะมีร้านอาหารทะเลมากมายหลายร้านให้เลือก 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ร้านลุงขันธ์  หอยหลอด

เมื่อก่อนนี้ประมาณ 20 ปีมาแล้ว ที่ดอนหอยหลอดมีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้าน ร้านที่คนรู้จักกันมากก็คือ ร้านลุงขันธ์ ร้านนี้ทำเลและวิวดีมากมองเห็นสันดอนและทะเลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ มาขวางหูขวางตา ลมพัดแรงจนหัวหูกระเจิง เหมาะที่จะร่ำสุราเป็นที่สุดเพราะดื่มแล้วไม่เมา 

บริเวณข้างๆ เป็นป่าชายเลนมีต้นโกงกางขึ้นเต็มไปหมด แถมยังมีลิงแสมอาศัยอยู่บนต้นโกงกางมากมาย เจ้าลิงพวกนี้มันกินปูแสมเป็นอาหาร วิธีการจับปูของมันชาญฉลาดมาก มันไม่ได้ลงไปวิ่งไล่จับปูแบบคนหรอก แต่จะนั่งอยู่บนต้นโกงกางและเอาหางแหย่ลงไปในรูปู ปูก็เอาก้ามหนีบหาง ลิงแสมก็ตวัดหางเอาปูเข้าปากอย่างสบายๆ 

ดังนั้น ลิงแสมกับปูแสมจึงเป็นของคู่กัน 

ปัจจุบันร้านลุงขันธ์ก็ยังเปิดขายอยู่ แต่บรรยากาศของร้านไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะมีถนนตัดผ่านหน้าร้านและอนุญาตให้พ่อค้าแม่ค้าตั้งเพิงขายอาหารและของฝากจนเต็มไปหมด เสียดายความงดงามของดอนหอยหลอดที่ควรค่าน่าอนุรักษ์บรรยากาศริมทะเลไว้ให้ลูกหลานได้เห็นบ้าง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ร้านเป๋า หอยหลอด

ส่วนร้านอร่อยที่จะพาไปกิน เป็นประจำที่ดอนหอยหลอด คือ ร้านเป๋า ร้านนี้เขามีชื่อเรื่องเบอร์เกอร์ปลาทู โดยนำปลาทูแม่กลอง ซึ่งเป็นปลาทูที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย ปรุงรสด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย โขลกและคลุกเคล้าให้เข้ากันก็จะเหนียวเหมือนเนื้อปลากราย ปั้นเป็นก้อนชุบกับเกล็ดขนมปังทอด เอาขนมปังก้อนกลมๆ ผ่ากลางใส่ผักกาดแก้ว มะเขือเทศฝานบางๆ ราดซอสมะเขือเทศ ซอสพริกและมายองเนส อร่อยไม่แพ้แฮมเบอร์เกอร์ของฝรั่งเลย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ร้านเป๋า หอยหลอด

นอกจากนี้ ก็มีอาหารทะเลสดๆ เช่น ปูม้านึ่ง ปูทะเลผัดผงกะหรี่ กุ้งอบเกลือ ปลากะพงคุณเป๋า ปลาทูฉู่ฉี่ ปลาลิ้นหมาทอดน้ำปลา ปลาดุกทะเลผัดฉ่า ยำปลาทูสาวขาวใหญ่ หรือยำส้มโอขาวใหญ่ของดีแม่กลองกับปลาทูแม่กลองเข้ากันอย่างกับกิ่งทองใบหยก เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว ตามด้วยสารพัดเมนูหอยหลอดที่ต้องสั่งมากินให้จงได้ เพราะเรามาดอนหอยหลอด เพื่อจะมากินหอยหลอดโดยเฉพาะ จะนำไปทำเป็นแกงคั่ว ผัดฉ่า แดดเดียว หรือทอดกรอบก็ไม่ผิดกติกาใดๆ เกือบลืมบอกไป มีเมนูเด็ดที่อยากให้กินคือ ข้าวเกรียบปลาทู ที่มีรสชาติ เอร็ดอร่อยไม่แพ้ข้าวเกรียบกุ้ง ยิ่งได้จิ้มกับน้ำพริกเผาแล้ว เคี้ยวเพลินเกินห้ามใจ ต้องซื้อกลับไปกินต่อที่บ้าน ไม่เชื่อลองสั่งมากินดู บรรยากาศภายในร้านติดทะเลโล่งโปร่งสบายลมพัดตึง มองเห็นเรือหาปลาและคนกำลังหาหอยหลอดเพลิดเพลินใจดี เหมาะสำหรับพาครอบครัวไปกินลมชมวิวแบบสบายๆ ใครสนใจจะโทร.จองโต๊ะก่อนก็ได้ ที่ 08-1941-0376, 0-3472-3703

อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็มาเดินช็อปปิ้งซื้อของฝากนานาชนิด ที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองแม่กลอง วางขายเรียงรายอยู่สองข้างทาง เช่น กะปิคลองโคน หอยหลอดทั้งสดทั้งแห้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก มีทั้งสดและตากแห้ง กุ้งแห้ง เกลือ น้ำปลา น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลสด ขนมจาก หรือจะเป็นผลไม้จากสวน เช่น ส้มโอขาวใหญ่ มะพร้าวน้ำหอม ชมพู่สาแหรก ลิ้นจี่ (ตามฤดูกาล) แต่ที่ขาดไม่ได้ คือ ปลาทูแม่กลอง ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ หน้างอ คอหัก เป็นปลาทูโป๊ะ รสชาติอร่อยจัดว่าเป็นสุดยอดปลาทูไทย มีให้เลือกมากมายหลายขนาด ใครไปเที่ยวแม่กลองแล้วไม่ซื้อปลาทู ต้นตำรับ หน้างอ คอหัก ของแท้ ติดไม้ติดมือกลับบ้าน ถือว่ามาไม่ถึงแม่กลอง

สุขภาพจิตดี...ยังมีขาย


อย่างที่เรารู้กันหรือเคยได้ยินกันว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” หากสุขภาพจิตไม่ดีย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างแน่นอน และในทางกลับกันเมื่อสุขภาพกายไม่ดี ก็ย่อมส่งผลต่อความไม่สบายใจจนอาจจะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตต่อไปได้

เพื่อให้ทุกท่านได้รับความรู้ ความเข้าใจปัญหา เกี่ยวกับโรคที่เกิดกับจิตใจ ที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัวคุณ และเมื่อได้รับความรู้แล้ว ย่อมทำให้เกิดการยอมรับมากขึ้น รวมถึงการตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อขาดการเยียวยารักษาที่ดี และปล่อยให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “โรค” (Disease หรือ Disorder) นั้นย่อมไม่เป็นสิ่งที่ใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน

เคยมีหน่วยงานภาครัฐทำการสำรวจสุขภาพจิตของคนไทยนับหมื่นคน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าเกือบร้อยละ 70 ของคนไทยมีความเครียด และยังมีการสำรวจเพิ่มเติมอีกครั้งพบว่า ประมาณร้อยละ 25 มีปัญหาทางสุขภาพจิตถึงขั้นเจ็บป่วยเป็นโรคทางจิตเวช (Mental Disorder) เช่น วิตกกังวลและโรคซึมเศร้า

โดยสาเหตุของปัญหาหลักๆ ก็เกิดมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน การทำงาน ปัญหาสังคมและการเจ็บป่วยทางกาย

นอกจากนี้ บางรายพบว่ามีปัญหาถึงขั้นป่วยเป็นโรคจิต (Psychosis) ตามสถิติของผู้ป่วยนอก ที่มารักษาที่ รพ.จิตเวชของรัฐพบว่า ส่วนใหญ่มีอาการประสาทหลอน เช่น หูแว่ว หวาดระแวง ฯลฯ

ผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว มักใช้วิธีการแก้ปัญหา ด้วยการพึ่งพาตนเองก่อนพึ่งพาผู้อื่น รวมถึงไสยศาสตร์และหมอดู แต่ไปใช้บริการจากภาครัฐและภาคเอกชนน้อยมาก

ดังนั้น สิ่งที่เราคนไทยจะเห็นอยู่บ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็คือ เรื่องการฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเดี่ยวๆ หรือหมู่ รวมถึงการฆ่าผู้อื่น ซึ่งรวมถึงปัญหาการก่อคดีอาชญากรรมมากมาย ก็บ่งชี้ถึงการมีปัญหาสุขภาพจิตเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องการใช้สารเสพติดที่มีจำนวนไม่น้อย ควบคู่กับการใช้ความรุนแรงในระดับครอบครัว และสังคมก็เป็นตัวที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิตทั้งสิ้น ถ้าลองคำนวณคร่าวๆ พบว่าคนไทยไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านคน เป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิต และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม

สุขภาพจิต (Mental Health) คืออะไร
ถ้าจะถามว่าสุขภาพจิตคืออะไร จะมีสักกี่คนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริง หรือแค่พอเข้าใจบ้าง บางคนก็บอกว่า หมายถึง สุขภาพจิตที่ดี
หลายคนมีความคิดว่า การมีความสุข หรือคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น หมายถึงการมีวัตถุที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตได้ ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไรยิ่งหมายถึงว่ามีความสุขมากเท่านั้น รวมทั้งการที่มีคนรอบข้างคอยให้ความรัก ความเอาใจใส่ในตัวเรามาก ก็แสดงถึงเราคงจะมีความสุขมาก 
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้ว แต่เป็นความเข้าใจที่ผิดทั้งสิ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เราได้รับมาจากภายนอก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความไม่ยั่งยืนเกิดที่ขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา และหากเราไม่เคยให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต ที่สามารถเกิดขึ้นจากการจัดการในใจของเราเองโดย ที่ไม่จำเป็นต้องรอปัจจัยภายนอกมาคอยเอื้ออำนวยให้เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขได้อย่างไร

ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ความหมายว่า
สุขภาพจิต หมายถึง ความสมบูรณ์ทางด้านจิตใจ ปราศจากอาการของโรคทางจิตเวช หรือลักษณะที่ผิดปกติอื่นๆ ทางด้านจิตใจ และยังหมายความรวมถึงการที่บุคคล ที่มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในใจ มีความสุขอยู่กับสังคมและ สิ่งแวดล้อมได้ดี ทำให้สามารถที่จะมีสัมพันธภาพอันดีกับบุคคลอื่น และดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย
สำหรับข้าพเจ้าเองค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่อง “การปรับตัว” ว่า เป็นเรื่องบ่งบอกสุขภาพจิตของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะต้นตอของความทุกข์ มักมาจากการสูญเสียหรือไม่สมหวัง

ดังนั้น หากมีความทุกข์แล้วปรับตัวได้เร็ว ก็น่าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการมีสุขภาพจิตที่ดีได้

สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะนำเราไปสู่การมีสุขภาพจิตดีได้ก็คือ การรู้จักตัวเอง และเมื่อรู้จักตัวเองแล้ว ก็ควรจะเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นบ้าง เพื่อทำให้เราไม่ตัดสินว่า ใครดีไม่ดี ไปก่อนด้วย “ความคิด” หรือ “อคติ” ของเราเอง และความคิดเหล่านั้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีความทุกข์ได้มาก

ดังนั้น หากเราสามารถที่จะเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น รวมถึงการให้อภัยคนอื่นได้ ความสุขคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอีกมากมาย ที่ทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ไม่ดีได้นั่นก็คือ “ความเจ็บป่วยทาง จิตเวช” (Mental Disorder) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก และต้องบำบัดรักษาโดยบุคลากรทางการแพทย์ แต่ทัศนคติของการมาพบบุคลากรทางการแพทย์ยังน้อยอยู่มาก ซึ่งต้องรีบเร่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตให้มากขึ้น

ปัจจุบันมีการศึกษามากขึ้นว่า อาการของโรคทางด้านจิตเวชนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติในสมอง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง หรือส่วนประกอบภายในที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่ผิดปกติ อันส่งผลให้เกิดความผิดปกติด้านการแสดงออก หรือพฤติกรรมผิดปกติได้มากมาย จนเป็นโรคหรือปัญหาสุขภาพจิตได้

โรคทางจิตเวชมีมากมายเป็นร้อยๆ โรค ซึ่งถ้าจะนำมาลงเสนอทั้งหมดคงไม่ไหว ซึ่งสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา นำมาเสนอเฉพาะที่เจอบ่อยๆ เช่น

1. โรคจิต (Psychotic disorder) เป็นโรคที่เกิดจากแนวความคิดที่ผิดปกติ ซึ่งอาการแสดงออกที่เห็นได้บ่อยๆ คือ หวาดระแวง กลัวคนมาทำร้าย คนคิดไม่ดีหรือปองร้ายกับตนเอง หรือคนที่เกี่ยวข้อง 

บางรายมีอาการหูแว่วเป็นเสียงมาด่ามาว่าหรือมาทำร้าย ทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา อาการก็จะยิ่งแย่ลง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่นได้ ช่วงอายุที่สามารถเกิดโรคได้ ก็จะเริ่มตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะเริ่มเป็นที่อายุไม่เกิน 45 ปี

2. โรคอารมณ์แปรปรวน (Mood or affective disorder) ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ก็จะมีปัญหาในเรื่องของอารมณ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย หรือที่เรียกว่า “แปรปรวน” เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งอาการก็จะมีทั้งซึมเศร้า ร่าเริง หรือซึมเศร้าสลับร่าเริง ที่เรียกว่าไบโพลาร์ มีอาการพูดมาก ใช้เงินมากเกินความจำเป็น ความคิดเร็ว บางช่วงเศร้าจนมีความคิดอยากทำร้ายตนเองก็มี ช่วงที่อาการสงบก็อาจจะใกล้เคียง หรือเหมือนคนปกติทั่วๆไป แต่มักจะเกิดซ้ำๆ เป็นช่วงๆ 

บางรายก็เป็น ปีละหลายๆ ครั้ง ส่วนช่วงอายุที่เริ่มป่วยก็คล้ายๆ กับกลุ่มที่เป็นโรคจิต

3. โรควิตกกังวล (Anxiety disorder) ผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีอาการวิตกกังวลง่าย ย้ำคิดย้ำทำ กังวลไปล่วงหน้า บางรายก็จะกังวลไปทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองก็เก็บมากังวล ขาดความมั่นใจในตัวเอง 

บางรายพบว่า เวลามาพบแพทย์จะมีอาการต่างๆ มากมาย เช่น ใจสั่น จุกแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ท้อแท้ เหมือนตัวเองจะขาดใจ หรือกำลังจะเป็นบ้า มักจะมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านพัฒนาการจิตใจ การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ก็ส่งผลถึงอาการของโรคในปัจจุบันด้วย และมีการศึกษาพบว่าผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้ ก็เกิดจากมีความผิดปกติ ของสารสื่อประสาทบางตัวที่อยู่ในสมองด้วย สำหรับอายุที่เริ่มเป็นก็มักจะเริ่มตั้งแต่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นและมักจะติดต่อกันยาวนานหลายสิบปี ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพียงพอ บางรายเป็นต่อเนื่องไปจนถึงวัยชราก็มี

4. โรคติดสารเสพติด (Substance use disorder) กลุ่มนี้ก็พบมากและมักจะอยู่ร่วมกับโรคอื่นๆ ดังกล่าวมาข้างต้น เนื่องจากผู้ป่วยหลายๆ รายเข้าใจผิดว่าการใช้สารเสพติดเหล่านั้น จะช่วยให้ความทุกข์ใจ ไม่สบายใจหายไป แต่ความจริงแล้วก็เพียงชั่วคราว แต่สิ่งที่ตามมานั้น ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในทางที่แย่ลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายทรุดโทรม สมองถูกทำลายไปเรื่อยๆ 

บางรายก็มีอาการโรคจิตเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ หรือถาวรไปเลยก็มี การรักษาหรือบำบัดผู้ติดสารเสพติด เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ต้องอาศัยความเข้มแข็งอดทนของผู้ป่วย และกำลังใจจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ

5. โรคจิตเวชของเด็ก เช่น สมาธิสั้น ออทิสติก บกพร่องทางสติปัญญา หรือเดิมเรียกว่าปัญญาอ่อน เด็กมีปัญหาเรื่องการเรียน (Learning disorder) บางราย พ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่ทราบว่าเป็นความเจ็บป่วยทางสมอง แต่ไปคิดว่าเป็นปัญหาทางด้านพฤติกรรมของเด็ก ที่นิสัยไม่ดี ไม่รักดี หรือบางครอบครัวก็โทษว่าเป็นเรื่องการเลี้ยงดู โดยโยนความผิดใส่กัน เช่น ตามใจมากจนเกินไป เป็นต้น ความจริงแล้วความผิดปกติเหล่านี้ เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมองเป็นส่วนใหญ่ 

นอกจากนี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่เกิดจากปัญหาของผู้เลี้ยงดูเป็นสำคัญ ที่ไม่สามารถฝึกให้เด็กๆ เหล่านั้นเป็นเด็กที่มีวินัย หรือฝึกการรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานวัน ปัญหาเหล่านี้ก็หมักหมม จนกลายเป็นปัญหาพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ต่อไป

6. บุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorder) อันนี้มิใช่โรค แต่เป็นปัญหาสุขภาพจิตชนิดหนึ่ง คำว่าบุคลิกภาพในทางด้านจิตวิทยา มิใช่แค่ภาพลักษณ์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องแนวคิดในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์ การปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด เป็นต้น มีลักษณะที่คล้ายกับคำว่า “ความฉลาดทางอารมณ์” หรือที่คุ้นเคยกับคำว่า “อีคิว” นั่นเอง ซึ่งผู้ที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ จะมีการแสดงออกทางด้านอารมณ์ พฤติกรรม การแก้ปัญหา การปรับตัวที่ไม่ดี 

บางรายถึงขั้นกลายเป็นอาชญากร หรือกระทำความผิดได้ อาการมักจะเด่นชัดหลังจากอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่บางรายสามารถเห็นปัญหาเหล่านี้มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้วก็มี ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานๆ ยิ่งแก้ไขได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

7. โรคความเสื่อมของสมอง ส่วนใหญ่มักเกิดหลังอายุ 60-65 ปีขึ้นไป อาการที่ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคทางจิตเวช เพราะมีการแสดงออกทางด้านพฤติกรรมที่ผิดปกติ และความจำที่ผิดปกติที่พบบ่อยๆ คือ โรคสมองเสื่อม (Dementia) ที่หลายๆ คนรู้จักโรคหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือ อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) นั่นเอง ในความเป็นจริงแล้ว โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นโรคทางกายมากกว่า เพียงแต่ว่าผู้ป่วยมักจะมีอาการแสดงออกมาทางด้านพฤติกรรมและความคิด 

บางรายมีอาการซึมเศร้า สับสนวุ่นวาย หวาดระแวง รักษาไม่หาย แต่ชะลอความเสื่อมได้บ้าง

เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัดเกตการาม

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบศึกษาเรื่องศิลปวัฒนธรรม นอกจากแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งที่อยากเชิญชวนให้ไปเที่ยวชม คือ พิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม ถนนเจริญราษฎร์ อำเภอเมืองเชียงใหม่

วัดเกตการาม เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ สร้างในปีพ.ศ.1971 สมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน ย่านวัดเกต อยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ถือเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันย่านวัดเกตเป็นทั้งย่านที่อยู่อาศัย และย่านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จักวัดแห่งนี้ว่า เป็นวัดที่มีพระเกศแก้วจุฬามณี เจดีย์องค์จำลอง ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดสำหรับคนเกิดปีจอ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โฮงตุ๊เจ้าหลวง

พิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม ก่อตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของญาติโยมที่มีจิตศรัทธา เมื่อปีพ.ศ.2542 มีคณะกรรมการวัดเกตการามเป็นผู้ดูแลอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เคยเป็นกุฏิพระครูชัยศีลวิมล (พ.ศ.2429 ถึง พ.ศ.2500) เรียกกันว่า “โฮงตุ๊เจ้าหลวง”

ก่อนจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ คณะกรรมการวัดได้ไปดูการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์วัดร้องเม็งมาก่อน และเห็นว่าชุมชนวัดเกตการามมีวัตถุทางวัฒนธรรมที่สามารถจัดแสดงได้เช่นกัน จึงจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อเก็บรักษาวัตถุที่มิได้ใช้ในชีวิตประจำวันในปัจจุบันแล้ว ข้าวของที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นของที่ได้รับบริจาคเพิ่มเติมมาในระหว่างที่มีการก่อตั้ง ผู้บริจาคคนสำคัญคือ คุณจรินทร์ เบน และคุณอนันต์ ฤทธิเดช (เจ้าของเฮือนรัตนา หางดง) มีรูปภาพเมืองเชียงใหม่ในอดีต ถ่ายโดยคุณบุญเสริม สาตราภัย (ภาพที่จัดแสดงเป็นสำเนาภาพ พร้อมคำอธิบายที่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยคุณสุรพงษ์ ภักดี) มีนักวิชาการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่ เข้ามาช่วยในการทำป้ายอธิบาย

เมื่อเดินเข้าสู่อาคารพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดงส่วนแรก เป็นโถงกว้างจัดแสดงหิ้งพระ และพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่า เครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องดนตรีล้านนา

จากโถงจัดแสดงด้านนอก เมื่อเดินเข้าไปจะแบ่งห้องจัดแสดงไว้ 3 ห้อง ห้องแรก มีสิ่งของจำนวนมากและหลากหลาย เช่น ผ้า หนังสือเก่า เครื่องแก้ว ถ้วยโถโอชาม พัดลมเพดาน เครื่องปั๊มน้ำ สิ่งของร่วมสมัยอื่นๆ ซึ่งมีอายุไม่เก่ามากนักแต่มิได้ใช้งานแล้ว

ห้องที่สอง จัดแสดงภาพเก่า พระพุทธรูป พระพิมพ์ ตาลปัตร พัดยศของพม่า หนังสือวรรณกรรมเกี่ยวกับล้านนา เทวรูปมีทั้งที่ทำด้วยไม้ หิน และปูน ตุ๊กตาจีน เครื่องชั่งตวงในสมัยก่อน เทป แผ่นเสียงเก่า

ห้องที่สาม เน้นการแสดงสิ่งของที่ทำจากผ้า ได้แก่ ธงต่างๆ ธงมังกร ผ้ากำปี (ผ้าคัมภีร์) เครื่องแต่งกาย มีทั้งที่จัดแสดงไว้ในตู้และขึงบนผนัง

ได้ไปเที่ยวมาแล้ว ขอบอกว่าคุ้มค่าจริงๆ ถ้ามีเวลาก็จะไปอีกอย่างแน่นอน

นิวเคลียร์เชอร์โนบิล โรงไฟฟ้าสยองขวัญ



เคยบ้างไหม บางครั้งที่อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ มีอาการเย็นวาบตามเนื้อตัว หรือขนหัวลุกขึ้นมาเฉยๆ?
เคยบ้างไหม บางครั้งที่เข้าไปบางสถานที่ แล้วมีความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
เคยบ้างไหม บางครั้งได้ยินเสียงแปลกๆ แต่พอไปดูแล้วก็ไม่มีอะไร หรือได้ยินเสียงประตูปิดที่ชั้นบน ทั้งที่ไม่มีลมพัด?
เรามักจะได้ยินคนพูดถึงปรากฏการณ์แปลกๆ หลอนๆ อยู่เสมอ บางคนก็เจอกับตัวเองบ่อยครั้ง แต่บางคนก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเอาเสียเลย ความเชื่อเรื่องวิญญาณนั้นไม่ใช่มีเพียงแต่คนไทย หรือคนเอเชียเท่านั้น แม้แต่ฝรั่งเองก็มีคนที่เชื่ออยู่ไม่น้อย ถ้าลองไปค้นคว้าหาข้อมูลดูจะพบว่า ฝรั่งก็มีคนที่ถูกผีเข้าสิง มีบ้านผีสิง ปราสาทอาถรรพณ์ โรงแรมที่ไม่ควรไปพัก เพราะมักจะมีคนเจอของแถมเป็นประจำและจากการจัดอันดับสถานที่ต้องห้ามที่น่ากลัวที่สุดไว้อย่างเช่น เมืองที่คนขวัญอ่อนไม่ควรไปโดยเด็ดขาดได้แก่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองคราโค่

เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี ที่เคยเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในยุคกลางจนทำให้ชาวเมืองเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เป็นที่เล่าขานกันว่าที่นั่นจะมีเสียงโหยหวนที่น่ากลัวดังขึ้นเป็นประจำ จนคนต่างถิ่นไม่กล้าเข้าไป

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองออราดูร์ ซูแกลน

เมืองออราดูร์ ซูแกลน ที่ฝรั่งเศส เมืองนี้กลายเป็นเมืองร้างมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะถูกทหารนาซีบุกเข้าไปเข่นฆ่าชาวบ้านไปมากกว่า 600 ศพ แม้ว่าจะมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียงแล้ว แต่บรรยากาศของเมืองเก่ายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสยองขวัญที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไป

เมือง, อนุสาวรีย์, รูปปั้น, พลาซ่า, สถานที่สำคัญ, การท่องเที่ยว

อีกเมืองหนึ่งที่แม้จะเป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งจะสร้างมาเมื่อพ.ศ.2513 แต่เพียง 16 ปีหลังจากที่ผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยกัน โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์นามกระฉ่อน เชอร์โนบิล ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรก็เกิดระเบิดขึ้นจนทำให้มีคนเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง แต่ปัญหาการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีที่อันตรายสุดขีด ทำให้ต้องมีการอพยพผู้คนทั้งหมดออกจากเมืองไปในทันที เมืองนั้นจึงกลายเป็นเมืองร้างและมีบรรยากาศที่หลอน วังเวงน่ากลัวที่สุด คือเมือง พรีเพียต ในประเทศยูเครน

พรีเพียต เป็นเมืองร้างยุคใหม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนไม่น้อยไปกว่าเมืองโบราณอื่นๆ ที่มีประวัติยาวนานในทวีปยุโรป แม้ว่าจะเป็นเขตหวงห้าม เพราะยังมีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาอยู่ตลอด แต่ก็มักจะมีคนที่อยากลองของแอบเข้าไปอยู่เสมอ เมื่อไปมาแล้วก็จะเล่าถึงความรู้สึกและประสบการณ์แปลกๆ ซึ่งเจอในเมืองนั้นคล้ายๆ กันว่า บรรยากาศของความวังเวง สัมผัสได้ตั้งแต่หลายกิโลเมตรก่อนเข้าสู่ตัวเมือง เพราะ 2 ข้างทางมีฟาร์มและบ้านร้างอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ

ต้นไม้, เรือ, น่ากลัว, รก, ขนส่ง, ยุโรป

ในตัวเมืองมีเศษขยะและข้าวของที่ถูกทิ้งเรี่ยราดตามถนนทุกสาย 2 ฟากถนนมีตึกรามเรียงรายอยู่พอสมควร รถยนต์หน้าตาโบราณๆ มีจอดทิ้งไว้ให้เห็นอยู่หลายคัน บอกให้รู้ว่ามันเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย แต่บัดนี้มีเพียงความเงียบกับเสียงลม ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นเมื่อเดินไปตามถนน เหมือนมีสายตาจากที่ใดที่หนึ่งทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง จ้องมองเราอยู่แทบทุกฝีก้าว


สะพานคอนกรีตที่ดูไม่ต่างจากสะพานทั่วไป แต่เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าไปบนนั้น ความรู้สึกเยียบเย็นแบบประหลาดๆ ก็เข้ามากระทบประสาทสัมผัสทันที เมื่อครั้งเกิดเหตุที่โรงไฟฟ้า ชาวเมืองจำนวนหนึ่งพากันไปยืนบนสะพาน ที่สามารถมองเห็นโรงไฟฟ้าได้ พวกเขามองดูการระเบิดที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่คิดว่ารังสีที่สูงเกินค่าที่ปลอดภัยกว่า 500 เท่าจะแผ่ไปถึงที่นั่นอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่นั่นตายหมดในไม่กี่วันหลังจากนั้น

ต้นไม้, ล้อ, ดอกไม้, เมือง, ในเมือง, การพักผ่อนหย่อนใจ

ถนนแคบๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ 2 ด้านของถนนพาเข้าไปสู่สวนสนุกประจำเมือง ที่มีวงล้อชิงช้าสวรรค์สีเหลืองมองเห็นได้แต่ไกล ที่นี่เคยเป็นจุดมีสีสันและมีชีวิตชีวาที่สุดของเมือง เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็กๆ และหนุ่มสาวที่เคยดังไปทั่ว ปัจจุบันนี้เหลือแต่ความเงียบวังเวง หดหู่ คราใดที่ลมเย็นยะเยือกกระโชกพัด ทั้งเสียงลมและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องเล่น ที่ทำจากโลหะก็ดังขึ้น และใบไม้ตามพื้นปลิวว่อนเคว้งคว้างไปตามแรงลม ทำให้ใครที่เข้าไปสัมผัสสถานที่นั้นแล้วไม่อยากอยู่ต่อแม้สักนาที ในอาคารต่างๆ คือที่ที่จะทดสอบประสาทว่าใครทนหลอนได้ดีกว่ากัน โดยเฉพาะในโรงพยาบาล กลิ่นอายของความเจ็บป่วย ความตาย ตลบอบอวลตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป ประสาทสัมผัสทุกส่วนจะตึงเขม็งไปอย่างไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่เสียงเหมือนกรีดร้องอย่างน่ากลัวดังขึ้นให้ทุกคนได้ยินโดยไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากที่ใด ทุกคนที่เดินอยู่ในนั้นล้วนแต่มองตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครอยากจะหันไปแล้วเจอภาพสยองที่ทำให้ขนลุกขนพอง ห้องคนป่วยหลายห้องมีคราบสีเข้มเลอะบนผนังและบนฟูกที่ขาดวิ่น ขวดยาที่เปิดทิ้งไว้หลายขวดทำให้จินตนาการไปต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ในห้องพวกนั้นตามโรงเรียนและเนิร์สเซอรี่เด็กเล็กมีตุ๊กตาหลายตัววางอยู่ตามพื้นบ้าง ข้างบันไดบ้าง บนโต๊ะ ที่ล้มคว่ำอยู่กับพื้นบ้าง คราใดที่หันไปมองมันโดยบังเอิญ

สถาปัตยกรรม, คฤหาสน์, บ้าน, ชั้น, อาคาร, บ้าน

ความรู้สึกบอกว่ามันกำลังจ้องมองเราอยู่เช่นกัน ตุ๊กตาเหล่านั้นหลายตัวนอกจากจะดูเหมือนมีชีวิตแล้ว ยังดูราวกับมีใครบางคนที่เล่นมันแล้วเอามาวางไว้ชั่วคราว บ่อยครั้งที่มีเสียงกระพือปีกเหมือนนกขนาดใหญ่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตามอาคารต่างๆ หลายคนบอกตรงกันว่าเคยเห็นเจ้าของเสียงที่ว่ามันเหมือนนกปีศาจสีดำขนาดใหญ่มาก บางคนบอกว่าปีกมันกางกว้างออกไปตั้ง 20 ฟุต แต่เพียงชั่วแวบเดียวมันก็อันตรธานไปเสียแล้ว ผู้คนแถบนั้นรู้จักมันในชื่อ “Black Bird of Chernobyl”และเชื่อกันว่ามันอาจเป็นผลพวงจากการกลายพันธุ์เพราะกัมมันตภาพรังสี แถบอพาร์ตเมนต์คนงานมีหลายคนบอกว่าพบเห็นเงาดำเหมือนผู้ชายร่างสูงผ่านไปผ่านมา ทั้งที่อาคารนั้นร้างสนิท มีการขนานนามเขาคนนั้นว่า “Slender Man” ถ้าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพหลอน เขาก็คงไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน เพราะไม่มีมนุษย์คนใดจะอาศัยอยู่ในเมืองแบบนั้นได้ความสยองขวัญของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ “Chernobyl Diaries เชอร์โนบิลเมืองร้าง มหันตภัยหลอน” กับเรื่องราวของกลุ่มนักท่องเที่ยว 6 คนที่จ้างไกด์เถื่อนให้ลักลอบพาเข้าไปสำรวจเมืองร้างในเขตหวงห้ามแห่งนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนถูกจับตามอง และค้นพบว่าบางทีสถานที่แห่งนี้อาจไม่ได้มีแต่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น...

10

ย้อนอดีตกลับไปสู่ยุคที่เมืองแห่งนี้ยังไม่กลายเป็นเมืองหลอน ประเทศยูเครนในยุคนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต, พ.ศ.2520 คือปีที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เตาที่ 1 ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์โรงแรกของที่นั่นสร้างเสร็จ เตาที่ 2 เสร็จในปีถัดไป จากนั้นเตาที่ 3 และ 4 ก็สร้างเสร็จตามมา ในปี พ.ศ.2524 และ 2526 ตามลำดับ โรงไฟฟ้าโรงนี้สร้างอยู่ห่างจากเมืองเชอร์โนบิลไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 18 กิโลเมตร โดยมีเมืองพรีเพียตเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้าดังกล่าวมากที่สุด เมืองนี้เป็นเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับคนงานและครอบครัวที่ต้องไปทำงานก่อสร้างที่นั่น รวมๆ แล้วก็เกือบ 50,000 คน ในยุคนั้นโรงไฟฟ้าแห่งนี้มีชื่อว่า สถานีผลิตกระแสไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ วี.ไอ. เลนิน ภายหลังเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิล แม้ว่าที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้วถึง 4 เตา ก็ยังทำการขยายกำลังผลิตโดยการสร้างเตาที่ 5 และที่ 6 ต่อไปอีก แต่ทั้ง 2 เตานั้นยังสร้างไม่ทันเสร็จ เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญชาวโลกก็เกิดขึ้นเสียก่อน

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ.2529 ระหว่างการ ทดสอบระบบหล่อเย็นของเตาหมายเลข 4 ที่ทำกันในเวลากลางคืน ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เมื่อแรงดันไอน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระบบ ตัดการทำงานอัตโนมัติเกิดขัดข้องไม่สามารถหยุดแรงดันนั้นได้ เป็นเหตุให้เกิดความร้อนสูงขึ้นถึง 2,000 องศาเซลเซียสจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลายและระเบิดขึ้นในที่สุด แรงระเบิดคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไปทันทีหลายสิบคน และอีกหลายพันคนที่อาศัยในเมืองพรีเพียตเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยโรคมะเร็ง เถ้าจากการระเบิดที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมไปทั่วทิศตะวันตกของสหภาพโซเวียต ประเทศแถบยุโรปตะวันออก ยุโรปเหนือ และบางส่วนของยุโรปตะวันตก

7

ทางการของยูเครนและเบลารุสต้องอพยพผู้คนที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง จำนวนหลายแสนคนออกจากพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่าการอพยพดังกล่าว ทำให้เมืองพรีเพียตกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างรวดเร็ว ไฟที่ลุกไหม้จากแรงระเบิดไม่สามารถจะดับได้ เพราะกัมมันตภาพรังสีที่รั่วออกมาอย่างรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสีครั้งนั้นรุนแรงกว่าครั้งที่เมืองฮิโรชิมาถูกบอมบ์ด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 4 เท่า และอาจต้องใช้เวลาอีกราว 24,000 ปี ผู้คนถึงจะกลับมาอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย

จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม รัฐบาลยูเครนจึงตัดสินใจสั่งให้สร้างฝาครอบยักษ์ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ครอบเตานั้นไว้ เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของรังสี สิ่งก่อสร้างที่ว่านั้นระดมคนและเครื่องจักรเท่าที่สามารถจะหาได้ทำกันอย่างเร่งด่วน ทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน มันประกอบไปด้วยเหล็กกล้ามากกว่า 7,000 ตัน และคอนกรีตราว 410,000 ลูกบาศก์เมตร เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา และเน้นประสิทธิภาพในการกักกั้นกัมมันตภาพรังสี ฝาครอบยักษ์นั้นจึงมีรูปร่างเหมือนโลงศพดีๆ นี่เอง ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้เพียงไม่เกิน 30 ปี 

5

ดังนั้น ในปีพ.ศ.2551 ธนาคารเพื่อการก่อสร้างและพัฒนาแห่งยุโรปจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้รัฐบาลยูเครนนำไปสร้างฝาครอบหรือโลงศพ อีกอันหนึ่งที่ทนทานกว่าเดิม ครอบทับไปบนของเดิม เพื่อไม่ให้รังสีหลุดรั่วออกมา โลงอันใหม่นี้จะแล้วเสร็จภายใน พ.ศ.2555 นี้เอง

ทุกวันนี้ค่ากัมมันตภาพรังสีในตัวเมือง อยู่ในระดับที่มนุษย์ที่ไม่สวมชุดป้องกันพอจะเข้าไปได้ แต่รอบๆโรงไฟฟ้าในรัศมีสองสามร้อยเมตร ยังคงมีค่าสูงเกินมาตรฐานหลายเท่า ตัวเมืองนั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่บางพื้นที่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษเท่านั้น โดยทั้งก่อนและหลังจากที่เดินทางเข้าไป ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจระดับกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในร่างกาย และระหว่างทัวร์ก็ต้องมีเครื่องตรวจจับรังสีวัดค่าไปตลอดทาง ซึ่งผู้ที่ใจกล้าพอจะเข้าไปทัวร์ในเชอร์โนบิล เกินกว่าครึ่งต้องอยากขอไปท้าพิสูจน์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ร่ำลือต่อๆ กันมา...

‘อิวาเตะ’ ชั่วยาม

ปิดหูปิดตาหนีให้พ้นไปจากเมืองไทยไปที่จังหวัด"อิวาเตะ"เมืองที่มีพื้นที่ใหญ่และมีประชากรเบาบางที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของญี่ปุ่นรองจาก "ฮอกไกโด" ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของเกาะ "ฮอนชู"

บางพื้นที่ของที่นี่ได้รับผลกระทบจากสึนามิเช่นเดียวกับที่อื่นในช่วงเดือน มี.ค.ปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้การท่องเที่ยวของที่นี่ รวมทั้งญี่ปุ่นทั้งประเทศเสียหายไป เพราะคนมาเที่ยวน้อยลงกว่า 50% ความเสียหายจากสึนามิที่ร้ายแรง ส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆ เสียหายไปมากกว่าน้ำท่วมบ้านเราหลายร้อยเท่านัก

ช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นทำการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกชนิดในโลก ด้วยการเดินสายไปบอกกล่าวผู้คนในประเทศต่างๆ ให้มาเที่ยวญี่ปุ่น เพราะเขาถือว่าการได้เงินอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมาก ก็มีแต่การท่องเที่ยวเท่านั้นที่ทำได้ง่ายที่สุด วันนี้ถึงขั้นจะให้วีซ่าให้คนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ได้นานขึ้น หลายครั้งขึ้น แทนการเข้มงวดดังแต่ก่อน



"อิวาเตะ"ยามนี้เป็นรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ไม่ใช่ฤดูหนาวที่หฤโหด ซึ่งอยู่ในเดือน ธ.ค.-ก.พ. ใบไม้ที่เขียวสดใสจึงปรากฏให้เราเห็นทั่วไปในท่ามกลางแดดจ้า แม้จะมีเมฆหมอกเป็นม่านบังฟ้าอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็หายไป เพราะการเป็นเกาะกลางทะเลทำให้ลมพัดไปไวมาไว ฤดูนี้จะเห็นเด็กและคนชราออกมากลางแดดเพราะไม่หนาว แถมมีอากาศสดใสด้วย ส่วนคนหนุ่มสาวก็ใส่เสื้อผ้าที่บางเบาตามท้องถนน

อิวาเตะ เป็นเมืองเกษตร เราจึงเห็นเกษตรกรแต่งกายสีเทาดำสบายๆ ไปทำงานในไร่อยู่เป็นระยะๆ ส่วนในนาเต็มไปด้วยกล้าเขียวเป็นทิวแถว

โรงแรมแรกที่เราเข้าไปเช็กอินก็คือโรงแรม APPI ที่หลายคนเอามาหัวเราะกันว่าชื่อโรงแรมอัปรีย์ ซึ่งไม่เป็นมงคลนักในภาษาไทย แต่เป็นโรงแรมสกีรีสอร์ตที่ใช้ได้แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นทีเดียว โรงแรมนี้มีฟาร์มเลี้ยงวัวของตัวเอง ดังนั้นไอศกรีมของที่นี่จึงอร่อยม้ากมาก

โรงแรมที่ 2 คือ เดอะพาร์ก (เรียวกัง) เป็นโรงแรมออนเซ็นที่เอาน้ำทะเลมาเคี่ยวให้คนอาบ ข้างล่างของโรงแรมสวยมาก เป็นหน้าผา เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Hanamaki Onsen

โรงแรมที่ 3 คือ โรงแรมฮานามากิออนเซ็น ซึ่งมีน้ำพุร้อนให้แช่กันหลายจุด โรงแรมนี้นอกจากมีสวนกุหลาบและดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ให้ดูแล้ว พนักงานสาวที่ชื่อ "ข้าวเหนียว" ยังพูดภาษาไทยได้เก่ง แถมอัธยาศัยดีอีกด้วย เธอมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่งก่อนกลับไปบ้านเดิมของเธอ โรงแรมพาเราไปร้องคาราโอเกะแบบญี่ปุ่นในโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการหลายๆ แห่งที่มาต้อนรับเราด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Chuson-ji

วัดซูออนจิ หรือวัดสีทองแห่งเมืองฮิราอิซูมิของจังหวัดอิวาเตะ เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อ 900 ปีที่ผ่านมา เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่นในสมัยที่เกียวโตเป็นเมืองหลวง ผมเคยมาวัดนี้ตอนไปดูเขาปั้นหิมะที่ซัปโปโรกับป้าอ้อยแห่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ติดหนี้รูปภาพเขามาจนทุกวันนี้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วังโกะโซบะ

วังโกะโซบะ คือบะหมี่พื้นเมืองที่เราไปกินกันก่อนกลับ เป็นอาหารท้องถิ่นของเมืองโมริโอกะแห่งจังหวัดอิวาเตะที่"ไม่เหมือนใคร"และ"ไม่มีใครเหมือน"ด้วยการเสิร์ฟของพนักงานสาวที่เทโซบะขนาดพอคำลงมาให้คุณทันทีที่คุณดูด (หรือกลืนโดยไม่ต้องเคี้ยว) เข้าปาก คุณจะกินสักร้อยชามพันชามก็ได้ถ้าคุณมีความสามารถและไม่กลัวที่จะตายไปแบบ"ชูชก"คนเก่งที่สุดกินได้ 570 ชาม

ก่อนลงมือกินจะมีพนักงานมาบอกกฎกติกามารยาทให้ทราบ โดยเฉพาะที่ว่าถ้าปิดฝาชามเมื่อไหร่ หมายถึงจะยุติการเสิร์ฟทันที

การเสิร์ฟทีละคำแบบนี้ นับแล้ว 15ชาม เท่ากับชามปกติ 1 ชาม ซึ่งพนักงานจะแนะนำว่าให้กินแต่โซบะ เอาน้ำที่เหลือทิ้งไปในถังที่เขาเตรียมเอาไว้ ส่วนใหญ่ผู้ชายกินได้เฉลี่ย 50-60 ชาม ผู้หญิงกินได้ประมาณ 30-35 ชาม

กติกามีอยู่ว่าคุณเผลอไปปิดชามเมื่อไหร่ก็จะหมดโอกาสกินเมื่อนั้น ร้านที่เราไปกินชื่อร้าน Azumaya อยู่กลางเมือง คนไปกินเยอะมาก โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ชอบความท้าทาย

ที่เมืองโมริโอกะและเมืองฮานามากิ จะมีการจัดการแข่งขันกินวังโกะโซบะกันทุกๆ ปี คนที่กินได้สูงสุด 570 ชาม ส่วนจะคิดเป็นกี่ชามปกติเท่าไหร่ก็เอา 15 หารเอาเอง คณะเรากินได้สูงสุดแค่ 32 ชาม ซึ่งก็ได้รับรางวัลจากเจ้าของร้าน เป็นโซบะแห้งติดไม้ติดมือกลับมา แต่ปรากฏว่าถูกพรรคพวกแซวว่าหลังจากนี้จะไม่นัดไปเจอที่ร้านอาหารเด็ดขาด เพราะกลัวการกินจุของเธอ คนที่กินน้อยสุด 12 ชาม เขาคิดค่าหัวคนละ 3,150 เยน กินแค่ 12 ชาม เมื่อคิดเป็นเงินไทยก็แพงมาก ( 100 เยน ประมาณ 40-41 บาท) ทริปนี้ชิบ (ที่ไม่หาย) กินวังโกะโซบะแพงที่สุด ตกคำละเท่าไหร่คิดเอาเอง

พนักงานที่ยืนค้ำหัวเราะอยู่ ถ้ามองในแง่ดีถือว่าเอาใจใส่ลูกค้า (เพราะเป็นหญิงสาวหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสและเชิญชวนชิมมาก) แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็เป็นการกดดันลูกค้า ให้สูดเส้นบะหมี่เข้าปากเร็วๆ บะหมี่อร่อย มีปลาดิบและไก่สับพร้อมผักแกล้มให้ด้วย แต่กินหมดแล้วหมดเลย ไม่มีเสิร์ฟให้อีก กินเสร็จเขาจะนับชาม จากนั้นจะเขียนลงในใบประกาศนียบัตรให้แต่ละคนไปเป็นที่ระลึก ก๋วยเตี๋ยวเรือไทยก็เคยทำแบบนี้ แต่ไม่เป็นทางการ พวกเราขอถ่ายรูปหนุ่มสาวชาวอาทิตย์อุทัยเขมือบโซบะแบบชามเปล่าวางบนโต๊ะเพียบ ซึ่งแต่ละโต๊ะไม่เบาเลยทีเดียว นับแบบยังกินไม่เสร็จ สองคนตกเกือบ 200 ชาม แถมยังถามกลุ่มคนไทยด้วยว่ากินคนละกี่ชาม พอพวกเราบอกหนุ่มญี่ปุ่นถึงกับส่ายหน้า เพราะอย่างมากก็แค่ 30 กว่าชาม จิ๊บจ๊อยสิ้นดี เขายังตั้งคำถามด้วยว่าทำไมพวกยูกินแพงจัง

วัดศรีสุพรรณ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัดศรีสุพรรณ

จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน 512 ปี ตามหลักศิลาจารึกบนหินทรายแดง กล่าวถึงประวัติวัดศรีสุพรรณไว้ว่า ราวพ.ศ.2043 พระเมืองแก้ว หรือ พระเจ้าพิลก ปนัดดาธิราช ร่วมกับพระราชมารดาเจ้า โปรดเกล้าฯ ให้ ขุนหลวงจ่าคำ นำพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาประดิษฐานแล้วสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น เดิมเรียกชื่อว่า “ศรีสุพรรณอาราม” ต่อมาได้สร้างมหาวิหาร พระบรมธาตุเจดีย์ พระอุโบสถหลังเดิม ผูกพัทธสีมาเมื่อพ.ศ.2052 พร้อมทั้งสร้างศาสนสถานอื่นๆ แล้วมอบพื้นที่รอบกำแพงทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 20 วาให้แก่วัด และมอบข้าทาสไว้ดูแลวัดอีก 20 ครอบครัว

เมื่อปี พ.ศ.2547 ชาวบ้านและช่างฝีมือได้ร่วมกันสร้างพระอุโบสถเงินหลังแรกของโลก โดยมีปณิธานร่วมกันเพื่อ “ฝากศิลป์แก่แผ่นดินล้านนา ถวายไว้ในบวรพระพุทธศาสนา เทิดไท้องค์ราชันย์ รัชกาล ที่ 9” เนื่องจากพระอุโบสถหลังเดิมชำรุดทรุดโทรม ไม่สะดวกในการประกอบศาสนกิจ จึงคิดสร้างพระอุโบสถเงินบนฐานเดิม พัทธสีมาเดิม และพระประธานองค์เดิม โดยช่างภูมิปัญญาชาวบ้านร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานสลักลวดลายลงบนแผ่นเงินบริสุทธิ์ เงินผสมอะลูมิเนียม และวัสดุแทนเงิน ประดับตกแต่งทั้งภายนอกและภายในตลอดทั้งหลัง

องค์พระประธาน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระเจ้าเจ็ดตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 4 ศอก ปางมารวิชัย เนื้อทองสัมฤทธิ์ ฝีมือช่างหลวง มีตำนานเล่าขานสืบกันมาว่า พระประธานองค์นี้ แสดงพุทธปาฏิหาริย์ลงสรงน้ำในสระข้างอุโบสถอยู่เป็นประจำ ประทานความสำเร็จสมปรารถนาสำหรับผู้มาอธิษฐานจิตกราบไหว้อยู่เนืองนิตย์ สถิตในจิตใจเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านศรีสุพรรณ และประชาชนทั่วไปตลอดมา

นอกจากพระอุโบสถเงินหลังเดียวของโลกแล้ว พระวิหารของวัดศรีสุพรรณ เปรียบดั่งโรงเรียนพุทธศิลปะชั้นเลิศของเมืองล้านนา เพราะได้แสดงฝีมือช่างในล้านนาทั้งสิบหมู่ไว้ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นช่างปั้น ช่างวาด ช่างดุน ช่างต้อง (ช่างตอกลาย) ช่างกระดาษ ช่างเขิน ช่างเงิน ช่างแกะสลัก ช่างลงรักปิดทอง ช่างดอกไม้ใบตอง

ภายในพระวิหารแบ่งเป็น 3 ส่วน เมื่อเข้าประตูไปแล้ว จะเป็นเรื่องราวของสิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดิน และการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ในส่วนที่ 2 เป็นการรวบรวมรูปแบบของธาตุเจดีย์ และซุ้มโขงในล้านนาหลายร้อยแห่ง มาไว้ในจิตรกรรมฝาผนัง มีภาพพระธาตุประจำปีเกิดโดยศิลปินสุดยอดฝีมือของล้านนา 12 ท่าน ที่เขียนในปีเกิดของตน และส่วนที่ 3 คือเรื่อง พระพุทธองค์กับการหลุดพ้นจากห้วงวัฏสงสาร มีภาพพุทธชาดกบนแผ่นเงินตอกลายจำนวน 10 แผ่น ฝีมือศิลปินช่างเงินย่านวัวลายที่งดงามวิจิตร เรียกว่าเข้าไปแล้วหากชมเพื่อการศึกษาโดยพิจารณาอย่างละเอียด จะต้องใช้เวลาทั้งวัน

ในวัดศรีสุพรรณแห่งนี้ มีองค์พระพิฆเนศทั้งองค์ใหญ่และองค์เล็ก ภายในพระอุโบสถเงินหลายสิบองค์ พระพิฆเนศเป็นเทพที่มีผู้คนนับถือและเคารพมาก เนื่องจากเป็นเทพที่มีพระกรุณาเป็นหนึ่งในเทพทั้งหมด และถือเป็นปฐมเทพที่จะได้รับการบูชาก่อนเริ่มพิธีกรรมต่างๆ

วัดศรีสุพรรณจึงได้สร้างองค์พระพิฆเนศ บรมครูแห่งความสำเร็จ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.50 เมตร ทรงเครื่องศิลปกรรมล้านนา และประกอบพิธีเทวาภิเษก ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน เพื่อประดิษฐานบนแท่นขันครูหลวง เป็นมิ่งขวัญของช่างสิบหมู่ล้านนา และสำหรับผู้มีจิตศรัทธาไว้บูชา

นอกจากนี้ยังมี พระบรมธาตุ วัดศรีสุพรรณ เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนแบบล้านนา ฝีมือช่างหลวง ทรงองค์ระฆังกลม บนฐานดอกบัวคว่ำบัวหงาย แปดชั้นแปดเหลี่ยม

ตั้งบนฐานรองรับทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สามสิบหก พระบรมธาตุเจดีย์ได้มีการบูรณะมาหลายครั้งแล้ว มีอายุประมาณเท่ากับพระวิหาร หรือหลังจากนั้นไม่นาน เพราะในพุทธศาสนาทางล้านนานั้น นิยมสร้างพระธาตุเจดีย์ไว้หลังพระวิหาร ว่ากันว่า หากลองไปยืนมองดูใกล้ๆ พระบรมธาตุเจดีย์ โดยยืนทางด้านทิศตะวันออกมุมองค์พระธาตุแล้วลองมองขึ้นไป จะเห็นพระบรมธาตุเจดีย์นี้เอียง

วัดศรีสุพรรณ ตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนหัตถกรรมช่างหล่อ ถนนช่างหล่อ หัตถกรรมเครื่องเงิน เครื่องเขิน ถนนวัวลาย พระครูพิทักษ์สุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ

คณะกรรมการวัด ภูมิปัญญาชาวบ้าน ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ โดยการรวบรวมภูมิปัญญาชาวบ้าน จัดตั้งเป็น “กลุ่มหัตถศิลป์ล้านนาวัดศรีสุพรรณ”

ต่อมาศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้การสนับสนุนจัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาศิลปะไทยโบราณ สล่าสิบหมู่ล้านนาวัดศรีสุพรรณ” ขึ้นภายในวัด

เพื่อถ่ายทอดและสืบสานงานศิลป์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และร่วมสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืนขึ้น เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น หัตถกรรมเครื่องเงินของชาวบ้าน มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนในรูปแบบสหกรณ์

ไปเชียงใหม่คราวหน้า อย่าลืมเผื่อเวลาไว้สำหรับเที่ยวชมความงามของพระอุโบสถเงิน พระวิหาร และผลงานศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ วัดศรีสุพรรณ ถนนวัวลาย ตำบลหายยา อำเภอเมืองเชียงใหม่แล้วจะได้รู้ว่าเชียงใหม่มีของดีให้ชมมากมายหลายอย่างจริงๆ

ไหว้พระที่พม่า

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระเจดีย์ชเวซานดอร์

พระเจดีย์ชเวซานดอร์ เมืองพุกาม ต้องปีนขึ้นไปถึงคอระฆัง  ได้ชมทะเลเจดีย์พุกามในภาพกว้างแบบพาโนรามาได้ทุกมุม 

การที่ไกด์พาขึ้นพระเจดีย์สูง เพื่อให้ชมวิวพระเจดีย์เมืองพุกาม ที่กล่าวกันว่ามองไปทิศไหนก็เห็นแต่พระเจดีย์ ทั้งนี้เมืองพุกามได้ชื่อว่าเป็นทุ่ง หรือทะเลเจดีย์ ในอดีตมีมากถึง 4 ล้านกว่าองค์ แต่ถูกภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ทำลายลงไปมาก คงเหลือประมาณ 4,000 องค์ในปัจจุบัน แต่ก็ยังหาประเทศอื่นในโลกเทียบไม่ได้ เรียกว่าเป็นเพียงแห่งเดียวในโลกก็ย่อมได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พุกาม

พุกาม เป็นเมืองโบราณ มีมาก่อนกรุงสุโขทัย สร้างขึ้นประมาณปี 15871830 โดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ

มูลเหตุการสร้างพระเจดีย์จำนวนมากนั้น พระเทพดิลก (ระแบบ) เขียนในประวัติพระพุทธศาสนาในพม่าว่า เมื่อพระเจ้าอโนรธาสวรรคต หลังเสวยราชย์ 33 ปี จอลู ซึ่งเป็นพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ แต่อยู่ได้ 2 ปี ก็ถูกปลงพระชนม์เพราะเกิดกบฎ ประชาชนเชิญแม่ทัพชื่อ กันชิต หรือกยันสิต ขึ้นนั่งเมือง ท่านผู้นี้สามารถปราบกบฏได้ราบคาบ แผ่อำนาจและอาณาเขตถึงตะนาวศรี ในรัชกาลนี้เอง ชาวพุทธอินเดียหลบหนีภัยจากอิสลามมาพม่าเป็นจำนวนมาก ผู้คนนั้นได้นำแบบแผนการสร้างพุทธเจดีย์เข้ามาด้วย ทำให้พระเจ้ากันชิตทรงโปรด จึงให้สร้างพระธาตุชเวสิดง ที่พระเจ้าอโนรธาทรงสร้างค้างไว้จนแล้วเสร็จ

ปี 1634 ทรงโปรดให้สร้างอานันทเจดีย์ขึ้น ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สวยงามแห่งหนึ่งในพม่า ต่อมามีการสร้างพระเจดีย์มากขึ้น กินพื้นที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งอิรวดี นอกจากพระราชามหากษัตริย์ทรงสร้างแล้ว ประชาชนทั่วไปก็สร้างตามด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเขาสร้างแต่พระเจดีย์อย่างเดียว มีทั้งขนาดเล็กใหญ่ตามกำลังทรัพย์และศรัทธา แต่สร้างในที่โล่งๆ เป็นทุ่งกว้างโดยไม่มีวัด หรือปูชนียสถานทางศาสนาอย่างอื่นในสถานที่สร้างเจดีย์ ยกเว้นพระพุทธรูป

รูปทรงพระเจดีย์ บางรูปบางทรงคล้ายกับวิหารฮินดู คือสร้างประโยชน์ใช้สอยที่ฐานเจดีย์ หรืออาจเรียกว่าวิหารในเจดีย์ก็ได้ ดังเจดีย์อานันดา ซึ่งเป็นพระเจดีย์งามที่สุดในพุกาม เป็นต้น

สำหรับพระพุทธรูปในย่านพุกามนั้นเป็นพระพุทธรูปที่พอเห็นแล้วต้องบอกว่าผิดจากพระพุทธรูปแบบพม่าที่เคยเห็นทั่วไป พระพุทธรูปพุกามพิจารณาแล้วมีพระพักตร์คล้ายกับพระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ โดยเฉพาะที่พระเจดีย์อโลว์ตอปี หรือหลวงพ่อสมปรารถนา หน้าเหมือนพระผงสุพรรณ เหมือนพิมพ์เดียวกัน

พระพุทธรูปในเจดีย์แห่งนี้ กรมศิลปากรพม่าขุดพบหลังจากพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งสมาธินิมิตเห็น โดยตอนแรกไม่มีใครเชื่อ แต่เมื่อขุดลงไปตามที่พระนิมิตเห็นพบว่ามีจริง ที่มีชื่อว่าสมปรารถนาเพราะคนไทยไปบนไว้แล้วได้สมปรารถนาจึงถวายชื่อเช่นนั้น จะเห็นพัดยศจำลองที่พระไทยนำไปถวาย สันนิษฐานว่าคงบนไว้ให้ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เมื่อได้สมปรารถนาจึงนำไปถวาย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระธาตุอินทร์แขวน

พระธาตุอินทร์แขวน หรือพระเจดีย์ไจ้เที่ยว อายุกว่า 2,000 ปี  มีความมหัศจรรย์ที่เจดีย์องค์นี้เป็นหินก้อนใหญ่ น้ำหนักประมาณ 200 ตัน (คุณเกริก ตั้งสง่า) วิศวกร ประมาณการด้วยสายตาจากความกว้างและสูง) ตั้งอยู่บนหินอีกก้อนหนึ่งบนชะง่อนผา และอยู่อย่างนั้นมานานเป็นพันปีไม่หล่นลงมา ทั้งๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะอยู่ได้

ความอัศจรรย์นี้ก่อให้เกิดศรัทธาแก่ประชาชนชาวพุทธทั้งพม่า มอญ และไทย ทั้งๆ ที่ขึ้นไปบูชาด้วยศรัทธาแรงกล้า กว่าจะขึ้นไปถึงแสนจะลำบาก เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 ฟุต ต้องนั่งรถบรรทุกที่จัดสำหรับขึ้นเขาโดยเฉพาะ เครื่องยนต์และช่วงล่างระบบเบรกต้องสมบูรณ์ 100% บางช่วงโค้งหักศอกผ่านหน้าผา เห็นแล้วต้องหันหน้าไปมองทางอื่น ทุกคนต้องนั่งแบบเสียวๆ ไปประมาณ 10 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนจากรถยนต์เป็นเสลี่ยงคนหาม 4 คน เดินทางอีก 4 กม. ใช้เวลาอีก 40 นาที จึงถึงจุดหมายปลายทางกลางคืน และเช้ามืดบูชาพระธาตุอินทร์แขวนท่ามกลางอากาศเย็นสบาย

ที่น่าสังเกต ตู้บริจาคเป็นสิบๆ ตู้ มีเงินเต็มเกือบทุกตู้ แต่เจ้าของสถานที่ตั้งไว้เฉยๆ โดยไม่ระแวงว่าจะหาย ตอนเช้ามืดขึ้นไปเห็นเขาเอาผ้าใบมาคลุมไว้เท่านั้น

ลงจากพระธาตุอินทร์แขวนก็มุ่งสู่หงสาวดี บูชาพระธาตุมุเตา หรือพระเจดีย์ชเวมอดอว์ พระเจดีย์คู่เมืองหงสาวดี สร้างสมัยเดียวกับพระเจดีย์ชเวดากอง เป็นเจดีย์สูงใหญ่ปิดทองทั้งองค์ เช่นเดียวกับพระเจดีย์ชเวดากอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หงสาวดี

จากนั้นได้มาชมวังบุเรงนอง หรือผู้ชนะสิบทิศ ที่มอญพม่ารู้จักในนาม บะยิ่นหน่อง ส่วนวังเป็นวังสร้างใหม่ สนองความต้องการนักท่องเที่ยว (ไทย) เมื่อ 12 ปีมานี้เอง เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรให้เห็น นอกจากพื้นที่ว่างเปล่า ถามว่าวังบุเรงนองตั้งอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่พม่าว่าไม่มีแล้ว ถูกเผาไปหมดสิ้น

จากหงสาวดีเข้าสู่นครย่างกุ้ง ตอนค่ำไปไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา และประเทศพม่า หากใครมาพม่าไม่ได้ไปไหว้ไปชม ถือว่ายังไม่ถึงพม่า 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Mandalay

จากย่างกุ้งไปพุกาม จากพุกามไปมัณฑะเลย์ ที่มัณฑะเลย์ได้ชมวังของใหม่ที่สร้างในเขตพระราชฐานเดิม ส่วนวังเก่าที่พระเจ้าสีปอและนางศุภยลัต กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าเคยประทับก่อนเสียเมืองนั้นถูกเผาทิ้งช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ว่าเป็นฝีมืออังกฤษที่ไม่ต้องการให้ญี่ปุ่นครอบครอง

วันหนึ่งที่เมืองมัณฑะเลย์ ทุกคนต้องตื่นตี 3 เพื่อเดินทางไปไหว้พระมหามุนีในตอนเช้ามืด พระมหามุนีเป็นพระพุทธรูปทองเนื้อนิ่ม ที่ชาวพุทธพม่าจัดพิธีกรรมล้างหน้าติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน และน่าจะเป็นเพียงแห่งเดียวในโลก

การล้างหน้าพระพุทธรูปเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ขณะที่ทำพิธีอยู่นั้น พิณ พาทย์ ลาด ตะโพน บรรเลงตลอด 1 ชั่วโมง

ส่วนฆราวาสที่เข้าร่วมพิธีล้างหน้าพระพุทธรูปต้องแต่งชุดขาว พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ล้างหน้าต้องเป็นพระที่เถระผู้ใหญ่คัดเลือกแล้ว ล้างหน้าเสร็จได้ทำพิธีถวายข้าพระพุทธ ซึ่งชาวพุทธทั้งไทยและพม่าจัดหามา หรือซื้อ ณ ที่นั่นก็มีขาย ในราคาชุดละ 5,000 จ๊าด

เมื่อไหว้พระบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้ทุกท่านรู้สึกอิ่มบุญ ปลื้มปีติ และปรารถนาที่จะเดินทางมาอีก โดยเฉพาะท่านที่บนบานศาลกล่าวกับพระศักดิ์สิทธิ์ไว้ เมื่อได้ตามที่ปรารถนา ต้องกลับมาถวายของตามที่สัญญาหรือบนไว้