ตาปนะ...นรกร้อนแรง

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

เป็นนรกใหญ่ขุมที่ 6 แปลว่า นรกร้อน นรกนี้มีความร้อนแรงมากกว่านรกทุกขุมที่กล่าวมา อยู่ลึกลงไปใต้มหาโรรุวนรก แต่อยู่เหนือมหาตาปนนรก

สัณฐานของตาปนนรกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนทุกนรกที่ผ่านมา ยาว กว้าง ลึก เท่ากันที่ 100 โยชน์ มีประตู 4 ประตู มีผนังเหล็กแดงร้อนหนา 9 โยชน์ ทั้ง 4 ด้าน เรียกว่ามั่นคงมาก ชนิดที่สัตว์นรกตัวไหนคิดจะหนีออกไปนั้นไม่มีทางแน่นอน ซ้ำด้านบนก็มีฝาเหล็กหนาอีกตั้ง 9 โยชน์ปิดอย่างแน่นหนา อะไรจะขนาดนั้น เรียกว่าสัตว์นรกตัวไหนไม่มีโอกาสที่จะโงหัวได้เลย 

ทุกสิ่งทุกอย่างในนรกนี้เป็นเหล็กแดงลุกเป็นเปลวเพลิงทั้งสิ้น ฉะนั้น เขาจึงเรียกนรกขุมนี้ว่าตาปนนรก นรกร้อน หรือนรกเผาสัตว์ให้พินาศ ดังนั้น ตาปนนรก จึงสะพรั่งพร้อมไปด้วยหลาวเหล็กแดงๆ ลุกเป็นไฟมากมายกระจายเต็มพื้นนรก โดยมีขนาดใหญ่เท่าต้นตาลเลยทีเดียว 

นายนิรยบาลผู้คุมนรกจะคอยจับสัตว์นรกเหล่านั้นยกขึ้นเสียบไว้บนหลาวเหล็กเหล่านั้น หรือไม่ก็ไล่ให้ตะเกียกตะกายขึ้นไปที่หลาวเหล็กที่มีไฟนรกลุกโชนอยู่ แล้วสัตว์นรกก็ต้องดิ้นรนบนหลาวเหล็กสุดที่จะทนความเจ็บปวดได้ ก็ร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานบนหลาวเหล็กแดงนั้นๆ 

นานเข้าๆ สัตว์นรกเหล่านั้นก็ถูกไฟนรกคลอกไหม้จนเนื้อหนังพองสุกแล้วเนื้อหนังมังสาเหล่านั้นก็หล่นร่วงลงมาเป็นอาหารของสุนัขนรกที่รอขย้ำยามที่นายนิรยบาลเปิดประตูนรก หลังจากนั้นเมื่อสัตว์นรกดับดิ้นก็จะมีลมกรรมพัดมาให้ร่างกายฟื้นขึ้นมาเป็นปกติดังเดิม ต่อมาก็ถูกนายนิรยบาลไล่ขึ้นไปที่ปลายหลาวเหล็กแดงถูกไปนรกคลอก วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 1.6 หมื่นปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในตาปนนรก เทียบเท่า 9,216 ล้านปีมนุษย์ 

อนึ่งสัตว์นรกเหล่านี้ใช่แต่จะได้ความเจ็บปวดแต่หลาวเหล็กเสียบเท่านั้นก็หามิได้ ไฟในนรกก็เกิดขึ้นแต่แผ่นดินเหล็กเสียงดังสะเทือนสะท้านลุกโชนสูงขึ้นไปไหม้ร่างของสัตว์นรกที่เสียบอยู่ในหลาวนั้นจนร่างลุกเป็นเปลวเพลิง ดิ้นแต่มือและเท้าเท่านั้น ส่วนตัวนั้นเสียบแน่นตรึงอยู่กับหลาวเหล็กแดงดุจก้อนเนื้อที่คนเสียบไม้ย่างไฟไว้ 

เมื่อเนื้อหนังแห่งสัตว์นรกเหล่านั้นสุกทั่วตัวแล้วประตูนรกทั้ง 4 ด้านนั้นก็เปิดออกเอง สุนัขนรกตัวมหึมาเท่าช้างสารมีฟันเป็นเหล็ก วิ่งเข้าไปทางประตูนรกแล้วพากันกัดฟัดกินเนื้อเป็นอาหาร กินสิ้นทั้งเลือดและเนื้อ แต่ก็ยังเหลืออยู่แต่โครงกระดูกเปล่า 

สัตว์นรกเหล่านั้นตายไปแล้วต้องลมนรกพัดมาเรื่อยๆ เย็นๆ ก็กลับเป็นร่างกายเต็มขึ้นมาอีก มีเนื้อและเลือดสมบูรณ์ นายนิรยบาลก็ไม่รีรอรีบเข้าไปทำโทษ สุนัขนรกก็กินเนื้อและกินเลือดเป็นอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นที่กล่าวมาข้างต้น

คนที่มาเกิดในนรกขุมนี้ เมื่อชาติเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาปหาความกรุณาแก่สัตว์มิได้ คอยจับสัตว์ต่างๆ เช่น สุกร แพะ วัว ควาย เอามาเสียบด้วยหลาวแล้วก็ปิ้งไฟทั้งเป็น บางทีมัดสัตว์เป็นๆ แล้วก็โยนเข้าไปในกองไฟ เผาให้สุกแล้วกินเป็นอาหาร 

นอกจากนี้ เมื่อเป็นมนุษย์ก็มีจิตใจที่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ มืดบอดทางปัญญา ทำการเผาบ้านเผาเมือง เผาโบสถ์ กุฏิ วิหาร ศาลา ปราสาท และเจดีย์ และด้วยอกุศลกรรมนี้เองตามให้ผลจึงทำให้ต้องลงไปรับทุกขเวทนาอยู่ในตาปนนรกได้รับความเจ็บปวดทรมานจากการถูกไปนรกเผาไหม้

นรกไม่เข้าใครออกใคร ใครประมาทก็ไปนรก

เพลงเถลิงศก ที่ดังก้องกังวาลทั่วเมืองไทย ยุค 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เพลงเถลิงศก

ในสมัยที่เรายังถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ บรรยากาศของเมืองไทยเป็นช่วงฤดูร้อน ทุกคนแต่งตัวตามสบายใส่เสื้อกุยเฮงคอกลมสีฉูดฉาด บางคนนุ่งกางเกงแพรปั๋งลิ้นสีดำ และกางเกงแพรสีต่างๆ เข้ากับเสื้อกุยเฮง

ฝ่ายหญิงที่อายุมากก็จะนุ่งผ้าลาย ห่มผ้าแถบ ส่วนสาวๆ ก็จะนุ่งผ้าลายบ้าง นุ่งซิ่นบ้าง บางคนใจถึงก็ห่มสไบเฉียงพร้อมเพรียงกันมาตักบาตรที่ท้องสนามหลวงในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 1 เมษายน ส่วนคืนวันสุดท้ายของปีเก่าก็จะมีการเลี้ยงดูกันระหว่างครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย ไม่ไปกินไก่งวงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสอย่างฝรั่งเขาของเรามีแต่การทำบุญตักบาตร เสียงเพลงวันปีใหม่จะก้องกังวานไปทั่วเมืองไทย ซึ่งผมขอถือโอกาสนำเอาเพลงวันขึ้นปีใหม่ 1 เมษายน มาตีพิมพ์เอาไว้ให้ผู้ที่เกิดทันได้รำลึกถึงเพลงปีใหม่ในยุคนั้น

เพลงเถลิงศก ของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)

วันที่หนึ่ง เมษายน วันประถมปีใหม่ (เดิมวันตั้งต้นปีใหม่)
แสงตะวัน เรืองรองใส สว่างแจ่มจ้า
เสียงระฆัง เหง่งหง่างก้อง ร้องทักทายมา
ไตรรงค์ร่า ระเริงปลิว พลิ้วพลิ้วเล่นลม
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
มองทางไหน มีชีวิต จิตใจทั้งนั้น
ต้อนรับวัน ปีใหม่เริ่ม ประเดิมปฐม
มาเถิดหนา พวกเรามา มาหย่อนอารมณ์
มาชื่นชม นิยมยินดี ขึ้นปีใหม่แล้ว
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
สิ่งใดแล้ว ให้แล้วไป ไม่ต้องนำพา
สิ่งผิดมา ให้อภัย ให้ใจผ่องแผ้ว
สิ่งร้าวราน ประสานใหม่ ให้หายเป็นแนว
สิ่งสอดแคล้ว มาสอดคล้อง ให้ต้องตามกัน
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
มาชื่นชม แสดงยินดี ในวันปีใหม่
มาทำใจ ให้ชื่นบาน ร่วมสมานฉันท์
มาเล่นหัว ให้เบิกบาน สำราญใจครัน
มารับขวัญปีใหม่ไทย อวยชัยไชโยฯ
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ

มหาโรรุวนรก...นรกร้องใหญ่

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

มหาโรรุวนรก หรือนรกร้องใหญ่ หรือร้องกระหึ่ม มหา แปลว่า ใหญ่ โรรุวนรก แปลว่า นรกร้อง รวมแล้วแปลว่า นรกร้องใหญ่ หมายถึง นรกที่อื้ออึงไปด้วยเสียงร้องคร่ำครวญของสัตว์นรกที่ดังมาก ยิ่งกว่าโรรุวนรก

สภาพลักษณะของมหานรกนี้ก็เหมือนโรรุวนรก กล่าวคือ จะมีดอกบัวนรก (ปทุมนรก) ลักษณะดอกบัวเป็นเหล็กแดงร้อนผุดขึ้นเต็มนรก ชึ่งไม่น่าดูน่าชมแต่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง 

สัณฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ยาว และลึกได้ 100 โยชน์ มีฝาผนังทั้ง 4 ด้าน เป็นเหล็กหนา 9 โยชน์ ฝาปิดเบื้องบนและพื้นล่างนั้นก็เป็นเหล็กหนา 9 โยชน์เท่ากัน มีประตู 4 ประตู 

ทั้งนี้ ใกล้ๆ ดอกบัวจะมีหนามเหล็ก หลาว เหล็กปักอยู่อย่างมั่นคง โดยเอาปลายแหลมขึ้น พร้อมกับมีไฟลุกโชนอยู่ทุกขณะเวลา 

สัตว์ที่ลงมารับผลกรรมชั่วในนรกขุมนี้ จะถูกบังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวเหล็กร้อนนั้นๆ โดยมีนายนิรยบาลคอยควบคุมดูแล ถ้าขัดขืนหรือวิ่งหนีก็จะถูกนายนิรยบาลใช้หอกทิ่มแทงไปที่ร่างกายได้รับความปวดแสบทรมานจนร้องเสียงหลงโอดโอย สัตว์นั้นถูกบังคับให้เข้ามาเสวยกรรมอยู่ในดอกบัวนรกแล้ว ดอกบัวนรกก็จะแผลงฤทธิ์งับร่างนั้นทันที ทว่าก็ไม่แนบสนิทเหมือนดอกบัวขุมก่อน เพราะขุมก่อนจะงับแน่นสนิทจนหนีออกไม่ได้ 

อย่างไรก็ตาม พึงทราบว่าดอกบัวนรกขุมนี้จะมีกลีบที่คมเป็นกรด เรียกว่าคมมาก และร้อนมากกว่าโรรุวนรกหลายเท่า 
ทีนี้สัตว์ที่ขึ้นไปอยู่ในดอกบัวเหล็กร้อนนั้นๆ แล้วก็จะถูกความร้อนจากบัวนรกเผาไหม้จนต้องเต้นไปมาทำให้กลีบบัวบาดเนื้อหนังเข้าไปอีก และเมื่อถูกไฟจากกลีบบัวเผาหนักเข้าเรื่อยๆ เต้นหนักเข้าเรื่อยๆ เนื้อหนังนั้นก็หลุดหล่นลงมาที่พื้นนรก แล้วสุนัขนรกที่นายนิรยบาลเลี้ยงไว้ก็กรูเข้าไปกิน 
หนักกว่านั้นสัตว์นั้นๆ เจ็บปวดทรมานเต้นไปมาก็มีอันต้องร่วงลงมาจากดอกบัว แล้วร่างก็หล่นไปเสียบกับหลาวเหล็กอันแหลมคมใกล้ๆ ดอกบัว ตกลงถึงพื้นนรกสุนัขก็รุมแทะเหลือแต่กระดูก ทว่าไม่ตาย แต่พอเหลือแต่กระดูกก็เกิดอาการเจ็บแสบเหลือประมาณ 

ร่างกายก็จับเข้าเป็นกายใหม่ พอเป็นกายเต็มแล้ว นายนิรยบาลก็เอาหอกเที่ยวไล่แทงบังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวอีกตามเดิม บางตนยกมือขึ้นไหว้วอนขอโทษขอชีวิตนายนิรยบาลก็ยิ่งโกรธเข้าทำโทษโดยไม่ปรานี บรรจงตีด้วยค้อนเหล็กใหญ่ลงไปเหนือศีรษะจนแตกกระจาย บางตนสะดุ้งตกใจกลัวนายนิรยบาลก็พากันวิ่งหนีปีนขึ้นไปบนกำแพงเหล็ก ด้วยหมายใจว่าจะหนีไปให้พ้นแต่ก็ถูกนายนิรยบาลไล่ติดตามพร้อมตวาดร้องว่าหนีอย่างไรก็ไม่พ้น!

สัตว์นั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ในมหาโรรุวนรกถึง 8,000 ปีนรก หากเทียบกับเมืองมนุษย์จะได้ 9,216 ล้านปี จึงเป็นหนึ่งวันหนึ่งคืนหนึ่งในมหาโรรุวนรก 

คนที่ลงสู่มหานรกขุมนี้ ท่านว่าเมื่อชาติเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ชอบทำอกุศลกรรมบถ 10 อย่างเป็นอาจิณ ไม่มีเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งปวง จิตใจโหดร้าย ชอบตัดศีรษะสัตว์และมนุษย์ ทำปาณาติบาตกรรมด้วยอำนาจของความโกรธ 

ชอบขโมยสิ่งของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ของพ่อแม่ ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และของท่านผู้ทรงศีล ซึ่งคนที่ประพฤติตัวเช่นนี้ เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ก็จะไปเกิดในมหานรกขุมนี้

10 ภัยร้ายออนไลน์ที่ต้องระวังช่วงเทศกาลวันหยุด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทรนด์ ไมโคร

เทรนด์ ไมโคร จัดอันดับ 10 ภัยร้ายออนไลน์ที่ต้องระวังช่วงเทศกาลวันหยุด นายเจค โซเรียโน ฝ่ายสื่อสารด้านเทคนิค ศูนย์วิจัยข้อมูลเทรนด์แล็บส์ เปิดเผยว่า อาชญากรไซเบอร์จะใช้เทคนิคกลลวงทางสังคมที่แตกต่างกันเพื่อหลอกล่อเหยื่อ เช่น การคลิกลิงค์ที่เป็นสแปม, การดาวน์โหลดไฟล์ หรือการกรอกแบบฟอร์มโดยใส่ข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางการเงินแก่อาชญากร ไซเบอร์ ซึ่งพยายามจะหาผลประโยชน์ช่วงเทศกาลวันหยุด เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อค้นหาร้านค้า เลือกซื้อสินค้า และบริการต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ เทรนด์ ไมโครได้จัดทำสรุป 10 อันดับภัยร้ายออนไลน์ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องระวังช่วงเทศกาลวันหยุดที่จะมาถึงนี้

อันดับ 10 - ภัยลวงนักล่าของถูก: อาชญากรไซเบอร์จะใช้ส่วนลดและโปรโมชั่นเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย หรือใส่ข้อมูลที่เป็นความลับของตนลงในเว็บไซต์หลอกลวง โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ล่อเหยื่อจะเป็นสินค้ายอดนิยมและสินค้าขายดี ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้อดใจไม่ได้ที่จะคลิกลิงก์ที่ปรากฏ และในปีนี้เทรนด์ ไมโคร พบว่าโทรจัน TROJ_AYFONE.A ใช้ประโยชน์จากการเปิดตัว Apple iPhone โดยมัลแวร์จะแสดงในรูปแบบโฆษณาลวงเหมือนกับการสร้างเว็บไซต์ลวงของร้านค้าออนไลน์ที่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้

อันดับ 9 - ไซต์การกุศลจอมปลอม: ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหว ไฟป่า น้ำท่วม ล้วนถูกอาชญากรไซเบอร์นำมาใช้ประโยชน์เพื่อหลอกลวง โดยเฉพาะเทศกาลวันหยุดเป็นช่วงเวลาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เกิดความรู้สึก "อยากทำบุญและต้องการบริจาค" อยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับอาชญกรไซเบอร์ที่จะบรรลุตามแผนการที่วางไว้ นอกจากผู้ใจบุญที่ตอบกลับข้อความอีเมลลวงหรือเว็บไซต์ลวงซึ่งไม่ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใดแล้ว ยังจะต้องสูญเสียเงินหรือข้อมูลที่เป็นความลับไปแทนอีกด้วย

อันดับ 8 - บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (อี-การ์ด): อาชญากรไซเบอร์มักจะใช้บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีการ์ดเพื่อล่อลวงเหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายในข้อความสแปม และนั่นอาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อตกอยู่ในอันตรายได้ การโจมตีประเภทนี้มักใช้ประโยชน์ของเทศกาลวันหยุด เมื่อมีผู้ใช้ส่งอีการ์ดมากขึ้น และคาดหวังว่าอีการ์ดที่ได้รับนั้นจะมาจากเพื่อนหรือญาติสนิท

อันดับ 7 - โฆษณามัลแวร์ (Malvertisements): อาชญากรไซเบอร์จะใช้โฆษณาและโปรโมชั่นของปลอม (เลียนแบบโฆษณาของจริง) เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ โดยอาศัยความเชื่อใจของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ที่มักสนใจเรื่องสินค้าราคาพิเศษ โฆษณาที่แสดงอยู่ในเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูงจะถูกใช้เป็นตัวกระตุ้นให้ดาวน์โหลด มัลแวร์ โดยเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น Google, Expedia.com, Rhapsody.com, Blick.com และแม้แต่ MySpace มักถูกใช้เป็นที่แฝงตัวของแบนเนอร์โฆษณาที่เป็นอันตราย ซึ่งเมื่อคลิกเข้าไปดูก็จะดาวน์โหลดมัลแวร์ลงในระบบของผู้ใช้งานได้แสดงให้เห็นว่าโฆษณาที่เป็นอันตรายเหล่านี้ถูกฝังตัวอยู่ในแทบจะทุกแห่งบนโลกไซเบอร์

อันดับ 6 - ผลการค้นหาแหล่งช้อปปิ้งช่วงคริสต์มาส (ที่เป็นอันตราย): ผลลัพธ์คำตอบที่มากับสคริปต์ที่เป็นอันตราย ทำให้เกิดภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบ เช่น มัลแวร์ ฟิชชิ่งไซต์ ยูอาร์แอลอันตราย โดยผู้เขียนมัลแวร์จะเลือกช่วงเทศกาลต่างๆ ที่จะนำผู้ใช้งานไปยังผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายของตนได้ ในปี 2550 ผลของการค้นหาคำว่า "Christmas gift shopping" ถูกพบว่านำไปสู่มัลแวร์หลากหลายชนิดที่เป็นอันตราย และเมื่อเร็วๆ นี้ ผลของการค้นหาคำว่า "Halloween costumes" ถูกพบว่าแอบซ่อนซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสของปลอมไว้

อันดับ 5 - เว็บไซต์สุดฮิต: จัดเป็นภัยคุกคามสำหรับผู้ใช้ออนไลน์ เพราะเป้าหมายหลักของการติดเชื้อจะเกิดขึ้นบนเว็บไซต์ที่คาดว่าปลอดภัยและน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันหยุดเทศกาลที่กำลังจะมาถึง ซึ่งผู้ซื้อนิยมซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เช่น ร้านอาหารออนไลน์ เว็บไซต์ประมูล หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ อาชญกรไซเบอร์จะแพร่กระจายเชื้อไปยังเหยื่อโดยการเลือกเว็บไซต์ยอดนิยม และมีการเข้าชมสูง

อันดับ 4 - ข้อมูลส่วนบุคคล - บัตรของขวัญและโปรโมชั่น (ของปลอม): ผู้ใช้ที่ชอบค้นหาของฟรีหรือโปรโมชั่นพิเศษบนเว็บนั้นเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในลักษณะนี้ได้ แบบสำรวจข้อมูลที่ดูเหมือนจะปลอดภัยนี้มักจะถูกใช้เก็บข้อมูลส่วนบุคคล โดยของรางวัล บัตรของขวัญ หรือแม้แต่เงินสดจะถูกใช้เพื่อล่อเหยื่อให้กรอกแบบสำรวจของปลอม โดยที่เหยื่อจะไม่ทราบว่านั่นคือ ฟิชชิ่งไซต์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขโมยข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ

อันดับ 3 - อีคอมเมิร์ซฟิชชิ่ง: อีเบย์ (eBay) ถูกจัดอันดับให้เป็นร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2550 มีผู้ใช้บริการมากกว่า 124 ล้านคน และอีเบย์ยังติดอันดับสูงสุดของเว็บไซต์ที่แฮคเกอร์นิยมใช้ทำเป็นเว็บไซต์ลวงด้วย นับจากการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลจนถึงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อาชญกรไซเบอร์จะใช้แผนการที่ชาญฉลาดเพื่อให้ได้ข้อมูลของผู้ใช้เพื่อเพิ่มผลประโยชน์ทางการเงิน

อันดับ 2 - โทรจันที่มาพร้อมใบรับสินค้า (ของปลอม): ข้อความต่างๆ จากผู้จัดส่งสินค้ายอดนิยม ซึ่งแจ้งทางอีเมลว่าไม่สามารถส่งมอบของให้ผู้รับได้ พร้อมแนบไฟล์ข้อมูลที่ดูเหมือนเป็นใบแจ้งหนี้ แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อ ความสแปมที่จะล่อลวงผู้ใช้ให้ติดตั้งโทรจันลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัญหาดังกล่าวค่อนข้างแยกแยะลำบากสำหรับนักช้อปออนไลน์ที่กำลังรอการจัดส่งสินค้าในช่วงเทศกาล ทั้งนี้ UPS และ FedEx เป็นตัวอย่างของบริษัทผู้จัดส่งสินค้าที่อาชญากรไซเบอร์นิยมใช้เป็นเหยื่อล่อผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด

อันดับ 1 - ใบแจ้งราคาสินค้า (ปลอม): บางครั้งผู้ใช้งานอาจจะได้รับข้อความอีเมล์ที่แจ้งให้พวกเขาเปิด และพิมพ์ "ใบแจ้งราคาสินค้า" ที่ได้แนบมา ไฟล์ที่แนบมานั้นไม่ใช่ใบแจ้งราคาสินค้าของจริง แต่ว่าเป็นโทรจัน ผู้ที่ซื้อสินค้าออนไลน์บ่อยๆ จะได้รับใบแจ้งราคาสินค้าอยู่แล้ว และถือเป็นเป้าหมายหลักของภัยคุกคามประเภทนี้ แต่ในทางกลับกันผู้ใช้ที่ไม่เคยซื้อสินค้าออนไลน์ และแน่ใจว่าไม่ได้ทำการสั่งซื้อสินค้าใดๆ ก็อาจจะสงสัยและเปิดไฟล์แนบท้ายดังกล่าว สแปมก็จะแพร่กระจายไปทั่ว ล่าสุดที่พบคือหนอนไวรัส WORM_OTORUN.C ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหรือ ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์จึงต้องระมัดระวังและคำนึงถึงความปลอดภัยมากขึ้นระหว่างเลือกซื้อสินค้าออนไลน์

ด้วยปริมาณและความสามารถของภัยคุกคามข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ผู้ใช้งานจึงจำเป็นที่จะต้องมีการป้องกันข้อมูลแบบหลายระดับชั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เทรนด์ ไมโครจึงได้นำเสนอเทคโนโลยีเครือข่ายป้องกันภัยอัจฉริยะ (สมาร์ท โพรเทคชั่น เน็ตเวิร์ค) ที่ช่วยปกป้องผู้ใช้งานจากภัยคุกคามต่างๆ อาทิ สแปม หรือยูอาร์แอลที่เป็นอันตราย และไฟล์อันตรายต่างๆ ด้วยจำนวนและความสามารถของภัยคุกคามทางเว็บที่เกิดขึ้น ทำให้เราจำเป็นที่จะต้องมีการปกป้องข้อมูลแบบหลายระดับชั้น และทันท่วงที ถ้าผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ต้องการได้รับความปลอดภัยจากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ผ่านทางออนไลน์

โรรุวมหานรก

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

ธรรมดาว่าสัตว์นรกในนรกใหญ่ทั้งปวง จะส่งเสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญ ด้วยความเจ็บปวดจากการถูกลงโทษเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับโรรุวนรก สัตว์นรกที่นี่จะส่งเสียงไห้โหยหวนยิ่งกว่าหลายเท่า 

ดังนั้น จึงเรียกนรกใหญ่ขุมนี้ว่า โรรุวนรก แปลว่า นรกเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญของสัตว์นรก จะเห็นว่าสัมผัสแรกที่สัตว์นรกย่างกรายเข้ามารับโทษในนรกนี้สามารถรับรู้ได้ คือ จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสัตว์นรกอื่นๆ ดังอื้ออึงไปทั่วนรก เรียกว่าแทบนรกแตกก็ว่าได้ เพราะเสียงร้องของสัตว์นรกจะดังมากมองไปทางไหนไม่มีสัตว์นรกตนไหนที่ไม่ส่งเสียงร้อง 

ในไตรภูมิระบุว่า โรรุวนรกนั้นอยู่ภายใต้สังฆาฏนรกลงไป มีสัณฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ยาว และลึก 100 โยชน์ มีผนังเหล็กหนา 9 โยชน์ ทั้ง 4 ด้าน มี 4 ประตู และมีฝาปิดเบื้องบนและพื้นล่าง 

วิธีเสวยทุกข์ของสัตว์นรกที่นี่...จะเห็นว่าในภายในโรรุวนรกนั้น จะมีดอกบัวขนาดยักษ์จำนวนมาก และมิใช่บัวธรรมดาแต่เป็นบัวเหล็กแดงร้อนทั้งสิ้น ต้นและใบบัวก็เป็นเหล็กแดงร้อน ผุดขึ้นเต็มนรกทั้งยังมีหนามเหล็กแดงอยู่ระเกะระกะรายรอบบัวนั้น สัตว์นรกก็จะเสวยทุกข์อยู่ภายในดอกบัวเหล็กแดงนั้น โดยวิธีเสวยทุกข์ของสัตว์นรกนั้นก็คือ การนอนคว่ำอยู่กลางดอกบัว ศีรษะมิดเข้าไปในดอกบัวแค่คาง ปลายเท้าก็จมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อเท้า มือกางจมมิดเข้าไปในดอกบัวเหล็กแค่ข้อมือ นอนคว่ำหน้าอยู่ด้วยอาการอันพิลึกพิลั่นอย่างนั้นแล้ว เปลวไฟก็ปรากฏขึ้นเผาไหม้ดอกบัวเหล็กพร้อมกับสัตว์นรกเหล่านั้น 

จากนั้นเปลวไฟนรกก็ไหม้ท่วมทั้งกายแล้วเข้าไปทางทวารทั้ง 9 เช่น ถ้าเปลวไฟนรกแลบเข้าหูขวาก็จะแลบออกมาทางหูซ้าย บางทีแลบเข้าไปทางหูซ้ายก็ไหม้ออกมาทางหูขวา บางทีเข้าทางปากออกมาทางทวารหนัก เข้าทางทวารหนักออกมาทางปาก บางทีเข้าทางตาแล้วออกทางปาก ทางหู 

สัตว์นรกเหล่านี้ ได้รับความร้อนรนเป็นกำลัง ทนทุกขเวทนาแสนสาหัสยิ่งนักร้องไห้ครวญครางอยู่ที่ต้นบัวนรกนั้นกำหนดกาลได้ 4,000 ปี ถ้าจะนับเป็นปีในมนุษย์นี้ 23 โกฏิกับ 4 ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่ง คืนหนึ่งในโรรุวนรก 

วิบากกรรมของสัตว์นรกเหล่านี้ ท่านว่าชาติก่อนเมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้า ได้จับเอาสัตว์เป็นๆ มาเผาไฟกินเป็นอาหารอยู่ประจำ เคยเป็นตุลาการตัดสินคดีความแทนที่จะตัดสินด้วยความเที่ยงธรรม ก็พิพากษาความไม่ยุติธรรม มีอคติเอนเอียงเพราะรัก เพราะเกลียด เพราะกลัว เพราะเขลา เห็นแก่อามิสสินจ้าง รับสินบน เข้าข้างโจทก์บ้าง เข้าข้างจำเลยบ้าง ที่ชนะให้แพ้ ที่แพ้ก็ให้เป็นชนะ ไม่ตัดสินไปตามความจริง มีเจตนาอันชั่วร้าย ตัวตายแล้วจึงมาเกิดในนรกขุมนี้ 

บางตนเคยโลภมากก็รุกเอาที่ของผู้อื่นเอามาเป็นของตน บางตนเคยคบภรรยา หรือสามีคนอื่น แล้วฆ่าภรรยา หรือสามีเขาให้ตายแล้วเอาภรรยา หรือสามีเขา มาเป็นภรรยา หรือสามีของตน บางตนเคยฉ้อโกง หรือเบียดบังทรัพย์สินที่เขาอุทิศถวายสงฆ์ เอามาเป็นของตน เมื่อตายแล้วจึงมาตกนรกขุมนี้

สังฆาฏนรก...นรกบดขยี้

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

สังฆาฏนรก แปลว่า นรกภูเขาบดขยี้ร่าง เป็นนรกใหญ่ขุมที่ 3 อยู่ใต้กาฬสุตตะลงไป ลักษณะของนรกนี้ จะมีกำแพงและพื้นเหล็กแดงมีไฟลุกโชนโชติช่วง

ที่พิเศษคือ มีภูเขาเหล็กแดงลุกเป็นไฟใหญ่ 2 ลูก กลิ้งไปมาเข้าหากัน ก่อนที่จะบดขยี้ร่างสัตว์นรกน้อยใหญ่จนแหลกละเอียดแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อรับการลงโทษอันทารุณต่อไป

ทั้งนี้ ทราบไหมว่าเหล่าสัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในสังฆาฏนรกนี้นั้น จะมีร่างกายวิกล วิการแตกต่างกัน ผิดรูป ผิดร่าง แปลกพิลึก 

บางตนมีหน้าเป็นกระบือ แต่มีร่างกายเป็นมนุษย์ บางตัวมีหน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายกลับกลายเป็นช้าง  บางตนมีหน้าเป็นมนุษย์ แต่ร่างกายเป็นรูปสัตว์เดียรัจฉานแตกต่างกันไป บางตนมีหน้าเป็นเสือ เป็นกวาง เป็นม้าม้า เป็นวัว เป็นลา เป็นหมู เป็นสุนัข เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นกา เป็นต้น 

ล้วนแล้วแต่เดียรฉานทั้งสิ้น ทว่าที่ร่างกายกลับเป็นมนุษย์ มีอยู่หลากหลายแตกต่างกัน สุดจะนับประมาณได้ 

นายนิรยบาลผู้ทำหน้าที่ลงโทษก็จะทำการผูกมัดสัตว์นรกร่างประหลาดเหล่านั้นไว้ที่คอ ต่อจากนั้นก็ดึงลากมารวมกันเป็นพวงๆ ด้วยโซ่เหล็กร้อนแดง แล้วฉุดกระชากลากมาให้นอนเหนือแผ่นเหล็กร้อน จากนั้นก็เอาค้อนเหล็กกระหน่ำตีลงไปเต็มแรงเหยียดของนายนิรยบาลผู้ทรงพลัง แล้วร่างกายของสัตว์นรกนั้นๆ ก็แตกป่นถึงกระดูก 

ครั้นต้องลมกรรมที่พัดมาร่างสัตว์นรกนั้น ก็จะกลับมาเป็นปกติเป็นปกติธรรมดา ให้นายนิรยบาลมีโอกาสทุบตี กระหน่ำซ้ำเติมต่อไปอีกไม่ยั้ง บางพวกก็ถูกนายนิรยบาลจับมัดมาแล้วให้นอนหงาย ลงบนถ่านร้อน สัตว์นรกก็เร่าร้อนเจ็บปวดดิ้นรนไปมา เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสเพราะถูกเผาลนอย่างหนัก บางทีนายนิรยบาลผู้มีดวงหน้า มีมือถือศัสตราวุธเที่ยวเดินไป ครั้นถึงนรกก็พลันยกขึ้นซึ่งอาวุธ แล้วคำรามด้วยเสียงก้องนรกว่า "ฉันจะฆ่าแก" ทำให้สัตว์นรกได้ฟังเสียงนั้นเกิดหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ด้วยอำนาจกรรมบันดาลที่สัตว์นรกนั้น ทำให้เป็นกองไฟขึ้นขวางหน้ากั้นไว้ สัตว์นรกก็ไปไม่ได้ พอหันกลับมาก็เกิดไฟดักหน้าเข้าอีกกองหนึ่ง ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ให้ปรากฏมีกองไฟรอบตัวไปหมด เผาสัตว์นรกให้ได้ทุกขเวทนาแสนสาหัส

ไฟนรกนี้ อย่าพึงเข้าใจว่าเหมือนไฟในโลกมนุษย์ เพราะมันมีความร้อนแรงกว่าไฟธรรมดาหลายเท่านักถึงจะถูกไฟนรกเผาอย่างนี้ สัตว์นรกทั้งหลายก็หาตายง่ายๆ ไม่ ทีนั้นก็มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งหมุนมาบีบสัตว์ให้แหลกลาญ ละเอียดไม่มีชิ้นดี เปรียบดังเครื่องบดอ้อยที่บดอ้อยให้แหลกละเอียดนั่นทีเดียว

บางทีนายนิรยบาลก็จับสัตว์นรกเหล่านี้ มาฝังลงในพื้นแผ่นเหล็กลึกแค่บั้นเอว ตรึงตราไว้มั่น ไม่หวั่นไหวได้ ในไม่ช้า จึงมีภูเขาไฟรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ คอยกลิ้งมาบดขยี้ทับสัตว์นรกเหล่านั้นให้ได้รับทุกขเวทนา แตกละเอียดไป พอมีลมกรรมพัดมาก็กลับเป็นขึ้นมาอีก ภูเขาเหล็กนรกนั่นก็ค่อยๆ กลิ้งมาทับ บดขยี้ให้ถึงความป่นปี้ได้รับทุกขเวทนาอีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ ไม่หยุด ไม่หย่อนเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในสังฆาฏนรกนี้ ส่วนเกณฑ์อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้อยู่ที่ 2,000 ปี เทียบเวลาของมนุษย์โลกดังนี้ คือ 14 โกฏิ กับ 5 ล้านปีของมนุษย์โลก จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของสังฆาฏนรกโลก บุรพกรรม เมื่อก่อนเป็นผู้มีใจบาปหยาบช้า มากด้วยอกุศลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ชอบทำการทารุณกรรมสัตว์ เช่น ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์เป็นประจำ และผลของกรรมชั่วจึงดลบันดาลให้มาเกิดในนรกขุมนี้

กาฬสุตตะ นรกด้ายดำ

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

นรกใหญ่ขุมที่สองนี้เรียกว่า "กาฬสุตตะ" นรกด้ายดำ หรือนรกที่ลงโทษเหล่าสัตว์ตามเส้นด้ายดำ หรือนรกที่มีการลงโทษสัตว์นรกด้วยด้ายเหล็กดำ 

เหตุที่เรียกเช่นนั้น เพราะสัตว์ในนรกนี้ จะถูกนิรยบาลลงโทษโดยการเอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างแล้วเอาเลื่อยมาเลื่อย บางครั้งเอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาเฉือนหรือกรีดไปตามเส้นดำที่ตีไว้ ไม่ให้ผิดรอยได้ นี่คือความหมายของกาฬสุตตนรก (กาฬดำ, สุตตเส้นด้าย)

นรกนี้ตั้งอยู่ใต้สัญชีวนรก รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวและลึกได้ 100 โยชน์ มีประตู 4 ประตู และมีนิรยบาลประจำอยู่ทุกประตู เพื่อคอยลงโทษสัตว์นรกด้วยวิธีต่างๆ (แหม...รู้ยังกับเคยลงนรกขุมนี้มายังงั้น) 

ชีวิตพวกกาฬสุตตนรกบางพวก จะถูกนิรยบาลจับมัดให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กแดงยาวเหมือนร้อนลุกโชนด้วยไฟนรก จากนั้นก็เอา "ด้ายดำ" ซึ่งทำด้วย "เหล็กใหญ่เท่าต้นตาล" มาตีนาบบนร่างของสัตว์นรกนั้นให้เป็นรอยเส้น ตีนาบลงตรงส่วนไหน ก็เป็นรอยเส้นด้ายดำตรงนั้น ซึ่งรอยเส้นตรงนั้นเสมือนตีเส้นเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง 

ใช่แล้วละครับ...รอยเส้นขนาดใหญ่นั้น นิรยบาลจะเอาเลื่อยนรกไฟลุกแดงมาเลื่อยลงไปตามรอยเส้นนั้นจนร่างของสัตว์นรกนั้นขาดเป็นท่อนๆ หรือบางทีก็เอาขวานมาผ่า เอามีดมาเฉือน กรีดตามรอยเส้นด้ายดำร้อนจัดที่ตีเอาไว้ 

สัตว์นรก เมื่อถูกทรมานสากรรจ์แสนหวาดเสียวเช่นนั้น ก็ดิ้นรนทุรนทุรายร้องลั่นนรกด้วยความเจ็บปวด บางครั้งถึงกับทะลึ่งพรวดแสดงท่าทางฮึดฮัด หวังจะสลัดให้หลุดจากการลงทัณฑ์ของนิรยบาล แต่ถึงจะดิ้นพล่านอย่างไร นิรยบาลก็มิปรานี มีแต่บังคับจับมัดให้แน่นเข้าไปอีก แล้วทำการเลื่อยตัดร่างกายสัตว์นรกต่อไป 

กาฬสุตตนรกบางพวก พอเห็นนิรยบาลถือเลื่อยมาแต่ไกล ก็ไม่อาจจะอยู่ตรงนั้น ต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่พอถูกนิรยบาลร้องตวาดใส่เสียงสนั่นก้องนรก ก็ยิ่งทำให้ตกใจกลัวสุดขีดหนีกันอุตลุดไปคนละทิศทาง แต่ถึงจะหนีก็ไม่รอด เพราะว่าบาปกรรมที่สัตว์เหล่านั้น ทำเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ไม่ให้หนีไปไหนได้กลับบันดาลให้มีแผ่นกระดานเหล็กคมกริบลุกโชนด้วยเปลวไฟ พร้อมทั้งมีเสียงดังน่ากลัวเหมือนฟ้าผ่าแล่นมาตัดที่ร่างของสัตว์นรกเหล่านั้น ให้ขาดเป็นท่อนๆ หล่นร่วงเกลื่อนกลาดไปในที่นั้นๆ เหล่าสัตว์นรกจะเสวยทุกขเวทนาอันร้ายกาจ เห็นปานนี้อยู่เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะหมดอกุศลกรรมที่ตนทำไว้แล้วจึงจะไปเกิดในภพภูมิอื่นขึ้นอยู่กับบุญกรรม 

อยู่ในนรกนี้นานเท่าไรล่ะ ให้ดูที่เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกซึ่งอยู่ที่ 1,000 ปี หากเทียบเวลาของมนุษยโลกคือ 3โกฏิกับ 6 ล้านปี ของมนุษย์นั่นแหละ พอสัตว์นรกพ้นจากกาฬสุตตนรกแล้วอกุศลกรรมยังไม่สิ้นก็เลื่อนออกไปตกในนรกบริวารของกาฬสุตตนรก หากยังไม่สิ้นก็เลื่อนขึ้นมาตกในสัญชีวนรกแล้วก็เลื่อนออกไปตกในนรกบริวารของสัญชีวนรกทุกขุมๆ 

ครั้นพ้นจากนรกเหล่านี้แล้วอกุศลกรรมยังไม่สิ้นก็ไปบังเกิดในเปรตวิสัย ดิรัจฉาน บางทีไปเกิดเป็นคนเข็ญใจ เป็นคนอายุไม่ยืน ง่อยเปลี้ยเสียขา พิการ โรคมาก เรียกว่าไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่ดี ไม่สมบูรณ์ สมประกอบ 

ถามว่าทำชั่วอะไรจึงมาเสวยวิบากกรรมในนรกขุมนี้
ท่านว่าเมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาปหยาบช้า ชอบจับสัตว์ต่างๆ มาตัดเท้า ตัดหู จมูก ปาก ให้ทุกข์ทรมาน ชอบจุดไฟเผาป่าด้วยเจตนาให้สัตว์ตาย หรือไม่ก็มักลงไม้ลงมืประทุษร้ายบิดามารดา ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ชอบลักขโมย ฉ้อโกง เป็นอาจิณ 

รู้อย่างนี้ก็ไม่ควรทำบาปใดๆ

สัญชีวะ...นรกที่ไม่มีวันตาย

บทความโดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

มนุษย์ทุกวันนี้ทำบาปหรือความชั่วไม่เว้นแต่ละวัน ทำร้าย กักขัง หน่วงเหนี่ยวคนอื่นให้ขาดอิสรภาพ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าคนอื่น ทุจริต คอร์รัปชัน ฉ้อโกง ลัก จี้ ปล้น ชิงทรัพย์ ต้มตุ๋น คบชู้สู่ชาย นอกใจภรรยาสามี วางแผนฆ่าสามีเพื่ออยู่กับหญิงอื่น วางแผนฆ่าภรรยาเพื่ออยู่กับชายอื่น ล่อลวงลูกเมียคนอื่นไปรุมโทรม ข่มขืน กระทำอนาจาร พูดปดมดเท็จ โกหกคนทั่วบ้าน ด่าว่า ให้ร้าย เสียดสีคนอื่นเป็นอาจิณ เสพค้ายาเสพติด ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ลักเด็ก ทำร้ายจิตใจคนเป็นพ่อแม่ 

ครั้นพอทำแล้วบาปนั้นก็เล่นงานเผาผลาญใจของตนให้เร่าร้อนกระวายกระวน เช่น น็น็นอนไม่สุข อยู่ไม่สุข เพราะบาปที่ทำคอยกระทุ้งใจตลอดเวลา และแม้ตัวจะหนีความผิด หนีการรับโทษไป ณ ที่ใด ไกลแค่ไหน หรือด้วยวิธีใดๆ 

หากจะรอดเงื้อมมือกฎหมายบ้านเมืองก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้น "กฎแห่งกรรม" นั่นคือจะต้องรับผลของกรรมชั่วที่ก่อไว้อย่างแน่นอน ไม่ต้องรอชาติหน้า แค่ชาตินี้ผู้นั้นก็ประจักษ์ในผลของมันด้วยตัวเองอยู่แล้ว และเมื่อตายไปแล้วก็ไม่แคล้วที่จะต้องไปเสวยผลกรรม เพราะขณะมีชีวิต ชีวิตของผู้นั้นก็เป็นทุคตชีวิต คือ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ใจ ความไม่สบายใจ และหากว่าตายไปแล้วก็ไม่แคล้วต้องไปเสวยผลของกรรมชั่วนั้นๆ ในนรกขุมต่างๆ ขึ้นอยู่กับความชั่วที่ทำ 

ทั้งนี้ ในไตรภูมิได้กล่าวถึงนรกไว้ 2 ประเภท คือ นรกใหญ่ หรือมหานรก มีจำนวน 8 ขุม ประกอบด้วย สัญชีวะ (สัญชีพ) กาฬสุตตะ สังฆาฏะ โรวุวะ มหาโรรุวะ ตาปะ มหาตาปะ และอเวจี (อวีจี) 

อีกประเภทหนึ่ง นรกบ่าว หรือนรกขุมเล็กๆ จัดเป็นนรกบริวารซึ่งมีจำนวนมากแต่ที่ระบุไว้มี 16 ขุม ประกอบด้วย เวตรณี สุนขะ สโชติ อังคารกาสุ โลหกุมภี อโยทกะ ถุสปลาสะ สัตติหตะ พิลสะ โปราณมิฬหะ โลหิตปุพพะ โลหพิลสะ สังฆาฏะ อวังสิระ โลหสิมพลี และมิจฉาทิฏฐิ และมีนรกพิเศษอีกขุมหนึ่ง คือ โลกันตะ หรือโลกันตริก

พูดถึงนรกใหญ่ขุมแรก สัญชีวนรก หรือนรกสัญชีพ ท่านว่าผู้ที่มาตกนรกขุมนี้แม้จะได้รับการลงโทษต่างๆ นานาจนตายแล้วก็จะกลับมีชีวิตฟื้นขึ้นมาอีก เพื่อรับโทษทัณฑ์จากนายนิรยบาลต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม เรียกว่า เดี๋ยวตาย เดี๋ยวคืนชีพ เพื่อรับโทษอยู่อย่างนั้น จะบอกว่าชาวนรกนี้ว่าไม่มีวันตายก็คงไม่ผิด เพราะแม้ว่าจะเสวยทุกข์แสนสาหัสจนขาดใจตายคาที่อย่างไร ก็กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่เพื่อรับโทษต่อไป เป็นๆ ตายๆ อย่างนี้ 

อีกอย่างหนึ่ง ชาวสัญชีวนรก จะไม่มีอาชีพการงานที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีวิตเหมือนอย่างมนุษย์ แต่มีหน้าที่เดียวที่ต้องทำคือ ก้มหน้าก้มตารับผลกรรมจากที่ตัวเองเคยทำไว้ 

ในไตรภูมิเล่าว่า สัตว์นรกพวกนี้ บางพวกได้รับการลงโทษจากนายนิรยบาล โดยการถูกจับมัดให้มั่น บังคับให้นอนลงเหนือแผ่นเหล็กแดงด้วยไฟนรก จากนั้นนายนิรยบาลก็เอาดาบคมฟาดฟันกายของเขาให้ขาดเป็นท่อนๆ บางทีก็เอามีดเอาขวานคอยถากเฉือนเนื้อตามร่างกายของสัตว์นรกทีละน้อยๆ จนกระทั่งเนื้อหนังมังสาหมดไป เหลือแต่เพียงโครงกระดูกขาวโพลน ทำให้สัตว์นรกพวกนั้นได้รับโทษทรมานจนกระทั่งสิ้นใจตายไปในที่นั้นเอง 

จากนั้นก็มีลมชนิดหนึ่งเรียกว่า "ลมกรรม" โชยพัดมาต้องกายสัตว์นรกนั้น ให้กลับมีชีวิตเหมือนเดิม พอนายนิรยบาลเห็นอีกก็จับมาทรมานเหมือนเก่าจนกว่าสัตว์นรกนั้นจะสิ้นกรรม แต่สัตว์นรกบางจำพวกด้วยอำนาจกรรม ทำให้มีนิ้วมือแปลกพิลึก คือ มีนิ้วมือเป็นอาวุธ เช่น หอก ดาบ พอมาพบสัตว์นรกอื่นแทนที่จะสงสาร ก็ตรงเข้าใส่ฟันแทงด้วยความโกรธเป็นวรรคจนต้องตายไปข้าง มิหนำนายนิรยบาลก็ร่วมสงเคราะห์ด้วย

นี่คือชีวิตของพวกสัญชีวนรก ซึ่งสัตว์นรกพวกนี้มีเกณฑ์อายุอยู่ที่ 500 ปี ท่านว่าหากเทียบกับเวลามนุษย์จะอยู่ที่ 9 ล้านปี 

ท่านว่าคนที่มาลงนรกขุมนี้ตอนที่เป็นมนุษย์นั้นเป็นคนมีจิตใจสกปรก หยาบช้า ชอบก่อกรรมทำชั่วต่างๆ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่น ครั้นสิ้นชีวิตแล้วกรรมชั่วนั้นจึงนำพาให้มาเกิดในสัญชีวนรก...แดนที่ไม่มีวันตายแห่งนี้

เห็ดโคน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เห็ดโคน

ปลายฝนต้นหนาว ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลเห็ดโคน  วันไหนแดดแรงแล้วมีฝนตามลงมา ตอนรุ่งเช้าเห็ดโคนจะเริ่มผุดจากพื้นดินตามท้องที่ต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องเห็ดโคนในเมืองไทย

เห็ดโคน เป็นเห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถเพาะเชื้อได้เหมือนเห็ดชนิดอื่นๆ ด้วยความโอชะเหนือเห็ดอื่นๆ จึงมีฤดูกาลของเห็ดโคนโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมและช่วงออกพรรษาจะมีเห็ดโคนออกซ้ำที่เดิมทุกปี แต่ด้วยเห็ดโคนเป็นเห็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อถึงฤดูเห็ดโคนจึงมีคนไปเสาะหามาขาย แม้ว่าจะต้องลำบากลำบน ขึ้นเขาลงห้วยไปเก็บเห็ดก็ยังมีคนนิยมไปหาเห็ดมาขายเป็นประจำทุกปี

แหล่งเห็ดโคนนั้นชอบขึ้นในป่าเขา ที่มีมากก็เพียงไม่กี่จังหวัด ที่ขึ้นชื่อมานมนาน คือป่าเขาสน กาญจนบุรี อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ที่มีพื้นที่ติดกับอุทยานแห่งชาติห้วยขาแข้ง แต่เห็ดเผาะหรือเห็ดถอบจะเป็นเห็ดของทางเหนือโดยเฉพาะ

ช่วงปลายเดือนตุลาคมต่อเดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูกาลของเห็ดโคน ด้วยความยากลำบากในการหาเห็ดโคน ที่ขายจึงมีราคาแพง ตามท้องที่ซึ่งมีเห็ดโคนมากอย่างเมืองกาญจน์ สองข้างทางแถวน้ำตกเอราวัณ แก่งแคบ เขื่อนศรีนครินทร์จะมีเห็ดโคนดอกตูมขายกิโลละ 300-400 บาท ถ้าเห็ดบานราคาจะลดลง ส่วนเห็ดโคนที่ล้างสะอาดต้มกับน้ำเกลือแถวแก่งแคบร้านโอทอปที่น้ำตกเอราวัณจะมีขายถุงละ 100 บาท ซื้อมาทำแกงจืดอร่อยเหลือประมาณ หาซื้อได้ที่เมืองกาญจน์ตามร้านทั่วทุกแห่ง แต่ถ้าต้องการเห็ดที่ราคาถูกกว่านี้ ขอชวนไปเที่ยวเมืองกาญจน์ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นช่วงเห็ดโคนเต็มบ้านเต็มเมือง แถมได้เที่ยวเมืองกาญจน์อีกด้วย

มีแหล่งเห็ดโคนชุกชุมอยู่แห่งหนึ่ง คือตำบลแก่งแคบใกล้เขื่อนศรีนครินทร์ เห็ดโคนที่แก่งแคบจะขึ้นอยู่บนเขาติดกับพม่า คนที่จะหาเห็ดจะต้องเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่ตอนดึกกะให้เช้าบนเขาเมื่อพบเห็ดก็จะแซะเห็ดรวบรวมลงมาขายที่แก่งแคบ

กาญจนบุรีห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 220 กม. เท่ากับกรุงเทพฯ - หัวหิน แต่เดิมการจราจรติดขัดมากในช่วงตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล บนถนนเต็มไปด้วยรถบรรทุกอ้อยช่วงผ่านบ้านโป่งเป็นจุดวิกฤติ แต่ทุกวันนี้มีสะพานลอยข้ามแยกทำให้การจราจรไม่ติดขัด เราใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเศษก็ถึงทางแยกเข้าเขื่อนศรีนครินทร์ทางซ้ายมือ ถ้าไม่ดูทางแยกให้ดีจะเลยทางเข้าเขื่อนไปตามถนนขึ้นเขาไปอำเภอศรีสวัสดิ์ ระยะทาง 30 กิโลเมตร ที่มีเส้นทางคดเคี้ยว บางแห่งหักเลี้ยวเป็นข้อศอก กว่าจะถึงอำเภอศรีสวัสดิ์ คนที่เมารถจะกระอักออกมาเป็นเกษียรสมุทร เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางบนเขา มีทางเลือกที่แสนสบายคือ ข้ามแพขนานยนต์จากท่ากระดานไปอำเภอศรีสวัสดิ์ ชาวเมืองกาญจน์เรียกว่า "ข้ามเท้ง" ใครเรียกแพขนานยนต์ว่า "เท้ง" จะบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนเมืองกาญจน์แท้ๆ

ชุมชนบ้านแก่งแคบ เป็นหมู่บ้านที่ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ มีร้านค้าเล็กๆ ขายอาหารและขายหน่อไม้นึ่งที่หวานกรอบสดๆ (เป็นของดีจากแก่งแคบที่บรรจุถุงขายถุงละ 25 บาท) และแกงชื่อประหลาด เป็นแกงพื้นบ้านชื่อ "หนามยอก"

หมู่บ้านของคนระลึกชาติ

บทความโดย... อ.ตุ้ย วรธรรม

ไม่น่าเชื่อว่าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ จะมีคนที่ระลึกถึงชาติเก่าของตัวเองได้ปริมาณ 50 คน (ตามข่าวว่าอย่างนั้น) ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นจำนวนที่มาก บางคนจำอดีตชาติของตัวเองได้อยู่ว่าชาติก่อนเกิดเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน สามารถจำและบอกเรื่องราวในอดีตชาติของตนเองได้เกือบทั้งหมด รู้กระทั่งว่าตนเองตายด้วยสาเหตุอะไร เป็นต้น 

บางคนก็มีพยานรู้เห็นสามารถที่จะยืนยันในเรื่องราวต่างๆ ได้ บางคนมีวัตถุและหรือสถานที่ ซึ่งเป็นหลักฐานพิสูจน์ในสิ่งที่พูดถึงว่ามีอยู่จริง เช่น ศาลเจ้าที่ วัด ต้นไม้หมู่บ้าน เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ระลึกชาติเก่าของตัวเองได้ ไม่แน่ว่าจะจำอดีตชาติของตัวเองได้ตลอดอายุ บางคนเรื่องราวในอดีตชาติรางเลือนไปบ้างแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง และก็จำไม่ได้เลยก็มี บางคนจำอดีตชาติของตัวเองได้ในขณะที่ยังเป็นเด็ก แต่พอเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มสาวจำไม่ได้ก็มี ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุใดนั้นไม่ทราบได้ 

เกี่ยวกับชาติ (การเกิด) นั้น พึงทราบว่า คนเราเกิดแล้วตายครั้งหนึ่งนั้นนับเป็นชาติหนึ่ง สมมติเกิดเมื่อปี 2513 แล้วตายในปี 2540 เช่นนี้ถือเป็นชาติหนึ่ง ต่อมาเกิดใหม่ในปี 2545 ก็ถือเป็นชาติที่ 2 เป็นต้น 

ทั้งนี้ การที่คนเราเกิดมามีความสามารถในการนึกทวนคืนไปในหนหลัง เพื่อสืบสาวเรื่องราวของตนที่เป็นมาแล้วในอดีตชาติ สามารถที่จะรู้ว่า ตัวเองเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างอย่างละเอียด ในสาระสำคัญของชีวิต เช่น มีกำเนิดเป็นอะไร มีชื่อและนามสกุลอย่างไร มีผิวพรรณอย่างไร มีอาหารอย่างไร เสวยทุกข์สุขอย่างไร อยู่ ณ ที่ไหน มีความกำหนดอายุเท่าไร ตายจากอัตภาพนั้นไปเกิดเป็นอะไร ดังนี้เป็นต้น 

อย่างนี้เรียกว่า มีความสามารถในการระลึกอดีตชาติของตัวเองได้ ซึ่งความสามารถในการนึกทวนอดีตชาตินี้ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปตามกำลังสมควรแก่กำลังญาณอันเนื่องด้วยวาสนาบารมี ตั้งแต่หนึ่งชาติไปจนถึงจำนวนหลายอสงไขยกัป 

จึงมีบางคนระลึกชาติก่อนของตัวเองได้แค่ชาติเดียว บางคนระลึกได้ 2 ชาติ บางคนระลึกได้ 3 ชาติ บางคนระลึกย้อนหลังไปได้ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ แต่บางคนระลึกได้หลายอสงไขยแสนกัป เช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น 

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนสติอบรมจิตในอดีตชาติ และหรือในปัจจุบันชาติได้ดีแค่ไหนอย่างไร ถ้าฝึกฝนอบรมจิตดีเท่าใดก็จะระลึกชาติได้หลายชาติ เช่น พระสาวก และพระพุทธเจ้า เป็นต้น 

ส่วนผู้ที่ระลึกชาติเก่าก่อนของตัวเองได้ที่หมู่บ้านตะคร้อ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี นั้น เท่าที่ทราบเป็นการระลึกชาติได้ที่ไม่ได้ละเอียดนัก เพราะบางคนระลึกเรื่องราวในอดีตชาติของตนเองได้บ้างเป็นบางช่วงตอนของชีวิต ไม่ได้ทั้งหมด บางคนเรื่องราวในอดีตชาติได้เลือนหายไปแล้ว กล่าวคือ ตอนเด็กจำได้แต่พอโตขึ้น เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นก็เลือนหายไป 

ทั้งนี้ ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะการฝึกฝนอบรมจิตในอดีตชาตินั้นที่ยังไม่ดีถึงขั้นอุกฤษฏ์ 

อย่างไรก็ตาม การระลึกถึงชาติในอดีตของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และมีอยู่จริง ซึ่งก็ปรากฏมีข่าวให้เห็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ว่าการระลึกชาติได้ของคนในหมู่บ้านตะคร้อแห่งนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นความอัศจรรย์และแปลกกว่าที่อื่นๆ ก็ตรงที่มีคนระลึกชาติได้ร่วม 50 คน ซึ่งคงหาดูที่ไหนไม่ได้แล้วในโลกนี้

บ้านขุหลุในนิทานท้องถิ่น


ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เป็นอีกหนึ่งในหลายท้องถิ่นที่มีนิทานตำนานพื้นบ้านเล่าเรื่องราวที่มา ดังปรากฏอยู่ในจารึกประวัติบ้านขุหลุ หน้าอุโบสถ วัดศรีโพธิ์ชัย ที่เรียบเรียงโดย พระครูสิริธรรมากร เจ้าอาวาสวัดศรีโพธิ์ชัยรูปปัจจุบัน กล่าวว่า บ้านขุหลุตั้งขึ้น พ.ศ.2290 “ท้าวเซียงกู๋” ผู้เป็นหัวหน้านำลูกหลานมาตั้งเป็นบ้านขุหลุ โดยอพยพมาจากลุ่มแม่น้ำเซบังเหียง แขวงเวียงจันทร์ (ประเทศลาว) ครั้งแรกมาตั้งบ้านเรือนเป็นหมู่บ้านอยู่ริมฝั่งขวาของห้วยขุหลุ ปัจจุบันเป็นทุ่งนาของบ้านขุหลุ บ้านคำไหล

ต่อมาเกิดเดือดร้อน ประชาชนป่วยเป็นโรคฝีดาษ “โรคห่า” ท้าวเซียงกู๋จึงนำลูกหลานอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ฝั่งซ้ายของห้วยขุหลุ โดยอาศัยหนองคอมเป็นที่ทำมาหากิน หนองคอมก็คือหนองขุหลุปัจจุบัน เนื่องจากคนสมัยนั้นเชื่อเรื่อง นิทานในวรรณคดี 

ดังนั้น จึงเชื่อว่าหนองคอมก็คือหนองขุหลุ ตามนิทานในวรรณคดีท้าวคันธนาม (คันธกุมาร) ที่ได้ปราบยักษ์ขุมคำ ยักษ์ยอมแพ้จึงได้ถวายทองคำแด่ท้าวคันธนามพร้อมด้วยแม่แจ่ม

ทั้งหมดจึงพากันหาบทองคำมาถึงบ้าน (ปัจจุบันเป็นบ้านเกษม) และมาดูว่าแม่และลูกหาบได้คนละเท่าไหร่ (ตวงดูน้ำหนัก) ท้าวตันธนามหาบได้สามแสนสี่หมื่น แม่แจ่มเจ้าหาบได้สี่พัน ครั้นรอนแรมมาถึงหมู่บ้านระหว่างกลางทางสายคุขาดอีกเลยใช้วิธีคอนเอา ซึ่งหมู่บ้านที่สายคุขาดให้ชื่อว่า “บ้านคอนสาย” ปัจจุบันเป็น ต.คอนสาย

เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านขุหลุทุกวันนี้ ท้าวคันธนามได้สั่งให้ท้าวแก่เกวียนร้อยเล่มซึ่งเป็นคนรับใช้ไปตักน้ำ แล้วคุหลุดลงไปก้นบ่อคุทะลุ (คุรั่ว) ถูกน้ำพัดไปตามรูน้ำซึ่งเชื่อมต่อกับหนองคอม คุใบนั้นจึงไปโผล่ขึ้นที่กลางหนองคอมชาวบ้านจึงเรียกว่า “หนองขุหลุ”

ต่อมาท้าวเซียงกู๋ได้เอานามของคุหลูมาตั้งชื่อหมู่บ้าน เรียกว่า “บ้านคุหลู” นานวันไปเสียงกร่อนเพี้ยนเป็น “ขุหลุ” จึงเรียกว่าบ้านขุหลุ หนองขุหลุ ตราบเท่าทุกวันนี้

จาก "จำปากอ" สู่ "บาเจาะ" หนองน้ำแห่งเมืองนรา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อำเภอบาเจาะ เมืองนรา

อ.บาเจาะ ตั้งอยู่เหนือสุดของจ.นราธิวาส มีพื้นที่ติดต่อกับ อ.สายบุรี และ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี รศ.ประพนธ์ เรืองณรงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมภาคใต้ อธิบายว่า “บาเจาะ” อาจมาจากคำว่า “เบินจะห์” ซึ่งหมายถึง หนองน้ำ หรือ “บือเจาะ” ที่แปลว่า ที่ชื้นแฉะ ในภาษามลายูก็ได้

เดิม บาเจาะ เป็นส่วนหนึ่งของสายบุรี ต่อเมื่อในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2451 ได้รับการยกฐานะเป็นกิ่ง อ.จำปากอ และ อ.จำปากอ ตามลำดับ “จำปากอ” หรือ “จือปากอ” หมายถึง ต้นดอกจำปา (บุหงาจำปากอกูนิง) หรือต้นดอกจำปี (บุหงาจำปากอปูเต๊ะฮ์)

ต่อมาในพ.ศ.2460 เปลี่ยนชื่อจาก อ.จำปากอ มาเป็น อำเภอ “บาเระหนือ” (คำว่า “บาเระ” ในภาษามลายู แปลว่า แถว หรือ แนว) หลังจากนั้นมีการย้ายที่ว่าการอำเภอไปตั้งที่ ต.บาเจาะ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น อ.บาเจาะ 1 ใน 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส มาจนถึงปัจจุบัน

เปิดตำนานนักสืบ "คงเดช ชูศรี"

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คงเดช ชูศรี

นับตั้งแต่เกษียณอายุราชการอำลาจากวงการสีกากีมาเมื่อหลายปีก่อน ชื่อเสียงของ "อาจารย์คง" หรือ พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี ที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคย อดีตนายตำรวจมือปราบก็ค่อยๆ เงียบหายไปจากหน้าสาธารณะ หันไปใช้ชีวิตเรียบง่ายทำไร่เลี้ยงสัตว์อย่างสุขสงบใน อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี

แม้จะล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ขนานนามอาจารย์คง หลายคนพานให้นึกถึงวีรกรรมในอดีตที่ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน ตั้งแต่การเปิดโปง "เปรตกู้" จอมลวงโลก คดี "เสริม สาครราษฎร์" ฆ่าหั่นศพนักศึกษาแพทย์แฟนสาว ตลอดจนคดีปราบปรามมือปืนรับจ้างมามากมายชนิดจาระไนไม่หมด แต่ในจำนวนนี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเมื่อหวนนึกไปถึง นั่นคือคดีฆ่า "แสงชัย สุนทรวัฒน์" อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) อันครึกโครม "คดีนี้มีการระดมนักสืบทุกหน่วยงานมาร่วมทำคดี และเป็นที่จับตามองของสื่อมวลชนและคนทั้งประเทศ จึงกดดันมาก"

เมื่อปี 2539 อาจารย์คงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือ ได้รับมอบหมายให้เข้ามาคลี่คลายคดีตั้งแต่ต้น ควบคู่ไปกับชุดสืบสวนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) มีการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวนทุกอย่างมาคลี่คลายคดีหาเบาะแสมือปืน ชนวนเหตุ และผู้จ้างวาน ประวัติคนรอบข้างที่เกี่ยวพันกับแสงชัยถูกตรวจสอบละเอียดยิบ แต่ก็มีปัญหาอุปสรรคติดขัดอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางการทำงานอย่างทุ่มเท มีความกดดันจากทุกทาง จนชุดทำงานแทบไม่เป็นอันกินอันนอน กระทั่งได้เบาะแสว่าประเด็นสังหารน่าจะมาจากการขัดผลประโยชน์ในบอร์ดบริหาร อสมท

"ชุดสืบสวนแต่ละชุดต่างมีเป้าหมายของตัวเอง ทั้งหมดพุ่งไปที่ผู้บริหารในบอร์ด อสมท กลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ทำได้แค่สงสัย มีการเชิญผู้บริหารกลุ่มนั้นรวมถึงอดีตทหารมาสอบปากคำหลายคน แต่ก็ขาดหลักฐานเชื่อมโยง เวลาล่วงเลยไปกว่าเดือนเศษ คดีไม่มีความคืบหน้า ชุดสืบสวนเองก็รู้สึกเครียดมาก เพราะคดีถูกจับตามองอยู่ทุกๆ นาที ผู้บังคับบัญชาโทรมาสอบถามทุกชั่วโมง พอไม่มีความคืบหน้าก็โดนตำหนิ ตอนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกัน เพราะเราทำงานเต็มกำลัง งานอื่นที่สำคัญน้อยกว่าเราก็ชะลอไปก่อน ทีมสืบสวนของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย"

ในที่สุดอาจารย์คงก็ได้เบาะแสหนึ่ง คือ พฤติกรรมของมือปืนสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นมือปืนหน้าใหม่ ?!!
แสงชัยถูกยิงเสียชีวิตขณะกลับจากรับประทานอาหารกับวัชรี สุนทรวัฒน์ ภรรยาที่ร้านอาหารย่านเมืองทองธานี โดยเขานั่งอยู่เบาะหลังมีวัชรีเป็นคนขับ กระสุนขนาด 9 มม.ทะลุกระจกถูกแสงชัยเสียชีวิตคาที่ มือปืนยังพยายามฆ่าวัชรีด้วย แต่เดชะบุญกระสุนขัดลำกล้องเธอจึงรอดตายหวุดหวิด ด้วยเหตุนี้ชุดสืบสวนของอาจารย์คงจึงเริ่มพุ่งเป้าไปที่มือปืนหน้าใหม่ และลงมือตรวจสอบตามซุ้มมือปืนต่างๆ อย่างเร่งด่วน

ขณะที่การสืบสวนค่อยๆ คืบหน้าไปทีละขั้นๆ ไม่นานก็มีคดีสังหาร "นรุตม์ สัตยาศัย" เจ้าของกิจการส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์หน้าหมู่บ้านสัมมากร ท้องที่ สน.บางชัน โดยคนร้ายใช้ปืนขนาด 9 มม.แล้วเกิดอาการขัดลำกล้องเช่นเดียวกับคดีแสงชัย อาจารย์คงพร้อมชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบและเริ่มมั่นใจว่า น่าจะเป็นมือปืนคนเดียวกัน โชคดีอย่างที่คนร้ายทำถุงกระดาษตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนระบุห้องเลขที่ 405 ศิริสุขอพาร์ตเมนต์ ย่านรามคำแหง ชุดสืบสวนสงสัยว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับมือปืน จึงไปตรวจสอบและติดตามไปจับกุมตัวได้ยกทีมในเวลาต่อมา

"คดีนี้เป็นคดีแรกๆ ที่มีการนำเอานิติวิทยาศาสตร์เข้ามาคลี่คลายคดี เพราะเป็นการขยายผลจากคดีอื่น แล้วเชื่อมโยงมาถึงคดียิงคุณแสงชัย เป็นการให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่ค่อยนำมาใช้กันมากนัก ผมทำคดีตั้งแต่ต้นและใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวนทั้งหมดเลยรู้สึกภูมิใจ ส่วนคดีเปรตกู้เป็นเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นธรรมดา ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็มีการสอนวิธีจับผิดคนพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่สื่อให้ความสนใจมากเลยเป็นที่รู้จัก แต่ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกอะไร" อาจารย์คงเล่า

ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ล้วนมีจุดจบแตกต่างกันไป ทั้งถูกลอบสังหาร ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำถึงทุกวันนี้ !?!
"บนถนนชีวิตตำรวจบอกได้เลยว่า ทุกวินาทีที่เราเผชิญหน้ากับคนร้ายมันเสี่ยง ถ้าพลาดหมายถึงชีวิต สำหรับผมแล้วไม่มีงานไหนที่เสี่ยงที่สุด เพราะทุกครั้งอันตรายและเสี่ยงไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน" อาจารย์คงพูดถึงชีวิตในการทำงานคลี่คลายคดีสำคัญๆ

หลายคนสงสัยสมญานาม "อาจารย์คง" มีที่มาอย่างไร ?
คำตอบที่ได้ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คือ ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาสืบสวนสอบสวนให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจเป็นเวลานานสองนาน เลยได้สมญานามดังว่า 

นอกจากนี้ เพื่อนร่วมรุ่นยังเคยเรียกว่า "หมอคง" ด้วยซ้ำ เกิดจากพฤติกรรมชวนขันสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ โรงเรียนนำนักกีฬารักบี้เข้านมัสการหลวงปู่พรหมโมลี วัดไร่ขิง จ.นครปฐม นักเรียนนายร้อยตำรวจคงเดช เป็นคนเดียวที่หลวงปู่เคาะหัวให้พร ทว่าลงมือเคาะได้ 2 ที ยังไม่ทันจะครบดีก็ถอยหนีบอกว่าเจ็บ ทำท่าจะไม่ยอมให้เคาะอีก ทั้งที่คนอื่นๆ อยากได้โอกาสนี้กลับไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ยอมให้เกจิดังเคาะหัวจนครบ 3 ครา ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนๆ เลยเรียกขานติดปากว่า "หมอคง"

นักสืบ...นักจ้อผ่านสื่อ
ในสายตาของอดีตมือปราบที่ผ่านงานมาโชกโชนหลายรูปแบบ พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี มีมุมมองเกี่ยวกับงานสืบสวนของตำรวจยุคปัจจุบันว่า อยู่ในภาวะตกต่ำมาก หากปล่อยไว้เช่นนี้นักสืบที่แท้จริงจะหายไปจากวงการตำรวจ เนื่องจากนักสืบจำเป็นต้องมีประสบการณ์การทำงานอย่างโชกโชน เริ่มต้นปูทางตั้งแต่การเป็นพนักงานสอบสวนสัก 4-5 ปีก่อน แล้วค่อยขยับมาทำงานสืบสวน แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น นักสืบส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านงานมาแบบเป็นขั้นเป็นตอน จึงทำงานไม่เป็นเลยสักนิดเดียว

"ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะว่า ทุกวันนี้สายสืบทำงานแบบเอาตัวรอดไปวันๆ มีคำตอบนอกนายให้ไปแถลงต่อสื่อมวลชนก็เป็นอันจบงานในวันนั้นๆ อย่างคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล นักสืบสมัยก่อนไม่มีหรอกที่จะออกมาเปิดเผยข้อมูลรายวันแบบนี้ แนวทางการสืบสวนคนร้ายรู้หมด เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากพูดต่อหน้าสื่อ เนื่องจากจะได้รู้ว่าเป็นผลงานของตัวเอง ตรงกันข้ามกับเมื่อก่อน จับได้แล้วค่อยแถลง หรือไม่ก็ให้ข่าวเบี่ยงเบนประเด็นไปเลย เช่น คนร้ายชื่อนายไก่อยู่ลพบุรีเราจะบอกนักข่าวว่า คนร้ายชื่อนายหมูกบดานอยู่ที่เชียงใหม่เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีจริงๆ"

พล.ต.ต.คงเดชกล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้อยากให้ตำรวจทำหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน อย่าเข้าไปอยู่ในเกมการเมือง เพื่อหวังลาภยศอำนาจ เพราะหน้าที่ของเราคือการดูแลประชาชน !?!

เรือกับวิถีชีวิตไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แม่น้ำลำคลอง

เรือกับวิถีชีวิตไทย แม่น้ำลำคลอง เป็นเส้นทางสำคัญในการสัญจรติดต่อไปมาค้าขาย ซึ่งกันและกันมาแต่บรรพกาล

เรือ จึงเป็นพาหนะสำคัญในวิถีชีวิตของชาวไทย ที่เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพชนแต่บรรพกาล ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการสัญจรระหว่างบ้านและชุมชน

เรือ เป็นพาหนะที่มีบทบาทสำคัญแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ทั้งในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การคมนาคมขนส่ง ตลอดจนก่อให้เกิดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามแห่งสายน้ำของสยามประเทศ

ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นพื้นฐานของศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันดีงามของชาวไทย ในฤดูน้ำหลาก ว่างเว้นจากการเพาะปลูก ปักดำทำนา ในเทศกาลงานบุญประเพณีออกพรรษา ด้วยนิสัยรักสนุก อันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย ก่อให้เกิดการละเล่นทางน้ำ

อาทิ การเล่นเพลงเรือ และการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้น อันเป็นกีฬาชาวบ้านในชุมชนชนบทไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชาติขึ้นทุกลุ่มน้ำแห่งสยามประเทศ

ปะด่อง-แม่ฮ่องสอน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปะด่อง-แม่ฮ่องสอน

กะเหรี่ยงคอยาว หรือปะด่อง ชนกลุ่มนี้เข้าสู่ประเทศไทยด้าน จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2527 ในช่วงที่กองกำลังทหารพม่าทำการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยเผ่าคะยา บริเวณพรมแดนไทย-พม่า การสู้รบทำให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ รวมทั้งชาวปะด่องจำนวนหนึ่ง อพยพเข้ามาในประเทศไทยที่หมู่บ้านใหม่ในสอย 

ต่อมามีแนวคิดเรื่องการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว จึงเปิด “ศูนย์ท่องเที่ยวหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว” หลายแห่งใน จ.แม่ฮ่องสอน

พื้นที่ใน จ.แม่ฮ่อนสอน เป็นตะข็บชายแดนที่มีผู้คนต่างชาติ ต่างภาษาเดินทางไปมาหาสู่กันมาตั้งแต่ครั้งยังไม่มีเส้นพรมแดน หรือแม้แต่ในช่วงที่เจ้าอินทวิชยานนท์ ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ยังมีหลักฐานว่า บริเวณที่เป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบันคือหมู่บ้านของชาว “ไทยใหญ่” ซึ่งอพยพมาจาก “รัฐฉาน” ของพม่า

บริเวณดังกล่าวเป็นเขตที่เจ้าเมืองเชียงใหม่ ส่งเจ้านายไปจับช้างป่า เพื่อฝึกไว้ใช้งานต่างๆ เมื่อชุมชนขยายตัวใหญ่ขึ้น จึงมีการสถาปนาหมู่บ้านแถบนั้นเป็นเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งมาจากคำว่า “แม่ร่องสอน” ที่หมายถึงร่องน้ำอันเป็นสถานที่ฝึกสอน (ช้างป่า) นั่นเอง

ปล. สำหรับประเด็นชนกลุ่มน้อยนี้ บอกได้เลยว่า เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อเรื้อรังมานาน และยังไม่มีทีท่าจะจบลงโดยง่าย แม้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ และสมควรที่จะได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน!

"สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้" (ทุ่งค่าย) ท่องสะพานเรือนยอดไม้แห่งเดียวในไทย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้

"สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้" (ทุ่งค่าย) ตั้งอยู่ในเขต "ป่าสงวนแห่งชาติป่าทุ่งค่าย" ต.ทุ่งค่าย อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2536 ตามดำริของ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ที่ต้องการจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์มาตรฐานสากลในภาคใต้

ปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์ดังกล่าวอยู่ในสังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีจุดประสงค์เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้ท้องถิ่นเมืองใต้

สภาพภูมิประเทศของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้เป็นป่าดิบชื้นที่ลุ่มต่ำ มีเนื้อที่ประมาณ 2,600 ไร่ หรือ 4.16 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างตัวอำเภอเมืองตรังไปทางทิศตะวันตก ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 404 ถนนสายตรัง-ปะเหลียน ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 11 กิโลเมตร

ปัจจุบันมีพันธุ์ไม้มากกว่า 200 ชนิด ทั้งยังมีการปลูกพันธุ์ไม้ป่าจากแหล่งต่างๆ แยกเป็นหมวดหมู่หรือตามวงศ์ ประกอบด้วย
1.สวนรวมพันธุ์ไม้แห่งความรัก 
2.สวนพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน 
3.สวนอนุกรมวิธาน (แหล่งรวมพันธุ์พืชถิ่นใต้) 
4.สวนสัณฐานวิทยา (เรียนรู้ลักษณะต่างๆ ของพืช) 
5.สวนกล้วยไม้ 
6.สวนพืชทนแล้ง (แหล่งรวมพืชที่ปรับได้) 
7.สวนเฟิร์น 
8.พืชกินแมลง (ซึ่งพบมากบริเวณรอบนอกพื้นที่ป่าพรุ) 

ตลอดจนวงศ์ยาง และวงศ์ปาล์ม ทั้งปาล์มเจ้าเมือง ปาล์มหลังขาว ปาล์มพระราหู กระพ้อสี่สิบ และปาล์มช้างร้องไห้ เป็นต้น

ทั้งนี้ภายในสวนพฤกษศาสตร์ยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และห้องประชุมทางวิชาการ รวมทั้งพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม และค่ายพักแรม

ทั้งยังมีเส้นทางท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติให้เลือกหลากหลายเส้นทาง โดยเฉพาะ "เส้นทางสะพานศึกษาธรรมชาติเรือนยอดไม้" (Canopy Walkway) ซึ่งถือเป็นแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย

เส้นทางศึกษาธรรมชาติแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 มีความยาว 175 เมตร มีหอคอยเชื่อมต่อระหว่างสะพานแต่ละช่วง 7 หอ จากชั้นต่ำที่สุดไปจนถึงชั้นสูงที่สุดรวม 3 ระดับ และมีความสูงตั้งแต่ 10-18 เมตร

เส้นทางนี้สามารถมองเห็นป่าได้ในอีกมุมมองหนึ่ง คือ สังคมของพืชบริเวณเรือนยอดไม้ที่มีความสูงจากพื้นดินมาก โดยสีสันของพืชเรือนยอดไม้จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงหน้าแล้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ

บนเรือนยอดไม้สูงลิบ นักท่องเที่ยวยังจะได้ชมวิถีชีวิตของสัตว์ป่า เช่น นก กระรอก กระแต ฯลฯ ซึ่งจะกระโดดโลดเต้นให้เราได้เห็นอย่างติดขอบจอ

ธวัช ติงหงะ หัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) กล่าวว่า หลังจากเปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติเรือนยอดไม้ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง (อบจ.ตรัง) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตรัง ได้ร่วมกันทำประชาสัมพันธ์สวนพฤกษศาสตร์จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น

ส่วนแนวทางพัฒนาสวนพฤกษศาสตร์ได้มีการจัดหา "พันธุ์กล้วยไม้" มาเกาะไว้ตามต้นไม้ในระหว่างเส้นทางเดินเพื่อเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ไม้ ทั้งยังเพิ่มความสวยงามให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

กิจ หลีกภัย นายก อบจ.ตรัง กล่าวถึงแนวทางประชาสัมพันธ์ว่า พยายามชูดจุดขาย คือ สะพานเรือนยอดไม้ ซึ่งมีเป็นแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศเป็นฉากหลังของป้ายประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ของ อบจ.ตรัง จนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

เจดีย์ศรีพุทธคยา วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ นครสวรรค์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ จังหวัดนครสวรรค์

วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ วัดแรกและวัดเดียวในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ภายในวัดประกอบด้วยสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ศรีพุทธคยา สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ทรงเจดีย์ศรีพุทธคยาจำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยา รัฐพิหาร เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หนึ่งในสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย โดยย่อขนาดลงมามีความสูง 28 เมตร เสมือนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนในการก่อสร้าง

วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ เป็นพุทธสถานที่คณะศิษย์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ นำโดย พระเทพโมลี สร้างถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ในโอกาสที่อายุครบ 80 ปี เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2529 ชื่อ "วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์" นี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม ตั้งชื่อเพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สร้างเป็นรูปเรือหลวง มีความหมายถึงพาหนะที่จะช่วยขนสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฎ (ทะเลวน) ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ห้วงน้ำคือกิเลส โดยมีชื่อเรียกว่า "ราชญาณนาวาทีฆายุมงคล" เพราะสร้างขึ้นในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ 60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ต่อมากรมธนรักษ์ให้ใช้พื้นที่ 96 ไร่ 2 งาน 58 ตารางวา เพื่อสร้างวัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา และได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมาในปี 2548

เจดีย์ศรีพุทธคยา สร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเจดีย์ได้จำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยย่อขนาดลงมาเพื่อให้เหมาะสมกับสถานที่ มีความสูง 28 เมตร เสมอเหมือนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ได้มีการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์และทรงรับเป็นองค์ประธานงานสร้างเจดีย์ และเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์เป็นวัดในพระองค์

ความเชื่อและวิธีการบูชา เชื่อว่าหากได้มานมัสการเจดีย์ศรีพุทธคยาอันเป็นสังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักครั้งในชีวิต ย่อมให้อานิสงส์และมงคลชีวิตเช่นเดียวกับได้สักการะสังเวชนียสถานแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้ายังประเทศอินเดีย

เจดีย์ศรีพุทธคยา มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงกรวยยอดเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ ประดับลวดลายปูนปั้น ทางเข้าสู่เจดีย์จะเป็นโทรณะ หรือซุ้มประตูปราสาทพรสำหรับผู้ที่เข้าไปสักการะองค์เจดีย์ มีลักษณะเป็นเสาสลักลวดลายแบบอินเดีย เมื่อเข้าถึงเจดีย์จะผ่านประตูชั้นล่าง จะมีซุ้มพระพุทธรูปยืนศิลปะอินเดียทั้งสองข้าง มีหน้าบันใหญ่อยู่ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งและรอบๆ จะเป็นซุ้มพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ มีซุ้มพระพุทธรูปนั่งอยู่รอบฐานเจดีย์

ชั้นที่สอง มีลักษณะเป็นมุขเด็จทั้งซ้ายขวาในระดับนี้มีการตกแต่งแผงกลาง 4 ทิศ รายรอบด้วยมุมพระพุทธรูป ส่วนเหนือขึ้นไป ตรงกลางจะเป็นหน้าบันประดิษฐานพระพุทธรูปตามมุม แกะลวดลายปูนปั้นหน้ากาล เป็นเครื่องเตือนสติว่า ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะกาลเวลากลืนกินทุกอย่างแม้แต่ตัวเอง องค์พระเจดีย์แต่ละด้านประดับด้วยหน้าบัน ซุ้มพระ และหน้ากาลลดหลั่นกันไปถึงยอด

ภายในองค์เจดีย์จะมีทั้งสิ้น 4 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธเมตตาสันติภาพ เนื้อสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 89 นิ้ว สูง 4.19 เมตร ชั้นที่ 2 เป็นห้องที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์ ขนาดหน้าตัก 108 นิ้ว สูง 4 เมตร การตกแต่งด้านนอก ซึ่งในแต่ละชั้นจะตกแต่งประดับด้วยพระพุทธรูปปูนปั้นประดับซุ้มหน้ากาลโดยรูปพระสถูป 4 ปาง คือ ปางปฐมเทศนา ปางมารวิชัย ปางประทานพร และปางสมาธิ ที่งดงามตามแบบอย่างเจดีย์พุทธคยา ที่เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย จำนวน 284 องค์

บีฟอีตเตอร์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ KU-Beef

คนกินเนื้อส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง ที่เรารู้จักกันว่าสเต๊กเป็นเนื้อวัวนำมาย่าง หรือนาบกระทะร้อนๆ ทำเป็นอาหารฝรั่งจากเนื้อ ซึ่งมีหลากหลายเมนู ที่คนอังกฤษเรียกคนกินเนื้อว่า "บีฟอีตเตอร์" แต่คนไทยเรารู้จักกินเนื้อมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยคนจีนที่เดินทางเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารนำหมูมาเลี้ยงที่กรุงศรีอยุธยาแล้วก็ฆ่าหมูกิน ซึ่งคนไทยในสมัยนั้นไม่กินสัตว์ใหญ่ กินแต่ไก่และปลาเป็นพื้นวัว-ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่คนไทยจะไม่แตะต้อง เพราะเป็นสัตว์ที่นำมาใช้แรงงานในการทำมาหากิน ทำให้คนไทยโบราณได้โปรตีนจากปลาแต่อย่างเดียว จนมีคำกล่าวว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ไม่เอ่ยถึงสัตว์ประเภทอื่นแต่อย่างใด คนไทยเราก็เลยติดนิสัยไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ หันมากินหมูตามอย่างคนจีนมาโดยตลอด ไม่แตะต้องวัวหรือควาย

การทำนาปลูกข้าวในสมัยก่อน เราใช้ควายเป็นแรงงาน คนไทยจึงเห็นบุญคุณของควาย ไม่นิยมเอาเนื้อควายมากิน ส่วนวัวนั้น ชาวบ้านเลี้ยงกันแพร่หลาย ครอบครัวละหลายตัว เมื่อวัวที่เลี้ยงมีจำนวนมากขึ้น ก็มีคนหันมากินเนื้อวัวกันแพร่หลายยิ่งขึ้น แต่การกินเนื้อของคนไทยนั้น ไม่ได้กินเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ๆ แบบสเต๊ก แต่จะนำมาปรุงอาหารแบบไทยๆ คือ ต้ม ย่าง และทำลูกชิ้น

เนื้อที่ได้จากวัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นวัวแก่อายุมาก เนื้อวัวที่ขายอยู่ในท้องตลาดจึงเป็นเนื้อที่เหนียวมาก ถ้าจะนำมาทำสเต๊กก็เคี้ยวกันจนฟันปลอมหลุดถึงจะกลืนลงคอได้ ดังนั้น การแปรรูปเนื้อวัวของชาวบ้าน จึงเหมาะกับการทำให้เนื้อนั้นมีชิ้นเล็กๆ หรือนำมาย่างแล้วแล่เป็นชิ้นบางๆ หรือจะสับละเอียดทำลาบ ไม่ได้เอามากินแบบสเต๊กแต่อย่างใด เนื้อวัวชาวบ้านที่นำมาแปรรูปที่นิยมกันมากก็คือเนื้อเค็ม ซึ่งเป็นเมนูโปรดของคนไทยมาโดยตลอด

การบริโภคเนื้อวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงแบบสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน โดยให้สัตว์หากินตามธรรมชาติ เมื่อวัวโตขึ้นน้ำหนักของวัวจะมีไม่เกินตัวละ 200 กิโลกรัม เนื้อวัวที่เลี้ยงตามธรรมชาตินี้มีข้อดี คือไม่มีไขมัน มีแต่เนื้อแดงล้วนๆ แต่เป็นเนื้อที่เหนียวไม่เหมือนวัวที่เลี้ยงในฟาร์มใหญ่ๆ ซึ่งมีกรรมวิธีในการเลี้ยงให้ออกมาเป็นเนื้อวัวชั้นดีมีคุณภาพสูง

สำหรับเนื้อวัวที่มีคุณภาพสูง ได้มาจากการเลี้ยงวัวลูกผสมเลือดยุโรป ที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ วัวพันธุ์ซาร์โรเล่ส์ และพันธุ์บราห์มัน ที่เรารู้จักกันก็คือเนื้อโคขุน โพนยางคำ หรือเนื้อโค Thai-French ที่มาจากโคของสมาชิกสหกรณ์ การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป.กลาง โพนยางคำ จำกัด จ.สกลนคร และเนื้อโคขุนเคยู บีฟ (KU-Beef) ของสหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน จ.นครปฐม ยังมีเนื้อโคประเภทอื่นๆ อีก คือ เนื้อโคขุนคุณภาพปานกลาง เนื้อโคมัน เนื้อโคพื้นเมือง เนื้อโคแก่ และ เนื้อโคนมขุน (คำว่าโคเป็นภาษาราชการ ชาวบ้านจะเรียกวัว)

การเลี้ยงวัวของชาวบ้านเป็นการเลี้ยงตามธรรมชาติ ให้กินหญ้าแค่อย่างเดียว ปริมาณของเนื้อวัวธรรมชาติที่ออกวางขายในท้องตลาดจึงมีน้อย เพื่อที่จะให้การเลี้ยงวัวธรรมชาติเป็นการเสริมอาชีพอีกประเภทหนึ่ง ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เห็นว่าการเลี้ยงวัวธรรมชาติสามารถนำไปจำหน่ายในท้องตลาดได้ จึงให้ทุนสนับสนุนการวิจัยแก่ ศูนย์เครือข่ายการวิจัยเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยมี รศ.ดร.จุฑารัตน์ เศรษฐกุล เป็นหัวหน้าศูนย์ ทำการวิจัยให้ความรู้และสนับสนุนการเลี้ยงโคพื้นเมืองที่ชาวบ้านเลี้ยงตามธรรมชาติให้เลี้ยงอย่างถูกวิธี ได้มาตรฐาน ปลอดภัยทางโภชนาการ และเมื่อนำเนื้อออกจำหน่ายจะได้ราคาที่เป็นธรรม และมีเนื้อวัวขายในปริมาณคงที่อย่างยั่งยืน สามารถแข่งขันกับเนื้อที่มีคุณภาพได้

ปัจจุบันการเลี้ยงวัวตามธรรมชาติที่ จ.อุบลราชธานี มีชาวบ้านเลี้ยงวัวครอบครัวละ 30-50 ตัว เมื่อรวมกันทั้ง หมดจะมีวัวส่งไปจำหน่ายในตลาดได้ ประมาณ 1,000 ตัวเศษ เพียงพอต่อการขายในเชิงพาณิชย์

อาหารไทยจากเนื้อวัวไทยที่นิยมปรุงก็มี 4 ประเภท คือ

1. ประเภทแกง เช่น แกงมัสมั่น แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงป่า

2. ประเภทต้ม ตุ๋น ผัด เช่น เนื้อตุ๋น ผัดกะเพราเนื้อ เนื้อผัดพริกไทย

3. ประเภทยำ ลาบ เช่น ยำเนื้อย่าง ลาบเนื้อ

4. ประเภททอด อบ ย่าง เช่น เนื้อทอดกระเทียมพริกไทย เนื้อแดดเดียว

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์จากเนื้อวัวประเภทต่างๆ อีก เช่น แหนมเนื้อที่ใช้เอ็นวัวเป็นส่วนผสมหลัก มีรสชาติอร่อยไม่แพ้ แหนมที่ทำจากหมู ไส้กรอกเปรี้ยว หรือไส้กรอกอีสาน ปกติผลิตมาจากเนื้อหมูติดมันหมักรวมกับส่วนผสม เพื่อให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตสร้างกรด จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเปรี้ยวตามชอบ แต่การทำไส้กรอกเปรี้ยวจากเนื้อวัวนั้น ทำจากเศษเนื้อติดไขมันผสมกับไขมันในอัตราส่วน 8 ต่อ 1 เนื้อวัวพื้นเมืองที่ใช้จะเป็นเนื้อที่ติดเอ็นและมันบ้าง เช่น เนื้อสีข้าง หรือเนื้อเสือร้องไห้ และยังมีไส้กรอกฝรั่งหลายแบบ เช่น แฟรงค์เฟอร์เตอร์ โบโลญ่า และบีฟโลฟ

บรรดา "บีฟอีตเตอร์" ที่สนใจจะลองลิ้มรสชาติสารพัดผลิตภัณฑ์จากเนื้อวัวไทยที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ก็สามารถซื้อมาชิมกันได้ตามอัธยาศัย

สำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถซื้อหาได้ที่ร้านภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเข้าทางประตู 2 ด้านงามวงศ์วาน เลี้ยวซ้ายจะพบร้านขายพรรณไม้และพืชผักของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่โรงอาหารของคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือจะสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์เครือข่ายเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ โทร. 0-2326-4127 ตามวันและเวลาราชการ

เพลงพรปีใหม่ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เพลงพรปีใหม่

วันปีใหม่ไทยนั้นเราถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ เปลี่ยนศักราชมาเป็นเวลานานนับร้อยปี จนถึงปี 2483 จอมพล ป.พิบูลสงคราม สั่งให้ใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันปีใหม่ตามสากล ทำให้ปี 2483 มีเพียง 9 เดือน

นอกจากนี้ เพลงเถลิงศกที่ ท่านขุนวิจิตรมาตรา แต่งเนื้อร้องวันปีใหม่ 1 เมษายนจึงใช้ไม่ได้ เพราะเนื้อร้องไม่รับกัน โดยเพลงเดิมมีว่า "วันที่ 1 เมษายน วันตั้งต้นปีใหม่" พอเป็นมกราคมก็จะสะดุดไม่รับกับ "ตั้งต้นปีใหม่" พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคม วันประถมปีใหม่" เพื่อ ให้รับกับมกราคมด้วยประการฉะนี้

เพลงพรปีใหม่
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
พระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ.2495
คำร้อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์

สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรอันปราณี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ทุกวัน ทุกคืน ชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ