คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ตั้งเด่นเป็นสง่ามา 150 ปี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คริสตจักรที่ 1 สำเหร่

คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ เป็นคริสตจักรแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่เจริญนคร ซอย 59 เยื้องกับโรงพักสำเหร่ ที่สร้างมา 150 ปี ถือว่าเป็นเวลาที่เนิ่นนานจนถือเป็นโบราณสถาน แต่ถ้าเป็นการเผยแผ่คำสอนแห่งศาสนา ให้เป็นที่ยอมรับของคนที่นับถือศาสนาต่างกันไม่ถือว่านานเกินรอ โดยเฉพาะการเข้ามาแห่งคริสต์ศาสนาสู่ราชอาณาจักรสยามที่ใช้สันติวิธี ผ่านการศึกษาและอารยธรรมที่แตกต่าง

ที่หน้าบันโบสถ์มีจารึกตัวเลขอาระบิกว่า 1860 และ 1910 สถาปัตยกรรมของโบสถ์ หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าวสีแดง หันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่สร้างสิ่งประดับใดให้ลานตา ไม่ว่าภายนอกและภายใน เน้นความเรียบง่าย ห้องโถงในโบสถ์กว้างและลึก ที่กำแพงด้านหน้าของโบสถ์มีแผ่นศิลาจารึก บอกเล่าอดีตว่าสร้างและซ่อมแซมเมื่อไหร่ ใครบริจาคบ้าง 

ข้อความในจารึกว่า "เดิมวิหารนี้พวกครูอเมริกันคือ Rev. S.Mattoon, Rev.J Wilson Rev. S.R. House MD ช่วยกันสร้างขึ้น แต่ ณ ปีคริสต์ศักราช 1861 ถึงปีคริสต์ศักราช 1910 วิหารชำรุดลง จึงพวกศิษย์คริสเตียนสยามได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพิ่มให้ยาวกว่าเดิม 6 ศอกเศษ

วิหารสถานก่อสร้าง สืบบรรพ์ ห้าสิบฉนำนานครัน ครบถ้วน เครื่องล่างเครื่องบลอัน ออกโซมพ่อ บ่อซ่อมจะเสียถ้วน เล่ห์ให้เลือกก่อน จึงอาทรทั่วซ้องศรัทธา พวกคริสต์ศาสนานับพร้อม สละทรัพย์ออกบูชา ฉลองพระคริสต์แฮ ปฏิสังขรณ์น้อม แน่ สร้างกุศล รายชื่อผู้บริจาคมีหลายราย เช่น Wang Sung School (ตัวอักษรเลือนบางตัว) พูลศรี นายยอด คริสต์สัมพันธวงศ์ นายจิ้น แม่นาค แม่เหนียว แม่เนียน แม่เพียร แม่ทองอยู่ แม่ยี่สุ่น แม่หรุ่น แม่มาลี ครูจ้อย นายกิมเฉี่ยว เปลี่ยน แปลก เป็นต้น ส่วนจำนวนเงินที่บริจาคสูงสุด 1,005 ต่ำสุดคือ 10 (น่าจะเป็นเงินบาท)" แต่เดิมโบสถ์เตี้ย เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม จึงยกพื้นสูงขึ้นกว่าเดิม 2.6 เมตร ส่วนบริเวณที่เคยเป็นลานเตียนโล่งนั้น บัดนี้กำลังถูกถมดินให้สูงขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2 เมตร ซึ่งเมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ โบสถ์แห่งนี้จะดูโดดเด่นเป็นสง่ายิ่งขึ้น ส่วนที่หอระฆังมีตัวเลขจารึกว่า 1912 ตัวเลขดังกล่าวบอกปีที่สร้างและบูรณะ

ประวัติการได้ที่ดินจนกระทั่งสามารถสร้างโบสถ์ได้นั้น ในการฉลองคริสตจักรสำเหร่ 150 ปี คริสตจักรพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง นำเรื่องการได้ที่ดินมาพิมพ์ในหน้า 20-21 ว่า หลังจากตั้งโรงเรียนขึ้นในสถานที่ที่ในหลวงพระราชทานให้ โรงเรียนเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่อาจขยายให้พอเพียงกับความเจริญได้ เหตุนี้ มร.ดี โอ คิง จึงให้ของขวัญปีใหม่เป็นที่ดินแปลงหนึ่ง ทางตอนใต้ของฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ ต.สำเหร่ ได้ปลูกสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นภายหลัง ในเดือน พ.ย. 1857 (พ.ศ. 2400) ได้ย้ายที่ทำการมิชชันนารีไปอยู่ที่ใหม่ ในสถานที่ใหม่นี้กิจการสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ได้เกิดขึ้นมาก และกิจการต่างๆ ของคริสเตียนได้ขยายติดต่อมาจนทุกวันนี้

หมอสมิธกล่าวถึงการได้ที่ดินผืนนี้ไว้ในหนังสือ The Golden Days in Bangkok ว่า มีพ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง นายคิง (Mr. D.O King) ทำการค้าขายที่เมืองกวางตุ้ง ได้เดินทางมาเมืองไทยและต้องการซื้อที่ดินเพื่อขยายกิจการของเขาในกรุงเทพฯ แต่เขายังไม่มีสิทธิซื้อเพราะอยู่เมืองไทยยังไม่ครบ 10 ปี นายคิงจึงขอให้หมอแมตตูน (หมอมะตูน) เป็นผู้ซื้อที่ดินให้แก่ตน (หมอมะตูนอยู่ในสยามเกิน 10 ปีแล้วในขณะนั้น) โดยสัญญาว่าจะแบ่งที่ดินให้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่ทำการของคณะมิชชันนารี แต่น่าเสียดายการค้าของนายคิงล้มเหลว ภาระในการซื้อขายที่ดินจึงเป็นของหมอมะตูน ต่อมาที่ดินนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคณะมิชชันนารี ส่วนราคาที่ดินนั้น หมอสมิธ ซึ่งซื้อที่อีกแปลงหนึ่ง (น่าจะใกล้ๆ กัน) บอกว่าราคาน่าจะอยู่ที่ตารางวาละ 3 สลึง

หนังสือ 150 ปี คบเพลิง บีซีซี กล่าวว่า ที่ดินที่เป็นที่ตั้งคริสตจักรสำเหร่เคยเป็นที่ตั้งโรงเรียน Samray Boys' School นั้น แท้จริงไม่มีใครกล้ามาอยู่ เพราะเป็นแดนประหาร จึงซื้อได้ในราคาตารางวาละ 3 สลึง มีเรื่องการประหารเจ้าอนุเวียงจันทน์และขุนนางผู้หนึ่งที่ไปติดต่อกับฝ่ายใน ลูกขุนตัดสินให้ประหารชีวิต ณ บริเวณนี้ ในหนังสือ 150 ปี คบเพลิง บีซีซี กล่าวว่า ในปี 1853/2396 เกิดผู้นำคนสำคัญของคนไทย ในปีเดียวกันนี้ครอบครัวหมอมะตูนรับเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ เป็นลูกของพราหมณ์ ชื่อจันทะ เป็นเด็กขี้โรคมาเลี้ยงไว้ ในปี 1857/2400 ครอบครัวมะตูนนำเด็กคนนี้ที่เปลี่ยนชื่อเป็นเอสเตอร์กลับไปสหรัฐ ได้รับการศึกษาเป็นพยาบาล เดินทางกลับสยามในปี 1861/2404 ขณะเดินทางกลับและอยู่บนเรือได้รับพระเยซูคริสต์

เอสเตอร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หมอเต๋อ มีความรู้ความสามารถในฐานะนางผดุงครรภ์สมัยใหม่ ได้รับความไว้วางใจให้ถวายการประสูติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ส่วนหมอเฮาส์ ซึ่งอยู่คณะเดียวกับหมอมะตูน ได้รับเด็กชายชื่อแน ที่ป่วยหนักมาเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาได้แต่งงานกับนางเอสเตอร์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองคนแรกของคริสตจักรสำเหร่ มีหมอมะตูนเป็นศิษยาภิบาลคนแรก จนกระทั่งหมอมะตูนกลับมาตุภูมิ 1865/2408 เนื่องจากสุขภาพทรุดโทรม

หมอมะตูน Rev. S.Mattoon ที่คนไทยเรียกชื่อว่าหมอมะตูน มีความสำคัญมาก หนังสือ 150 ปี คบเพลิง บีซีซี กล่าวว่า ท่านเป็นผู้ซื้อที่ดินสำเหร่ เป็นผู้ช่วยทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับทูตอเมริกัน ต่อมาได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลสหรัฐให้เป็นกงสุลอเมริกันคนแรกประจำประเทศสยาม และภรรยาหมอมะตูนเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนขึ้นในปี 1852/2395 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

ตัวหมอมะตูนเองเรียนภาษาไทยและสามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว จึงออกแจกใบปลิวไปจังหวัดต่างๆ เช่น พิษณุโลก อยุธยา พระบาท (สระบุรี) ฉะเชิงเทรา และบางกอก จำนวน 534,500 แผ่น ใบปลิวเหล่านี้พิมพ์จากโรงพิมพ์หมอบรัดเลย์และหมอสมิธ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ซึ่งต่างกับเหตุการณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ที่คณะมิชชันนารีประสบปัญหาต่างๆ มากมาย จนกระทั่งขอกลับหรือย้ายไปทำงานที่อื่น เช่น บอร์เนียว เป็นต้น แต่เมื่อรัชกาลที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์เหตุการณ์ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป เพราะพระองค์ทรงคุ้นเคยกับมิชชันนารีหลายคน บางคนเป็นครูถวายพระอักษรภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะหมอบรัดเลย์ทรงสนิทสนมมากจนกระทั่งทรงเรียกว่าเป็นพระสหาย

สำหรับหมอมะตูนนั้น ได้รับการโปรดปรานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เช่นกัน เมื่อทำหน้าที่กงสุลอเมริกันประจำประเทศสยาม ก่อนที่หมอมะตูนจะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา หลังจากทำงานในสยามมา 12 ปี ท่านได้รับของขวัญเป็นเครื่องเงินชุดน้ำชามีมูลค่า 500 เหรียญสหรัฐ จากชาวอเมริกันในสยาม ในช่วงหลังท่านเดินทางกลับมาเมืองสยามอีก โดยอยู่อีก 6 ปี จึงเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา

หมอเฮาส์ Rev. S.R. House MD หรือที่คนไทยเรียกว่าหมอเหา อยู่ในคณะเพรสไบตีเรียน เช่นเดียวกับหมอมะตูน เดินทางมาสยามพร้อมกันเมื่อปี 1847/2390 ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) หนังสือ 150 ปี คบเพลิง บีซีซี ยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาแผนใหม่ ทั้งๆ ที่คุณสมบัติทางการศึกษานั้นจบศัลยแพทย์ เมื่อมาปฏิบัติงานในเมืองสยามจึงกลายเป็นศัลยแพทย์คนแรกของประเทศนี้

เมื่อปฏิบัติงานได้ระยะหนึ่ง ซึ่งมีความสะดวกหลายประการในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 บิดาท่านให้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน แต่ไม่มีเงินต้องหยิบยืมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเงิน 1,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้เป็นค่าเดินทาง ขณะอยู่ที่อเมริกาพบและแต่งงานกับแหม่มแฮร์เรียต แหม่มคนนี้เป็นครู เมื่อมาถึงเมืองไทยจึงเปิดโรงเรียนสอนนักเรียนหญิง คือโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ต่อมาคือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยนั่นเอง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) มีปฏิสันถารกับหมอเฮาส์เมื่อกลับมาถึงสยาม ตอนหนึ่งพระองค์ตรัสถามว่า ไหนว่าจะไม่แต่งงาน คราวนี้ทำไมเอาเมียมาด้วย หมอเฮาส์ตอบว่าเกล้ากระหม่อมเพิ่งฉลาด ส่วนเงินที่หมอเฮาส์ยืมไป 1,000 เหรียญสหรัฐ พระองค์ทรงรับคืนโดยไม่คิดดอกเบี้ย ยังทรงพระกรุณาให้หมอเฮาส์กับภรรยาสร้างบ้านพักในบริเวณพระบรมมหาราชวังด้วย

หมอเฮาส์ใช้เวลาในสยาม 29 ปี ส่วนภรรยา 20 ปี ซึ่งมีทุกข์และลำบากมากกว่าความสบาย หากแต่ท่านอดทนเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้สร้างผลงานด้านการศึกษาสมัยใหม่ให้แก่สยามตราบเท่าทุกวันนี้

การมาประกาศศาสนาพระเยซูคริสต์ของคณะโปรเตสแตนต์ในประเทศสยามเริ่มปี 1824/2367 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ผ่านมา 36 ปี จึงมีที่ดินสร้างโบสถ์หรือคริสตจักรสำเหร่ที่ 1 ส่วนการสร้างโรงเรียนสำหรับกุลบุตร-ธิดาในสยามนั้น เมื่อผ่านมาได้ 28 ปี เริ่มปี 1852/2395 หรือ 13 ก.ย. 2395 อันเป็นวันเกิดของบีซีซี ซึ่งเป็นวันที่แหม่มมะตูนเปิดโรงเรียนสอนนักเรียนแห่งแรกที่หมู่บ้านมอญ และ 30 ก.ย. ปีเดียวกัน หมอเหาเปิดโรงเรียนประจำชายข้างวัดแจ้ง มีนักเรียน 27 คน

ทั้งหมดนี้เป็นคุณูปการเพียงส่วนหนึ่งคณะมิชชันนารีคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ในยุคต้นแห่งรัตนโกสินทร์ โดยมีโบสถ์คริสตจักรสำเหร่ที่ 1 เป็นสัญลักษณ์

วัฒนธรรมการกินอาหาร ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหารคริสต์มาส

ปลายเดือนธันวาคมอย่างนี้ ทำให้นึกถึงว่า "ปีเก่า" กำลังจะผ่านพ้นไป "ปีใหม่" กำลังจะเข้ามา เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคริสต์ศาสนิกชน ที่จะฉลองเทศกาลคริสต์มาสกันอย่างยิ่งใหญ่ เพราะเป็นเทศกาลสำคัญประจำปี

วัฒนธรรมการกินอาหารในเทศกาลคริสต์มาสของชาวอังกฤษ และประเทศอื่นในทวีปยุโรป จะมีการฉลองมื้อใหญ่ ที่เรียกว่า "คริสต์มาสดินเนอร์" ร่วมกันทั้งครอบครัว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันก่อนคริสต์มาส (คริสต์มาสอีฟ) หรือในวันคริสต์มาสเลยก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละครอบครัว

โดยมากแล้วเท่าที่เห็นมา ชาวอังกฤษมักรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้ในวันที่ 24 ธันวาคม จะเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่เที่ยง หรือบ่ายโมงเป็นต้นไป เพราะเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะมาร่วมสังสรรค์กัน

อาหารในเทศกาลคริสต์มาส สำหรับชาวอังกฤษ มักต้องมี "ไก่งวง" ถ้าบ้านไหนไม่กินไก่งวงก็จะใช้ "ห่าน" แทน โดยจะมีเครื่องสำหรับยัดไส้ไก่งวง หรือห่านอบ ที่มักทำด้วยขนมปังเก่า หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หอมหัวใหญ่ แครอท เซเลอรี่สับผัดกับเนยแล้วใส่ไข่ ใส่นม นิยมใส่ลูกเกาลัดบดและเบคอน เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น นำส่วนผสมเหล่านี้คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วยัดเข้าไปในตัวไก่งวง หรือห่านอบด้วยความร้อนไม่สูงมาก ใช้เวลาอบค่อนข้างนาน

ไก่งวง หรือห่านอบนี้ ต้องเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง เช่น มันอบกรอบนอกนุ่มใน ไส้กรอกพันด้วยเบคอน ผักที่เรียกว่า Brussels Sprout ลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีหัวเล็กๆ ซึ่งในฤดูหนาวจะมีผัก ชนิดนี้ขายสดๆ นำมาต้มแล้วเสิร์ฟกับเนย นอกจากนี้ก็มีผักประเภทหัว เช่น หัวไช้เท้า

จะตักเอาเครื่องที่ยัดไส้ไก่งวง หรือห่านอบไว้ออกมา หรือบางบ้านอาจจะทำเครื่องยัดไส้นี้แยกไว้ต่างหาก ใส่ถาดไว้เสิร์ฟกับเครื่องเคียง ราดน้ำเกรวี่ชุ่มๆ และมีแครนเบอร์รี่ซอสสำหรับกินกับไก่งวงด้วย ซึ่งไก่งวงนี้ ถ้าฝีมือการอบยังไม่ดีพอ เนื้อตรงส่วนอกไก่งวงจะแห้ง แต่ส่วนขาไก่งวงจะยังมีความชุ่มชื้นอยู่

เมื่อถึงเวลารับประทาน ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของบ้าน จะเป็นผู้หั่นไก่งวงแบ่งให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว แล้วจะใช้เวลารับประทานกันนานมาก มีการดื่มเครื่องดื่มต่างๆ เช่น เหล้า ไวน์ แชมเปญไปด้วย

ส่วนของหวาน ที่อังกฤษมีขนมที่เรียกว่า "คริสต์มาสพุดดิ้ง" ลักษณะ คล้ายฟรุตเค้ก แต่แตกต่างกันที่ ฟรุตเค้กใช้วิธีการอบ ส่วนคริสต์มาสพุดดิ้งใช้วิธีการนึ่ง โดยทำพุดดิ้งใส่ไว้ในโถ นึ่งจนสุกเนื้อนุ่มและร้อนมาก

เมื่อถึงเวลาเสิร์ฟ จะราดบรั่นดีลงไป แล้วจุดไฟให้ลุกพรึ่บขึ้นมา ทำให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น และดูน่ากินขึ้นด้วย การเสิร์ฟ จะใช้ช้อนตักให้คนละชิ้น เสิร์ฟกับบรั่นดี บัตเตอร์ หรือบรั่นดีซอส

บรั่นดีบัตเตอร์นั้น มีวิธีทำคือ เอาเนยมาทำให้อ่อนตัวแล้วตีกับน้ำตาล ใส่บรั่นดีผสมลงไปให้เข้ากัน ส่วนบรั่นดีซอส ทำซอสครีมก่อน โดยนำไข่แดงมาตีกับน้ำตาลให้ขาว แล้วเอานมที่ต้มแล้วค่อยๆ เทลงไป นำไปตั้งไฟอุ่นๆ จนข้น กรองแล้วใส่บรั่นดีลงไป สำหรับนำไปราดคริสต์มาสพุดดิ้ง

รับประทานอาหารมื้อใหญ่กันในวันคริสต์มาสอีฟแล้ว เมื่อถึงวันคริสต์มาสเขาก็จะไม่ทำอาหารอีก จะกินของที่เหลือจากวันคริสต์มาสอีฟ เพราะถือว่าวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดพักผ่อน

ส่วนการฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่อังกฤษ จะเป็นการสังสรรค์กันคล้ายๆ ค็อกเทลปาร์ตี้ มีอาหาร มีเครื่องดื่ม แต่ไม่ได้นั่งโต๊ะอาหารกันเป็นกิจจะลักษณะ อาหารที่รับประทานก็ไม่ใช่พวกสัตว์ปีกอย่างไก่งวง หรือห่านที่นำมาอบ แต่จะเป็นเนื้อสันในอบ หมูอบ แกะอบ

ทางฝั่งอเมริกา เกือบหนึ่งเดือนก่อนถึงวันคริสต์มาส จะมีการฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้า (Thanks-giving) แล้ว ซึ่งเขาก็กินไก่งวงกันในเทศกาลนั้นมาแล้ว บางบ้านที่อเมริกาไม่กินไก่งวง ก็จะกินแฮม ห่าน แกะ หรือเนื้อวัวแทน การกินไก่งวงที่อเมริกาเสิร์ฟคล้ายๆ กับที่อังกฤษ เป็นไก่งวงอบที่มีเครื่องยัดไส้เหมือนกัน แต่ที่อเมริกามีข้าวโพด ผลไม้แห้ง ลูกเกด หอยนางรม กุ้ง บางครั้งทำเครื่องยัดไส้แยกไว้ต่างหาก โดยไม่ใส่เข้าไปอบพร้อมไก่งวง เพราะเครื่องยัดไส้ต่างๆ นี้จะดูดความชุ่มชื้นของเนื้อไก่ออกมา ทำให้เนื้อไก่แห้ง กระด้าง ไม่อร่อย

อาหารที่เสิร์ฟกับเนื้อสัตว์ ไม่มีมันอบ แต่ทำเป็นมันบด ที่เรียกว่า mashed potatoes มีผล acorn squash คล้ายๆ ฟักทอง แต่เนื้อแข็งกว่า และหวานน้อยกว่าฟักทอง มีมันเทศที่เชื่อมแล้วเอาไปอบ เรียกว่า candied yam มีถั่วแขก มีสควอช (Squash ที่คล้ายซูกินี) และมีข้าวโพดด้วย เพราะอเมริกามีข้าวโพดมาก ผักที่เสิร์ฟจึงไม่เหมือนที่อังกฤษ

ของหวานสำหรับคริสต์มาสที่อเมริกา ไม่มีคริสต์มาสพุดดิ้ง แต่จะมีพายแทน เช่น พายฟักทอง พายถั่วพีคาน แอปเปิ้ล พาย กูสเบอร์รี่พาย บางทีก็มี ฟรุตเค้ก แครอทเค้ก มีเค้กที่เรียกว่า บุช เดอ โนเวล แปลว่า ท่อนไม้ของคริสต์มาส ทำจากสปันจ์เค้ก มีไส้เป็นช็อกโกแลต โรยน้ำตาลไอซิ่งด้านบน

เทศกาลคริสต์มาส เป็นเทศกาลที่ครอบครัวคริสต์ศาสนิกชน จะมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มาสังสรรค์กัน ส่วนการฉลองปีใหม่ที่อเมริกา อาหารมื้อพิเศษในวันส่งท้ายปีเก่า ถ้าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีจะมีพวกสัตว์ปีกอย่างไก่งวงอบ แต่สมัยนี้หลายครอบครัวนิยมกินเนื้อวัว เนื้อหมู และบางครั้งมี เนื้อกวางเวนิสัน (Venison) ด้วย

ส่วนที่ออสเตรเลีย คริสต์มาสอยู่ในช่วงฤดูร้อน เนื้อทุกอย่าง เช่น แฮม ไก่งวง และไก่ จะเสิร์ฟแบบเย็น จะนิยมไปจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันที่ชายทะเลมากกว่า อาหารที่นำมาปิ้งย่าง มีกุ้ง เนื้อสเต๊ก อกไก่ น่องไก่ ปีกไก่ ส่วน ของหวาน นอกจากผลไม้สดตามฤดูกาล อย่าง มะม่วง เชอร์รี่แล้ว ชาวออสเตรเลียนนิยมรับประทานขนมชื่อ Pavlova เป็น เมอแรงก์อบแต่ง หน้าด้วยวิปครีมและผลไม้สด และ Panettone ของหวานแบบของชาวออสเตรเลียเชื้อสายอิตาลี

ในโอกาสนี้ก็ขอกล่าวคำว่า "สวัสดี ปีใหม่" มายังผู้อ่านทุกท่านด้วย

ขอให้มีความสุขกายสุขใจ ไม่ เจ็บไม่จน ตลอดปี และตลอดไป

21 ธันวาคม 1913 กำเนิดเกมปริศนาอักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์



Crossword ครอสเวิร์ด หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยว่า "ปริศนาอักษรไขว้" เป็นหนึ่งในเกมส์สุดคลาสสิค ที่ไม่เพียงให้ความสนุก แต่ยังช่วยฝึกภาษาในการฝึกการใช้คำศัพท์ ที่หลายๆ คนต้องเคยเล่นผ่านกันมาบ้าง วันนี้มารู้จักรอสเวิร์ด กระดานแรกกันบ้าง

ผู้ที่ริเริ่มคือ อาร์เธอร์ วินน์ (Arthur Wynne) ที่มีอาชีพเป็นนักออกแบบเกมส์ปริศนา ในหนังสือพิมพ์ไทม์ ในการคิดค้นครั้งแรกเขาให้ชื่อเกมส์นี้ว่า Word-cross ได้ถูกตีพิมพ์ลงบนกระดาษเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ New York World  เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 1913 ซึ่งต่อมาก็ได้ออกฉบับรวมเล่ม ทำให้เกมปริศนาอักษรไขว้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก

ไปเมืองเณรน้อยเจ้าปัญญา "อิกคิวซัง" ที่เกียวโต

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Kiyomizu

เกียวโต เป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นมา 1,000 กว่าปี เป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีประชากรประมาณ 1,400,000 คน นอกจากเป็นเมืองเก่าแก่แล้ว เขายังคงรักษาเอกลักษณ์และศิลปวัฒนธรรมโบราณ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์และสถานที่เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเกียวโตอยู่เสมอ

การเดินทางไปเกียวโตครั้งนี้ ก็เพื่อชมความงดงามของวัดคิงกะกุ หรือวัดโระคุองจิ แต่คนที่ไปเที่ยวมักจะเรียกวัดนี้ว่า วัดทอง ที่มีศาลาทองเป็นจุดเด่นของวัด ตั้งอยู่กลางสระน้ำกว้างใหญ่ เมื่อมองไปจะเห็นเงาสะท้อนของน้ำ เห็นภาพวัดทองเหลืองอร่ามตัดกับต้นไม้สีเขียวสวยงามจับตา

วัดนี้เคยเป็นที่อยู่ของเณรน้อยเจ้าปัญญา "อิกคิวซัง" ที่เรารู้จักกันดีในโทรทัศน์ ในอดีตวัดนี้ถูกเผาแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่หมดทั้งหลัง สวยงามเหลืองอร่ามเพราะเอาทองคำมาปิดไว้ทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณและของมีค่าอื่นๆ หลังวัดเป็นเนินเขาตกแต่งบริเวณด้วยสวนหิน ลำธาร และต้นไม้ตามสไตล์ญี่ปุ่น นึกดูก็แล้วกันว่าการเดินขึ้น-ลงเนินเขาจะเมื่อยขาขนาดไหน

เท่านั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นพวกเราต้องตะกายพาสังขารเดินขึ้นเขาสูงชัน เพื่อไปวัดที่มีอายุเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง คือ วัดคิโยมิซึ (Kiyomizu) วัดนี้มีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา และระเบียงใหญ่ยื่นชะโงกเหนือหุบเหวมองเห็นแต่ไกล เมื่อขึ้นมายืนบนระเบียงสามารถมองเห็นวิวของเกียวโตได้รอบด้าน ใครมาเกียวโตแล้วไม่ได้มาวัดแห่งนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเกียวโต แต่ที่พวกเราชอบมากที่สุดและทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง คือ การได้ช็อปปิ้งของที่ระลึกสองข้างทางระหว่างเดินลงจากเขา มีสารพัดของที่น่าสนใจ เช่น ชุดกิโมโน ร่มคันเล็กๆ พวงกุญแจ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของกินเล่น และที่ขาดไม่ได้ คือ ขนมแป้งห่อถั่วและถั่วห่อแป้ง (ขนมโมจิ) สัญลักษณ์ของญี่ปุ่น ที่มีรสชาติแตกต่างกันไป พร้อมทั้งหีบห่อที่วิลิศมาหรา ทำให้ขนมมีราคาแพงตามกระดาษที่ห่อ

ก่อนกลับเราได้ไปดู หมู่บ้านซามูไร (SAMURAI VILLAGE KYOTO STUDIO PARK) เป็นสตูดิโอสำหรับถ่ายหนังเกี่ยวกับซามูไร-นินจา ภายในจำลองหมู่บ้านซามูไรไว้เหมือนของจริง มีทั้งบ้านเก่า ร้านค้า สะพาน ทางเดินที่เลียนแบบโบราณ เดินไปเดินมาก็ไปจ๊ะเอ๋กับนินจา-ซามูไร แต่งตัวเต็มยศถือดาบซามูไรคม กริบทำท่าจะมาฟันเรา ทำให้ตกใจได้เหมือนกัน แต่สำหรับสาวๆ ในชุดกิโมโนที่เดินไปมา เพื่อให้เราถ่ายรูป ทำให้นึกว่ากำลังเดินอยู่ในสมัยเอโดะยังไงยังงั้นเลย เรายังได้ชมการแสดงของนินจาฮาโตริด้วย สนุกมาก

ค่ายทหารฝรั่งเศส ที่จันทบุรี เมื่อ รศ.112 (พ.ศ.2436)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ค่ายทหารฝรั่งเศส

ไปจันทบุรีมาเมื่อเดือนก่อน เพื่อไปเยี่ยมชมค่ายทหารฝรั่งเศส เมื่อสมัยมายึดครองจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ.2436 ซึ่งตรงกับสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)

ในครั้งกระนั้นเป็นยุคการล่าอาณานิคมหรือล่าเมืองขึ้น ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดอินโดจีน คือ ญวน เขมร และลาว จากนั้นก็จะเข้ามารุกรานประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยเข้ามายึดเมืองขวางซึ่งเป็นดินแดนของไทย แต่พระยอด เจ้าเมืองขวาง ไม่ยอมและได้ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยการสู้รบกับทหารฝรั่งเศส ทำให้ทหารฝรั่งเศสบาดเจ็บล้มตาย

ด้วยเหตุนี้ฝรั่งเศสจึงใช้กรณีพิพาทกับพระยอด เมืองขวาง มารุกรานไทยด้วยการนำเรือรบ 3 ลำ เข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาเพื่อปิดอ่าว เมื่อเรือรบทั้ง 3 ลำมาถึงป้อมผีเสื้อสมุทร (จ.สมุทรปราการ) ทหารไทยจึงยิง ทำให้เรือรบฝรั่งเศสเสียหาย

ฝรั่งเศสจึงถือโอกาสนี้เรียกร้องค่า เสียหายจากเรา โดยเราต้องยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศสเป็นค่าทดแทนปฏิกรณ์สงคราม และถือโอกาสเข้ายึดครองจันทบุรีด้วย ในระหว่างการเจรจาเรียกค่าทดแทน ฝรั่งเศสก็ได้ตั้งค่ายที่จันทบุรีโดยปลูกสร้างอาคาร โรงเรือน ที่พัก คลังอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

การเจรจาก็ดำเนินไป แต่ฝรั่งเศสไม่ พอใจได้ไปยึดเมืองตราดอีก ทำให้เราต้องยอมยกดินแดนเกาะกงและบางส่วนในเขมรให้ฝรั่งเศสเพิ่มอีกนั่นแหละ การเจรจาจึงสงบลงได้ด้วยพระราชวิเทโศบายของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้ ตรงกับโวหารของไทยว่า "เสียน้อยดีกว่าเสียมาก"

เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดของคนไทยตราบจนทุกวันนี้ แม้คนไทยในสมัยนั้นที่กระด้างกระเดื่องกับทหารฝรั่งเศส ยังถูกจับไปขังคุกขี้ไก่ ที่ตั้งอยู่ที่ อ.แหลมสิงห์ เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของทหารฝรั่งเศส ที่มีต่อคนไทยเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ใครที่ได้ไปดูคุกขี้ไก่ ยังเศร้าใจแค้นใจไม่หาย ที่ทหารฝรั่งเศส ทรมานคนไทยด้วยการขังไว้ด้านล่าง ส่วนด้านบนเลี้ยงไก่ เวลามันขี้ลงมาก็ต้องคอยหลบ ไหนจะเหม็นขี้ไก่ ไหนต้องหลบไม่ให้โดนหัว ไหนจะสกปรกโสโครก สาหัสเหลือเกิน

ค่ายทหารฝรั่งเศสแห่งนี้ ต่อมาตำรวจตระเวนชายแดนได้เคยเข้ามาใช้อยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งหน่วยนาวิกโยธิน มาตั้งกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด จึงใช้ค่ายแห่งนี้เป็นที่ตั้งและได้ก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ยังคงสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ของฝรั่งเศสเอาไว้ครบทุกหลัง แต่ละหลังได้ก่อสร้างตามแบบ สถาปัตยกรรมของยุโรป คือ ก่ออิฐฉาบปูนเรียบ ตัวอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีลวดลาย มีช่องระบายลม บางอาคารยกพื้นสูง บางอาคารมีห้องใต้ดิน สันนิษฐานว่าเป็นห้องใช้เก็บไวน์ แต่เดิมมีอาคารต่างๆ ดังนี้

- อาคารกองบัญชาการทหารฝรั่งเศส
- อาคารคลังพัสดุ
- อาคารที่พักทหารรักษาการณ์
- อาคารที่คุมขังทหารฝรั่งเศส
- อาคารคลังกระสุนดินดำ
- อาคารกองรักษาการณ์

อาคารที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งหมด ได้รับการดูแลตามแบบทหาร บางอาคารก็ชำรุดเสียหายไปบ้างตามสภาพ แต่ขณะนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริ ให้รักษาร่องรอยประวัติศาสตร์เอาไว้ให้หมดอย่างสมบูรณ์ โดยให้กรมศิลปากรเข้ามาบูรณะซ่อมแซมให้เหมือนเดิม เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน

จึงได้ติดต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี คุณพูลศักดิ์ ประณุทนรพาล เพื่อนำเรื่องราวของค่ายทหารฝรั่งเศสแห่งนี้ มาให้ได้รู้จักกัน เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อกรมศิลปากรบูรณะสิ่งก่อสร้างฝรั่งเศสทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว จ.จันทบุรีก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 แห่ง รับรองว่าจะเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ผู้ที่สนใจ ทั้งชาวฝรั่งเศสและคนไทยได้เป็นอย่างดี

แหวนแต่งงาน....สัญลักษณ์แห่งรักอมตะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Vein of Love

คราวนี้เราจะมากล่าวถึงเครื่องประดับชิ้นสำคัญในพิธีแต่งงาน ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ เหตุใดจึงใช้แหวนแทนคุณค่าทางใจในวันสำคัญ เนื่องจากแหวนมีลักษณะเป็นวงกลม ซึ่งแสดงความไม่มีสิ้นสุด สัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงว่าความรักที่มีให้กันนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุดค่ะ

ที่มาของการเลือกให้นิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วสำหรับแหวนแต่งงาน เกิดขึ้นเพราะคนเชื่อว่านิ้วนางข้างซ้ายนั้นมีเส้นเลือดเชื่อมต่อตรงไปถึงหัวใจ ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างมือและหัวใจ จึงมีการตั้งชื่อเส้นเลือดดังกล่าวว่า Vena Amori อันเป็นภาษาละตินซึ่งมีหมายความว่า "เส้นเลือดแห่งความรัก" (Vein of Love) ตามความเชื่อดังกล่าว ผู้คนจึงนิยมให้สวมแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย และการสวมแหวนแต่งงานในนิ้วนางข้างซ้ายนี้เอง เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า คู่แต่งงานได้ประกาศมอบความรักนิรันดรให้แก่กันและกัน จนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้

ชนกลุ่มแรกที่เริ่มใช้แหวนแต่งงาน คือ ชาวอียิปต์ โดยปรากฏหลักฐานจากอักษรภาพที่แสดงความหมายของวงกลม ซึ่งหมายถึง ความเป็นนิรันดร์ และแหวนแต่งงานก็คือ ความหมายแห่งรักแท้ที่จะอมตะนิรันดรสืบไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย

ในสมัยกลางในยุโรป พิธีแต่งงานของชาวคริสต์จะมีการสวมแหวนแต่งงานเรียงกันมาตั้งแต่นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง ของมือข้างซ้าย เพื่อแสดงถึงหลักตรีเอกานุภาพของศาสนา อันได้แก่ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ก่อนที่ในเวลาต่อมา คู่สมรสจะสวมเพียงนิ้วนางข้างซ้ายเพียงนิ้วเดียว ซึ่งในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ แหวนแต่งงานจะนิยมสวมบนนิ้วนางข้างซ้าย อย่างไรก็ตามในบางประเทศ เช่น เยอรมนี และชิลี แหวนแต่งงานจะถูกใช้สวมบนนิ้วนางข้างขวาแทน ชาวคริสต์นิกายออร์โทดอกซ์ พวกยุโรปตะวันออกและชาวยิวมีธรรมเนียมการสวมแหวนแต่งงานข้างขวาเช่นกัน ขณะในเนเธอร์แลนด์ และกลุ่มชาวคริสต์นิกายคาทอลิก จะสวมแหวนแสดงความรักนี้บนนิ้วนางข้างซ้าย

บ้างก็ใช้แบบแหวนเกลี้ยงเรียบๆ เพื่อแสดงถึงความไม่สิ้นสุดแห่งความรัก โดยบางครั้งอาจจะเป็นแหวนทองเรียบๆ หรือแหวนทองคำผสมกับทองคำขาว สำหรับแหวนอีกประเภทหนึ่งคือแหวนครบรอบแต่งงาน Anniversary Ring จะใช้แหวนประดับเพชร 3 เม็ด Trinity Ring ซึ่งแทนความหมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมักจะกำหนดน้ำหนักของเพชรให้ทั้ง 3 เม็ด มีน้ำหนักรวมกันเท่ากับ 1 กะรัต พอดี



ฟาร์มกวางที่เขาใหญ่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนกวางสวัสดี

เมืองไทยเรามีคนทำฟาร์มกวางแบบเมืองนอกหลายแห่ง เป็นการทำฟาร์มเต็มรูปแบบ เลี้ยงกวางผสมพันธุ์ เลี้ยงจนโต ส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์เพื่อนำเนื้อออกขายเหมือนเมืองนอก แต่ฟาร์มกวางที่ผมได้ไปชมคือ สวนกวาง "สวัสดี" อยู่ที่รอยต่อของมวกเหล็กกับเขาใหญ่

กวางนั้นเป็นสัตว์สงวนเช่นเดียวกับเก้ง ดังนั้น กวางที่นำมาบริโภคจึงต้องเป็นกวางเลี้ยงในฟาร์ม ซึ่งสั่งพันธุ์กวางเข้ามาเลี้ยง เป็นกวางพันธุ์ "รูซ่า" จากออสเตรเลีย ปัจจุบันออกลูกออกหลานมาหลายรุ่นแล้ว

ทางฟาร์มสวัสดีเริ่มสั่งกวางเข้ามาตั้งแต่ ปี 2542 เป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ซึ่งเติบโตได้ดี ในภูมิอากาศของไทย กวางเป็นสัตว์ที่กินพืชได้หลายชนิด เช่น ฟางข้าว หญ้า ต้นกล้วย พืชใบเขียว ได้เกือบทุกชนิด กวางพันธุ์รูซ่า ที่สั่งมาทนทานต่อภูมิอากาศของเมืองไทย ด้วยระบบการเลี้ยงที่เหมาะสม เอาใจใส่ในสุขภาพสัตว์ มีการป้องกันโรคที่สมบูรณ์ จึงทำให้กวางของฟาร์มกวางสวัสดีผลิตเนื้อกวางที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

เมื่อพูดถึงเนื้อกวาง ในยุโรปไม่มีสถานที่เหมาะสมแก่การทำสวนกวาง ดังนั้น เนื้อกวางในยุโรปจึงเป็นเนื้อที่ได้จากการล่าหรือที่เรียกว่า "เนื้อจากเกมส์" เมื่อได้มาจะไม่สด กว่าจะนำมาบริโภคก็มีกลิ่นตุๆ ไม่น่ากิน แต่กวางเมืองไทยไม่ได้มาจากการล่า แต่ได้มาจากการเลี้ยงที่สมบูรณ์แบบ เนื้อกวางจึงมีคุณภาพ สด สะอาด ปลอดภัย กลายเป็นเนื้อสดที่ได้มาจากการเลี้ยงแทนการล่า

เนื้อกวางมีโปรตีนมาก มีวิตามิน B12 และเป็นแหล่งรวมวิตามิน B ชนิดอื่นๆ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ช่วยลดอาการไอกรน ทำให้กินเนื้อกวางนอกจากจะเป็นอาหารแล้วยังมียาผสมอยู่ด้วย

เนื้อกวางทำอาหารได้หลายอย่าง มีร้านอาหารของฟาร์มซึ่งมีเมนูเนื้อกวางอร่อยๆ หลายอย่างให้เลือกสั่งมาชิม วันที่ไปเยี่ยมชมฟาร์มกวางก็ได้รับประทาน สเต๊กกวาง ที่ย่างสุกน้อย สุกมาก ตามชอบ ตุ๋นกวาง ชาบู–ชาบู หรือจิ้มจุ่มเนื้อกวาง คนที่ชอบอาหารรสจัดก็มีเนื้อกวางคั่วกลิ้ง นอกจากนี้ ยังมี ไส้กรอกกวาง ที่อร่อยมาก

คุณบุณยวัฒน์ เหลืองสุวรรณ เป็นเจ้าของฟาร์มกวางสวัสดี และมี ร้านอาหารสวนกวาง อาหารจากเนื้อกวาง มีเมนูอร่อยหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ สเต๊กกวางและไส้กรอกกวาง ที่อร่อยมาก กินแล้วต้องซื้อติดมือกลับบ้าน

ผลิตภัณฑ์จาก ฟาร์มกวางสวัสดี มีหลายอย่าง มี เขากวางอ่อนอัดเม็ด เป็นเขากวางแท้ที่ได้มาจากฟาร์ม เป็นยาบำรุงร่างกายหรือเชื่อกันว่าเป็นยาโด๊ป เขากวางเอามาทำด้ามมีดได้สวยงาม

สำหรับท่านที่ไม่อยากเดินทางไปที่ฟาร์ม แต่อยากรับประทานเนื้อกวางอร่อยๆ เชิญไปที่ "ร้านกวางสวัสดี" ถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน ก่อนถึงโรงแรมบางกอกเซ็นเตอร์ มีเมนู เนื้อกวางอร่อยๆ หลายอย่าง เช่น เอ็นกวางตุ๋น เนื้อกวางตุ๋นยาจีน ไส้กรอกกวาง เนื้อกวางทั้งหมด เป็นแบบแช่แข็ง และยังมีผลิตภัณฑ์จากกวางอีกหลายอย่าง 

สนใจโทร.ไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่คุณนิด 08-4123-4335 เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางไป

ส่วนอาหารต่างๆ ก็คงต้องไปกินที่ปากช่อง มีมากมายหลายอย่างทีเดียว สอบถามทางไปร้านได้ที่เบอร์ 08-1905-4605, 08-6555-9573

แรลลี่รถโฟล์ค ปี พ.ศ.2512

การจัดแรลลี่ ได้มีการจัดขึ้นต่างกรรมต่างวาระในที่ต่างๆ ทั้งในยุโรปและเอเชีย จนกระทั่งสหประชาชาติเห็นความสำคัญในการจัดการแข่งขันแรลลี่ระหว่างประเทศ จึงได้จัดแรลลี่ขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เส้นทางเวียงจันทน์ถึงสิงคโปร์ เมื่อพ.ศ.2512 มีบริษัทรถยนต์หลายบริษัทส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันทั้งยุโรปและเอเชีย

ในการแข่งขันครั้งนั้นทาง บริษัทโฟล์คสวาเก้น ซึ่งมีหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ขอให้ผม (ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์) เป็นตัวแทนโฟล์คเข้าแข่งขัน ในฐานะที่เป็นคนชอบขับรถ มีประสบการณ์ในการขับรถ และได้รับคำชมว่าเป็นคนขับรถที่มีฝีมือ ซ้ำยังทำหน้าที่ถวายการรับใช้ในการขับรถพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เป็นประจำอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์จากการขับรถและเดินทางในยุโรปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ผมเคยทำสถิติบันทึกไว้ว่า ผมเดินทางในยุโรปไม่ต่ำกว่า 10,000 กิโลเมตร โดยเฉพาะได้เคยขับรถถวายการรับใช้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ท่องเที่ยวในฤดูร้อนเป็นประจำ แต่ละวันขับรถเป็นระยะทางกว่า 500 กิโลไม่ต่ำกว่า 15 วัน แต่การไปท่องเที่ยวแบบนั้นเป็นการขับรถที่ราบเรียบ แวะชมสถานที่ท่องเที่ยว กินอาหารอร่อยๆ แวะพักโรงแรมเป็นการเดินทางที่มีความสุขตลอดระยะทาง ไม่ใช่การแข่งขันแรลลี่ที่มีกฎเกณฑ์ กำหนดเวลาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างชัดเจน และเส้นทางการแข่งขันแรลลี่ก็มีความลำบากมากน้อยแตกต่างกันไป

เมื่อมีการทาบทามจากบริษัทโฟล์คสวาเก้น ให้เข้าแข่งขันแรลลี่ ผมก็ตอบรับด้วยความยินดี เพราะว่าผู้ทาบทามเป็นญาติผู้พี่ ในการแข่งขันครั้งนั้นรถแต่ละคันจะมี Navigator และผู้ช่วยขับรวม 3 คน เส้นทางจากเวียงจันทน์ ไปสิ้นสุดสิงคโปร์ ระยะทางถ้าผมจำไม่ผิดก็ประมาณ 2,000 กิโลเมตร อย่าลืมว่าเมื่อปี 2512 เส้นทางคดเคี้ยวอ้อมไปอ้อมมา เป็นถนนลูกรังรถวิ่งผ่านไปฝุ่นฟุ้งกระจาย สะพานทอดข้ามลำน้ำ คู คลอง ยังเป็นสะพานไม้ชั่วคราวไม่ราบเรียบเหมือนเดี๋ยวนี้

ผู้ที่เข้าแข่งขันในคราวนั้น มีด้วยกันหลายชาติ เป็นร้อยคัน ต่างก็นำรถมาตั้งต้นที่เวียงจันทน์ ขับมาจุดแรกที่สวนอัมพรได้พัก 1 คืน รุ่งเช้าขับลงไปชุมพรพักนิดหน่อย พอ 2 ทุ่มออกจากสี่แยกปฐมพร จ.ชุมพร ผ่าน ระนอง ทุ่งสง นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง หาดใหญ่ ถึงสะเดาตอน 6 โมงเช้า แต่ระยะทางที่หฤโหดเป็นจุดที่อันตรายที่สุด คือช่วงระหว่าง จ.ตรัง ถึง จ.พัทลุง บนเขาพับผ้า ซึ่งมีโค้งหักศอกตลอดเส้นทาง แต่จะต้องขับให้ได้ในเวลา 60 นาทีตามกฎเกณฑ์ต้องใช้ฝีมือ และเทคนิคในการเลี้ยวโค้งแบบหักข้อศอกเป็นอันมาก การแข่งขันครั้งนั้น พระองค์เจ้าพีระพงศ์ ที่เรารู้จักกันในนาม "นักแข่งรถเจ้าดาราทอง" ประสบอุบัติเหตุชนเขาต้องออกจากการแข่งขัน รถที่เข้าแข่งขันหลายสิบคันประสบอุบัติเหตุ จนทำให้ทีมงานของเบียร์สิงห์ถอนตัว สำหรับผมขับจากชุมพรถึงสะเดาคนเดียวจนได้รับสมญาว่า "เฒ่าตีนผี" ผู้เข้าแข่งขันทุกคันต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่มีทีมซ่อมรถ หรือช่วยระหว่างทาง รถของนักแข่งประเทศลาว เจ้าคำปัน มาถึงสิงคโปร์หลังนักแข่งคนอื่น 3 วัน เจ้าคำปัน บอกว่า "มาบ่ฮอด ตีนข้อยแตกสี่ตีน" ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือ โตโยต้า ซึ่งมีปรีดา จุลมณฑล เป็นทีมขับ ได้รางวัลยอดเยี่ยม เป็นที่ฮือฮาของคนทั่วไป ที่นักขี่จักรยานระดับชาติมาได้รางวัลยอดเยี่ยมแข่งแรลลี่ครั้งนี้

ข้อมูลโดย ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์

แรลลี่ซีตรอง รุ่นแทรคชั่น เส้นทางกัวลาลัมเปอร์–เชียงราย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซีตรองแทรคชั่น

เมื่อได้ยินคำว่า Rally ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ หมายถึง การแข่งขันรถยนต์ทางไกลที่มีผู้นิยมจัดเส้นทางแรลลี่ระยะทางไกลจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์

ทราบมาว่า จะมีการจัดแข่งขันแรลลี่ข้ามประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์–เชียงราย โดยใช้ชื่อการแข่งขันครั้งนี้ว่า "CITROEN RALLY TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE" เป็น แรลลี่ทัวร์ของคณะ TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE จากประเทศเบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีและเรียนรู้วัฒนธรรมวิถี ชีวิตไทย พร้อมทำกิจกรรมสาธารณกุศล 

การแข่งขันครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปี 2552 คุณญาณ (Mr.Yann) และคุณเจอราดีน (Mrs. Geradine) สองสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ขับรถยนต์ตู้ซีตรองรุ่นฮาชีล (HACHILLE) หรือรุ่นหน้าหมูโบราณ (รุ่นปี ค.ศ.1947) เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย โดยขับรถตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ บันทึกภาพและเหตุการณ์ ที่ได้พบเห็นอย่างละเอียด ที่สำคัญ ทั้งสองได้มาพบกับคุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม ที่มีรถเก่าโบราณแบบและรุ่นต่างๆ ทั่วโลกกว่า 1,000 คัน

เมื่อกลับไปฝรั่งเศส สองสามีภรรยาเกิดความประทับใจ จึงนำเรื่องราวที่ได้พบเห็นในประเทศไทยเขียนลงนิตยสาร GAZOLINE และทำข่าวสารคดีท่องเที่ยวทั่วโลก ในรายการโทรทัศน์ VOYAGE CHANEL ออกอากาศ 160 ประเทศทั่วโลก ทางสมาคมรถยนต์ซีตรองแทรคชั่นไร้พรมแดน (CITROEN TRACTIONS SANS FROTIERES) จึงได้ป่าวประกาศไปถึงสมาชิกผู้รักรถโบราณ ชักชวนกันนำรถซีตรองรุ่นแทรคชั่น เดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยและมาเลเซียโดยใช้เวลา 21 วัน และที่สำคัญที่สุดคือ มาดูซิว่าคนไทยธรรมดาๆ อย่างคุณเจษฎา ทำไมจึงมีพิพิธภัณฑ์สะสมรถโบราณ ที่หายากมากมายขนาดนี้ แถมยังให้เข้าชมฟรีด้วย อย่ากระนั้นเลยโปรแกรมการแข่งขันแรลลี่ครั้งนี้จึงเกิดขึ้น

เริ่มจากเอารถซีตรองโบราณทั้งหมดลงเรือ มาขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ และท่องเที่ยวในมาเลเซีย 8 วัน จากนั้นเข้ามาประเทศไทยทางด่านสะเดา พักค้างคืนจุดแรกที่ จ.ตรัง ผ่านชุมพรจนมาถึงหัวหินพัก 1 คืน จึงขับขึ้นมาจนถึงพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชมรถโบราณให้หายอยากแล้วเข้าที่พักที่โรงแรมสวนสามพราน เพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ตามแบบฉบับสวนสามพราน รุ่งขึ้นเดินทางขึ้นเหนือ พักนครสวรรค์ พิษณุโลก แห่งละ 1 คืน ขับต่อไปเที่ยวชมมรดกโลกที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 1 คืน จากนั้นขึ้นไปค้างลำปางอีก 1 คืน และไปจบที่ จ.เชียงราย อยู่ท่องเที่ยวชมความงามของล้านนา ทำกิจกรรมสาธารณกุศลรวม 3 คืน จึงล่องกลับมาพักที่พิษณุโลก 1 คืน เรื่อยมาจนถึงอยุธยา พักชมอุทยานประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาอีก 1 คืน

รุ่งเช้าเป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ขบวนรถจะขับเข้ากรุงเทพฯ มาเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล แล้วจะเอารถทั้งหมดไปจอดไว้ที่สนามเสือป่า คราวนี้ล่ะสนุกแน่ๆ สำหรับฝรั่งต่างชาติ เพราะคณะผู้เข้าแข่งขันแรลลี่ทุกคน จะไปทัวร์ที่ถนนข้าวสาร ที่เลื่องชื่อลือชา เพื่อชมวิถีชีวิตคนไทย และรับประทานอาหารเย็นที่นี่ พอตกค่ำก็จะนั่งรถ London Bus ชมแสงสีไฟประดับประดางานเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และความงามยามราตรีของกรุงเทพฯ

รุ่งเช้าเป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ขบวนรถทั้งหมดจะร่วมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจะขับรถเป็นขบวนไปตามถนนราชดำเนิน เลี้ยวเข้าเยี่ยมคารวะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบริเวณเสาชิงช้า กิจกรรมตอนบ่ายจะอยู่รอบๆเกาะรัตนโกสินทร์ ตกเย็นก็จะได้ดื่มด่ำรสชาติอาหารไทยกับบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบนเรือสำราญ

อีก 2 วันก็จะไปชมเมืองโบราณ วังสวนผักกาด มาบุญครอง วัดยานนาวา พระบรมมหาราชวัง และร่วมงานเลี้ยงอำลาที่ หอประชุมกองทัพเรือ ในวันที่ 15 ส.ค.2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในเมืองไทย เวลา 01.25 น. ก็ขึ้นเครื่องบินกลับ ส่วนรถก็ลงเรือที่ท่าเรือกรุงเทพฯ กลับไปเจอเจ้าของที่บ้าน

เท่าที่เล่ามานี้ก็อยากให้พวกเราชาวไทย ที่อยู่ตามเส้นทางที่ขบวนแรลลี่ทัวร์คณะนี้แล่นผ่าน ไปช่วยกันต้อนรับและทักทาย ถ่ายรูปในฐานะเจ้าของบ้านก็ไม่ผิดกติกา กิจกรรมการแข่งขันแรลลี่ทัวร์แบบนี้ เมื่อฝรั่งเขากลับไปบ้านเขาแล้ว เขาจะได้ไปเล่าสู่กันฟังว่าประเทศไทยสวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เป็นการการันตีว่าบ้านเมืองของเราสงบสุขแล้ว

ต้องขอชมเชย คุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ และทีมงานที่เป็นเจ้าภาพดูแลคณะแรลลี่ทั้งหมด

ชวนเที่ยว ชวนกินอาหารโบราณในตลาดเช้าวัดสิงห์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แกงบวน

คนที่มีเทพจรลงเท้า  อยู่กับที่ทางไหนนานๆ ไม่ได้ มันต้องให้รุ่มร้อน จนต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆ วนเวียนกันไปไม่รู้จบ บางครั้งก็ถือโอกาสวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ท่องเที่ยวไปตามชุมชนเก่าแก่ ตลาดน้ำโบราณที่ยังสืบทอดวิถีชีวิต จารีตประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น เป็นสถานที่น่าท่องเที่ยวในวันหยุด

ในคราวนี้จึงขอชวนท่านมาเที่ยว ที่ตลาดเช้าของชุมชนโบราณที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ระยะทางห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เส้นทางบางบัวทอง-สุพรรณบุรี กินเวลาชั่วโมงเศษก็จะ ถึงอำเภอวัดสิงห์ เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท

อำเภอวัดสิงห์เป็นหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดชัยนาท ในอดีตอำเภอวัดสิงห์ เป็นแหล่งค้าขายใหญ่ที่สุดของจังหวัด มีท่าข้าว ท่าถ่าน ทำให้การค้าขายสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก และยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำท่าจีนที่มีจุดเริ่มต้น ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งมีรูปเหมือนหลวงปู่ศุข ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และยังเป็นอาจารย์ของเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ อีกด้วย

ใกล้ๆ กับอำเภอวัดสิงห์ไปทาง อำเภอหนองมะโมง มีชุมชนบ้านสะพานหิน บ้านกุดจอก มีการทอผ้าตามแบบดั้งเดิมของชาวบ้าน ซึ่งบรรพบุรุษเป็นชาวลาวเวียง ซึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาจากเวียงจันทน์ สมัยรัชกาลที่ 1 และได้นำเอาลวดลายการทอผ้าติดตัวเข้ามาแต่ครั้งกระนั้น  การทอผ้าด้วยสีแดงสดใสประดับเชิงผ้า ด้วยลายตีนจกมาสวมใส่อย่างสวยงาม จึงเป็นความงดงามของชาวบ้านสะพานหินมาจนทุกวันนี้

ด้านวัฒนธรรมทางอาหารการกิน  ตลาดเช้าอำเภอวัดสิงห์มีของกินพื้นบ้าน ทั้งคาวหวานมาขายตั้งแต่เช้ามืดเป็นประจำ มีผู้มาฝากท้องไว้กับตลาดเช้ามากมายทุกครัวเรือน ในฐานะนักชิม จึงเป็นคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าตลาดเช้าของอำเภอวัดสิงห์ มีข้าวแกงอร่อยหลายเจ้าให้เลือกรับประทาน  หรือซื้อใส่ห่อกลับบ้าน มีอาหารชนิดหนึ่งเป็น แกงโบราณ คือ "แกงบวน" เป็นแกงเครื่องในหมู ตับ ไต ไส้ พุง ของหมูซึ่งชาวจีนนำหมูมาเลี้ยงในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อประมาณ 400 ปีก่อน ซึ่งคนไทย เพิ่งจะได้ลิ้มรสเนื้อหมูเป็นครั้งแรก แตกต่างกับอาหารไทย ซึ่งจะกินปลานานาชนิด นำมาแปรรูปเป็นเครื่องจิ้ม เป็นปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเจ่า เป็นต้น เครื่องจิ้มเหล่านี้ทำจากปลาในรูปแบบต่างๆ สมกับคำพังเพยของไทยว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เป็นอาหารหลักของไทยมาตั้งแต่โบราณกาล

ชาวอำเภอวัดสิงห์จะทำแกงบวนจำหน่ายในวันพระ ที่ตลาดเช้าเป็นประจำ แกงชนิดนี้ต้องอาศัยการล้างเครื่องในหมูให้สะอาดปราศจากกลิ่น ปรุงรสด้วยน้ำใบมะตูม คั้นใบขี้เหล็ก (ตามตำรับลาวเวียง) มีรสหวานนำ เค็มตาม ชื้นเครื่องในจิ้มพริกขี้หนูตำดองกับน้ำส้มสายชูและเกลือ ให้มีน้ำจิ้ม เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ซดน้ำแกงตามสวรรค์ ก็อยู่ในปากและลิ้นของเรานี่เอง

แกงบวนของวัดสิงห์ จะหากินได้ทุกวันพระในตลาดเช้า อำเภอวัดสิงห์เท่านั้น ถ้าไม่ใช่วันพระ หาทั่วตลาดก็ไม่ได้กินจะบอกให้

การไปเที่ยวตลาดเช้าอำเภอวัดสิงห์นั้น ท่านจะต้องไปตลาดเช้าอย่าให้เกิน 6 โมงเช้า มิฉะนั้นท่านจะพบแต่ตลาดสายหยุด ประมาณ 7 โมงเช้าตลาดก็จะเริ่มวายแล้ว ทางที่ดีถ้าท่านไม่มีพรรคพวกที่มีบ้านอยู่วัดสิงห์ ท่านจะต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด ในตลาดจะมีชาวบ้านนำพืชผักสวนครัวมาขายเอง มีทั้งผักบุ้ง หน่อไม้ มะเขือ ถั่วฝักยาว รวมไปถึงหมู เนื้อ และปลานานาชนิดจากแม่นํ้า

มีทางแก้สำหรับคนที่ไม่มีพรรคพวกเป็นคนวัดสิงห์ก็คือ หาที่นอนใกล้ตลาดเช้าวัดสิงห์ ซึ่งจะไปนอนที่ พญาไม้ รีสอร์ท ของทันตแพทย์กฤตผล พรพิบูลย์ บนเกาะเทโพ ที่เป็นรีสอร์ต 4 ดาว ร่มรื่นด้วยแมกไม้ริมแม่น้ำสะแกกรัง นอนหลับสบายท่ามกลางธรรมชาติ ตื่นเช้ามืดเดินทางมาตลาดเช้าอำเภอวัดสิงห์ที่อยู่ห่างประมาณ 20 กิโลเมตร ทันเวลาตลาดเช้าอำเภอวัดสิงห์อย่างสบายๆ

ตอนบ่ายหาโอกาสไปเยี่ยม ชุมชนลาวเวียงที่บ้านสะพานหิน หาซื้อผ้าทอที่มีสีสวยสดงดงาม กลับมาตัดเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ที่ไม่มีใครเหมือนอีกด้วย

การท่องเที่ยวในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จะทำให้ท่านได้พบวิถีชีวิตของชุมชนโบราณ อาหารการกินที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้

โครงการเปิดทองหลังพระที่ชุมพร

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คลองหัววัง-พนังตัก

ชุมพร เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ที่ต้องประสบภัยพิบัติจาก พายุไต้ฝุ่น "เกย์" ที่เกิดขึ้นในอ่าวชุมพร ซึ่งตามปกติจะเกิดในทะเลจีนใต้ แต่เมื่อเกิดขึ้นในจังหวัดชุมพรเมื่อปี 2532 จึงทำความเสียหายอย่างมหาศาลต่อผู้คน บ้านเรือน ทรัพย์สิน แหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้านการเกษตร เกิดน้ำท่วมทั่วทั้งจังหวัด ในอุบัติภัยครั้งนั้นทางราชการได้ดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยอย่างเข้มแข็งจนคลี่คลายลงบางส่วน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานความช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน จนสถานการณ์คลี่คลายลงเป็นปกติ ด้วยการระบายน้ำที่ท่วมขังไหลลงทะเลจนหมดสิ้น

ต่อมาจึงมีโครงการขุดคลองหัววัง-พนังตัก เพื่อเป็นทางระบายน้ำเมื่อเกิดอุทกภัยฝนตกหนักน้ำท่วม แต่การขุดคลองยังไม่เสร็จก็เกิด พายุ "ซีต้า" เมื่อปี 2540 หลังเกิดพายุเกย์ได้ 8 ปี แต่คลองที่ขุดยังไม่สมบูรณ์ ได้ระบายน้ำที่ท่วมชุมพรไหลลงทะเลจนแห้งหาย

หลังพายุ "ซีต้า" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้ขุดคลองหัววัง-พนังตักอย่างเร่งรีบให้เสร็จภายใน 1 เดือน เมื่อการขุดคลองแล้วเสร็จ พายุ "ลินดา" เข้าถล่มชุมพรอีกครั้ง คลองหัววัง- พนังตักจึงระบายน้ำลงทะเลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อุทกภัยในจังหวัดชุมพรไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปจนกระทั่งทุกวันนี้

โครงการขุดคลองหัววัง-พนังตัก ทำให้เกิดแก้มลิงกว้างใหญ่ที่ตำบลหนองใหญ่ ซึ่งมีชุมชนริมหนองใหญ่ ได้ร่วมกันดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจ พอเพียงจนเป็นต้นแบบของชุมชนทั่วไปให้มาเรียนรู้นำไปปฏิบัติกับชุมชนของตนต่อไป

ภูมิปัญญาโต้คลื่นและลมของจีนโบราณ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เจิ้งเหอ

ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า มีเทคโนโลยีมากมายที่ชนจีนได้เป็นผู้คิดค้น และให้กำเนิดก่อนหน้าชาวตะวันตก ซึ่งบางอย่างก็ยังพัฒนาใช้กันจนถึงยุคปัจจุบัน

เรือสำเภาขนาดมหึมาของเจิ้งเหอ

สองพันปีก่อนโน้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เรือสำเภา (Junk) ของจีนเรียกได้ว่าครอบครองทะเล เนื่องจากแม้ว่ายุคนั้นเป็นครั้งแรก ที่ประเทศจีนรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้องค์เดียว ราษฎรจีนเพิ่มจำนวนและขยายตัวลงมาทางใต้ หากทว่าการเดินทางบนบกยังมีอุปสรรคอยู่มาก 

ดังนั้น เมื่อมาถึงฝั่งทะเลและปักหลักฐานอาศัย พวกเขาจึงสร้างและพัฒนาเรือสำเภาขึ้นเพื่อการทำมาหากินและการขนส่งสินค้า

ช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่เรือของชาวตะวันตกยังใช้ใบเรือที่ติดตรึงอยู่กับที่ แต่สำเภาจีนได้มีการพัฒนาใบเรือ ที่สามารถควบคุมบังคับให้พลิกไปพลิกมา และเป็นครั้งแรกของโลก ที่เรือใบสามารถแล่นทวนกระแสลมได้ 

ทั้งนี้ เพราะเมื่อพลิกให้ใบเรือรับกระแสลม โดยให้ใบด้านหนึ่งมีความเร็วลมสูงกว่าอีกด้านหนึ่ง ก็จะเกิดความแตกต่างของแรงกดดัน (pressure) และฉุดเรือให้แล่นฉิวไปข้างหน้าได้

โครงใบเรือ

เทคโนโลยีนี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎีของเบอร์-นุลลี (Daniel Bernoulli) นักฟิสิกส์สวิสในศตวรรษที่ 18 ซึ่งค้นพบภายหลังการใช้ใบเรือของจีนหลายร้อยปี และอีกต่อมาในศตวรรษที่ 2 จีนก็ยังได้ใช้ ไม้ไผ่มาทำโครงใบเรือ (batten) ที่ทำให้ยกใบขึ้นและลงได้อย่างสะดวกและง่ายดายกว่าโครงใบของตะวันตกที่แข็งทื่อ

ในยุคโบราณ เรือสินค้าทุกลำจะมีท้องเรือที่เปิดกว้างทะลุถึงกัน ซึ่งถ้าหากเกิดรอยรั่ว นํ้าจะไหลทะลักเข้ามาเต็มท้องเรืออย่างรวดเร็วและจม แต่สำเภาจีนมีการแบ่งท้องเรือออกเป็นช่วงๆ เหมือนกั้นห้อง เมื่อนํ้ารั่วเข้ามาในห้องใดห้องหนึ่ง ห้องนั้นก็จะมีนํ้าขังอยู่เพียงแค่ระดับเท่ากับนํ้าทะเลภายนอก เพราะว่าเรือยังสามารถลอยลำได้อยู่ด้วยอากาศในห้องอื่นๆ ต่อมาประเทศทางตะวันตกก็ได้เอาเทคโนโลยีห้องกั้นนํ้า (water-tight compartments) นี้มาใช้

อันที่จริงในปี ค.ศ.1911 อภิเรือสำราญไททานิก (Titanic) ก็เป็นเรือยักษ์ลำแรกของตะวันตกที่ใช้ ท้องเรือแบบแยกเป็นห้องเหมือนกัน หากแต่สร้างอย่างไม่ถูกวิธี?!

นั่นคือ แต่ละห้องท้องเรือของไททานิกมีผนังที่สูงไม่ถึงชั้นดาดฟ้า เมื่อนํ้าเข้ามาจนท่วมถึงขอบบนของผนัง ก็จะล้นไปยังห้องอื่นๆกระทั่งจมลงในที่สุด

จักรพรรดิคังซีประทับบนเรือลำเภา

ข้อเหนือกว่าอีกอย่างของสำเภาจีนในอดีตก็คือ การใช้หางเสือเรือ (rudder) ซึ่งมีขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 แล้ว โดยก่อนหน้านั้นการบังคับทิศทางแล่นของเรือมาจาก "แจว" (steering oar) ซึ่งเรือตะวันตกก็ยังคงใช้กันอยู่อีกเป็นพันปี หลังจากจีนเปลี่ยนมาใช้หางเสือแล้ว

เรือลำใหญ่นั้น เมื่อใช้แจวท้ายเรือเป็นตัวบังคับให้เลี้ยวซ้ายขวาตามต้องการ ก็จะต้องใช้แจวที่ใหญ่ ทำให้หนักแรงและยากแก่การควบคุมทิศทางเรือ ถึงจะใช้หางเสือใบใหญ่ๆ ก็เช่นกัน 

ทั้งนี้ เพราะเมื่อใบหางเสือกว้างและลึกลงไปในนํ้า แรงกดดันของนํ้าทะเลทั้งสองด้านจะต้านทานไว้ ยิ่งเรือแล่นเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งควบคุมยากขึ้นเท่านั้น แต่จีนมีวิธีแก้ไข นั่นคือการเจาะรูหางเสือ (fenestrated rudder) หรือทำให้เป็นช่อง เมื่อนํ้าไหลทะลุได้ แรงกดก็เบาบางลง แม้ว่าจะลดความสามารถในการควบคุมการเลี้ยวไปบ้างก็ตาม

หางเสือเจาะรูนี้ มาเป็นที่นิยมใช้ในดินแดนตะวันตกในราวค.ศ.1901 เมื่อเรือมีความเร็วที่สูงขึ้นจนถึง 30 นอตจนหางเสือธรรมดาไม่เหมาะที่จะใช้อีกต่อไป

ครีบท้องเรือ

บางครั้งสำเภาจีนแล่นขึ้นเหนือ แต่ลมทะเลที่พัดจากตะวันออกไปตะวันตกจะทำให้ เรือเอียง จีนจึงได้พัฒนา "ครีบท้องเรือ" (keel) ติดไว้ในแนวดิ่งใต้เรือ ครีบนี้จะช่วยในการทรงตัวของสำเภาให้มั่นคง ถ่วงจุด ศูนย์กลางความถ่วงของเรือให้ตํ่าลงและไม่พลิกควํ่าง่ายๆ 

นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มครีบข้างเรือ (leeboard) เสริมความมั่นคงของเรือเข้าไปอีกด้วย แล้วก็มาถึงการใช้อุปกรณ์นำทาง (navigation) ของจีนในการเดินเรือขนสินค้าไปยังดินแดนไกลๆ เช่น ข้ามมหาสมุทรอินเดีย

แรกทีเดียวชาวจีนโบราณอาศัยการดูตำแหน่งดวงดาว รวมทั้งความเร็วและทิศทางของกระแสน้ำ ประกอบกับตารางน้ำขึ้น น้ำลง ฯลฯ เป็นเครื่องช่วยชี้แนวทางเดินเรือ

เข็มทิศจีนโบราณ

ต่อมาจะเป็นช่วงระยะเวลาใดไม่ทราบแน่ แต่คงราวเกือบพันปีก่อนโน้น ที่จีนได้เป็นผู้ริเริ่มใช้ "เข็มทิศ" (compass) โดยแรกทีเดียว เข็มทิศของจีนทำจากวัสดุธรรมชาติ นั่นคือแร่ที่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก "แมกเนไตต์" (magnetite) เนื่องจากชนจีนได้สังเกตเห็นว่าแร่พิเศษนี้ ไม่ว่าจะนำเอามาวางและตั้งชี้ไปในทิศใด มันก็จะหมุนกลับมาชี้ในทิศทางเดิมอยู่เสมอ

ราวปี ค.ศ.900 จีนได้ติดตั้งเข็มทิศช่วยการนำทางในสำเภาที่ขนสินค้าผ่านมหาสมุทรอินเดียไปยุโรป ทำให้เรือสินค้าของชาวตะวันตกหันมาใช้เข็มทิศกันอย่างแพร่หลาย จนเข็มทิศกลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดมิได้สำหรับเรือเดินทะเลสมัยนั้น...เพราะคุณจะอาศัยดูดวงดาวได้อย่างไรยามฟ้ามืดมิดด้วยเมฆ และจาก ค.ศ.1100 ใช่แต่เพียงเป็นผู้นำในการใช้เทคโนโลยีสำหรับเรือเท่านั้น จีนยังเรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจทางทะเลอีกด้วย โดยเฉพาะการเดินทางของกองเรือมหึมาในศตวรรษที่ 15

เรือสำเภา

ช่วงระหว่าง ค.ศ.1405-1437 ขบวนเรือมหาสมบัติ (Treasure ships) ได้ออกเดินทางข้ามโลกไปยังฝั่งทะเลแอฟริกา บางคนกล่าวว่าไปไกลถึงอเมริกาเหนือเลยทีเดียว การเดินทางนี้มีจุดประสงค์ เพื่อประกาศศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของจีนให้ประเทศทั้งหลายในโลกได้รับรู้ ธงชาติจีนได้ตระเวนไปปรากฏต่อสายตาชาวโลกรวมเจ็ดครั้งของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ โดยหกครั้งภายใต้การนำของมหาขันที "เจิ้งเหอ" (Zheng He)

ขบวนเรือของเจิ้งเหอมีขนาดมหึมาที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น ประกอบด้วยลูกเรือกว่า 20,000 คน ไปถึงดินแดนใดก็เป็นที่เอิกเกริกต่อชาวท้องถิ่น แต่เหนืออื่นใดคือ ขนาดอันมโหฬารของสำเภาจีน ซึ่งไม่เหลือซากที่สมบูรณ์ให้เห็นในปัจจุบัน จึงเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีขนาดใหญ่เพียงใดแน่ แต่ในปี 1962 ได้มีการค้นพบเสาปลอกพวงมาลัยยาวถึง 36 ฟุต (12 เมตร) จากเรือมหาสมบัติลำหนึ่ง เชื่อกันว่าใช้กับหางเสือขนาดยักษ์ ใหญ่กว่าหางเสือใดๆที่เคยพบ ซึ่งเมื่อเทียบดูแล้วสำเภาที่ใช้หางเสือขนาดนี้จะมีความยาวไม่ต่ำกว่า 400 ฟุต และกว้างถึง 166 ฟุต เป็นเรือไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

หันมาดูเทคโนโลยีทางด้านลมของจีนดูบ้าง จีนมีการเล่นว่าวมาแต่โบราณกาล เทคนิคของการลอยตัวของว่าวนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนนัก ตัวว่าวจะต้านทานกระแสลมและบังลมไว้ 

ดังนั้น ด้านหลังของตัวว่าวจึงเกิดสุญญากาศอ่อนๆ ขึ้นและทำให้มีแรงดูดหรือแรงดึง ว่าวจึงลอยสูง

มีบันทึกไว้ว่าในครั้งศตวรรษที่ 5 เมืองจีน มีการใช้ว่าวเป็นรหัสสัญญาณ รวมทั้งเป็นพาหะส่งข่าวข้ามหัวฝ่ายข้าศึก บางฉบับถึงกับกล่าวว่าใช้ว่าวติด ระเบิดเพลิงขึ้นไปและชักให้ตกลงในค่ายของศัตรู

อีกบันทึกหนึ่งระบุว่า แม่ทัพคนหนึ่งของจีนต้องการบุกโจมตีค่ายฝ่ายตรงกันข้าม โดยอาศัยการลอบขุดอุโมงค์เข้าไปโผล่ในค่าย แต่ท่านแม่ทัพไม่ประสงค์จะเสี่ยงชีวิตทหารที่จะเข้าไปวัดระยะทางที่จะขุดอุโมงค์ จึงชักว่าวตัวหนึ่งขึ้นไปลอยเหนือฝ่ายข้าศึก ทหารในค่ายได้ยิงว่าวตกลงมา ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้ดึงเชือกให้ตึง แล้ววัดระยะเส้นเชือกที่ใช้ชัก จากนั้นจึงสั่งให้ขุดอุโมงค์ตามความยาวที่ได้มา และ
ประสบชัยชนะ

กังหันลอยลม

ของเล่นอีกชิ้นหนึ่งของชาวจีนได้แก่ กังหันลอยลม (Bamboo Dragonfly) ซึ่งเมื่อชักเชือกที่พันไว้โดยรอบก้าน แล้วปล่อยกังหันไม้ไผ่เล็กๆ ออกไปมันก็จะลอยปลิวไปตามลม ก็คล้ายกับกังหันจิ๋วที่ติดอยู่บนหัวของโดราเอมอนนั่นแหละ

ซึ่งต่อมากังหันลอยลม หรือแมลงปอไม้ไผ่นี้ ก็กลายเป็นยานเฮลิคอปเตอร์ที่เหินฟ้าอยู่ในปัจจุบัน

จีนโบราณนั้นมีภูมิปัญญาที่สูงส่ง และเป็นต้นแบบของเทคโนโลยีปัจจุบันหลายอย่าง ถ้าอยากเห็นภาพจริงของสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ นี้ก็ติดตามดูได้ในโทรทัศน์ทรูวิชั่นส์ช่อง History (18) ปลายเดือน พ.ค. นี้ เลือกชมได้สะดวกตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ในวารสาร PREMIER ประจำเดือน พ.ค. ในชื่อเรื่อง ANCIENT CHINA : MASTER OF WIND AND WAVES

ร้านลุงอั๋น สี่แยกพัฒนานิคม

แถวๆ โรงงานแห่งนั้นมีร้านอาหาร ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเบทาโกร ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ มาป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีลูกค้านิยมไปอุดหนุนอย่างแน่นขนัด ร้านอาหารแห่งนี้ รู้จักกันใน นาม "ร้านลุงอั๋น สี่แยกพัฒนานิคม" พรรคพวกจากเบทาโกรแนะนำให้ไปชิม ชิมแล้วรสชาติ อาหารทำให้ติดใจ 

หากมีกิจธุระไปแถวจังหวัดลพบุรีเมื่อใด ต้องหาโอกาสไปกินอาหารที่ร้านนี้ทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปพักค้างคืนที่ ลพบุรีอินน์ รีสอร์ต เพราะอยู่ไม่ไกลจากร้านลุงอั๋นที่สี่แยกพัฒนานิคม พอกินอาหารกลางวันเสร็จ ก็ซื้อของอร่อยกลับมาฝากคนทางบ้านอีกด้วย

เสร็จจากการชมโรงงาน ก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี เราจึงตรงไปกินอาหารที่ร้านลุงอั๋น ซึ่งแม้อากาศจะร้อน อุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเข้าไปในร้านก็เย็นสบาย สั่งอาหารอร่อยหลาย อย่างมากิน เริ่มด้วย น้ำมะนาวเย็นเฉียบชื่นใจ คลายร้อน 

ส่วนอาหารจานแรกคือ สเต๊กเนื้อหมูสันนอก จิ้มแจ่ว ตามด้วยกระดูกหมูอ่อนกับซอสน้ำแดง กระดูกซี่โครงหมูอ่อนของเบทาโกรนั้นอร่อยมาก กระดูกอ่อนไม่แข็ง กรุบกรับชวนเคี้ยว อร่อยจนต้องสั่งกลับมาฝากคนทางบ้าน

กะหรี่ไก่แห้ง

"ลุงอั๋น" ชื่อจริงคือ นายกุศลเลิศ จุลาณุกะ ภรรยาชื่อ คะแนน เคยไปเป็นเชฟที่ต่างประเทศมาระยะหนึ่ง ก่อนจะมาช่วยงานด้านอาหารของเบทาโกร คิดเมนูที่ผลิตเป็นสินค้าส่งออกของเบทาโกรหลายอย่างด้วยกัน

ในที่สุดก็มาเปิดร้านอาหารของตัวเอง และได้รับความนิยมจากลูกค้าที่มาอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น ทั้งในช่วงมื้อกลางวัน และต่อเนื่องไปจนถึงตอนบ่าย ตอนเย็น

เนื้อจิ้มแจ่ว

กะเพราเนื้อ

จานต่อไป กะหรี่ไก่แห้ง ที่มีน้ำขลุกขลิก ลุงอั๋นพัฒนาอาหารจานนี้ให้เป็นกึ่งแกงกะหรี่ กับแกงกะหรี่น้ำน้อยขลุกขลิกเป็นซอสข้น ทำให้กินเป็น กับข้าวหรือจิ้มขนมปังแบบฝรั่งก็อร่อยจนฝันถึง

ต่อจากกะหรี่ไก่ ลุงอั๋น ย่างเนื้อหมักนุ่ม จิ้มแจ่ว กินกับสลัดผัก ตามด้วย ผัดกะเพราเนื้อ ไข่ดาว กินกับข้าวสวยร้อนๆของน้ำที่ซดให้คล่องคอเป็น ต้มยำกุ้งแม่น้ำจากเขื่อนป่าสัก

สเต๊กหมูพริกไทยดำ

เมื่อจบการกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยลุงอั๋น จะเอามะม่วงจากชาวบ้าน อย่างมะม่วงสุกมาให้ กินเป็นของหวาน ตามด้วยกาแฟตบท้าย เป็นอันเสร็จการรับประทานอาหารที่เอร็ดอร่อย

ก่อนจะกลับก็สั่งแกงกะหรี่ไก่แห้ง กระดูกหมูอ่อนกลับมารับประทานที่บ้าน ทั้งหมดนี้ คือการคลายเครียดด้วยการหนีความวุ่นวายไปกินอาหารร้านลุงอั๋น  ท่านผู้ใดจะใช้วิธีคลายเครียดตามนี้ก็ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด

เยี่ยมชมโรงงานเบทาโกร

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไส้กรอกเบทาโกร

ไส้กรอกเบทาโกร ใช้เนื้อหมู ปลอดภัยรสชาติดี ผลิตจากโรงงานเบทาโกร ที่อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ได้แวะเยี่ยมชมขบวนการผลิตไส้กรอกที่โรงงานของเบทาโกรก่อน ที่จริงโรงงานนี้เคยแวะมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นเขายังไม่เปิดการผลิต ไปครั้งนี้เขาเปิดทำการผลิตแล้ว โดยคุณวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เครือเบทาโกร เป็นผู้นำชม

ขั้นตอนการเข้าชมก็ต้องมีการเตรียมตัวกันก่อน โดยต้องถอดบรรดาเครื่องประดับและของใช้ต่างๆ เช่น แหวน นาฬิกา สร้อย รวมถึงโทรศัพท์ มือถือ จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นของที่ทางโรงงานจัดเตรียมไว้ให้ แล้วจึงเริ่มต้นการเข้าชม ซึ่งเจ้าหน้าที่แต่ละคนก็จะแบ่งงานที่ต้องปฏิบัติต่างกันออกไป

การผลิตไส้กรอกของทางเบทาโกรนั้น จะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพราะเขามีฟาร์มหมูและไก่เป็นของตัวเอง และมีการผลิตไส้กรอกเพื่อส่งออกตามคำสั่งของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นที่มาร่วมทุนกับทางเบทาโกร โดยเดือนหนึ่งจะส่งออกไส้กรอกถึง 600 ตัน แต่ไส้กรอก ทั้งหมดที่ทางโรงงานผลิตต่อเดือนจะมีปริมาณรวมถึง 3,600 ตัน ก่อนนั้นทางญี่ปุ่นเคยสั่งไส้กรอกจากจีน แต่ปัจจุบันหันมาสั่งจากทางเบทาโกรแทน ซึ่งฝีมือของคนไทยนั้นทำให้คนญี่ปุ่นวางใจได้

ไส้กรอกออกจากกระบวนการผลิตและรอบรรจุถุง

คนญี่ปุ่นชอบไส้กรอกแบบอาราบีกิ มีลักษณะเนื้อหยาบ ไม่ละเอียดเหมือนที่ขายในบ้านเรา ทั้งส่วนที่เป็นเปลือกนอก หรือผิวนอกของไส้กรอก จะมีความกรอบอย่างมาก เคยสงสัยว่าเปลือกนอกของไส้กรอกนั้นทำจากอะไร ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าทำจากไส้แกะธรรมชาติ จากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

นอกจากนั้นทางเบทาโกรยังผลิตขนมปังไส้กรอก และไส้กรอก แบบเสียบไม้พร้อมนำไปปิ้งขาย โดยจะบรรจุรวมเป็นห่อแช่แข็งเพื่อส่งออกไปขายที่ญี่ปุ่นด้วย

พนักงาน บรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อส่งต่างประเทศ

ชวนเที่ยว เมืองจันท์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองจันท์

จันทบุรี มีทะเลที่หาดเจ้าหลาว มีชายหาดที่ยาวเหยียด ลาดลงสู่ทะเลลึกทีละน้อย ทำให้ปลอดภัยในการเล่นน้ำทะเล มีน้ำตกพลิ้วที่งดงามในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันมี "น้ำตกกระทิง" ที่มีน้ำสมบูรณ์ในฤดูแล้ง ลดหลั่นกันถึงเจ็ดชั้น มีร้านอาหารทะเลที่ท่าแฉลบ และฟาร์มปูนิ่มที่อำเภอขลุง นั่งเรือไปกินปูนิ่มและอาหารทะเลสดๆ ที่ร้านปูนิ่ม อำเภอขลุง

นอกจากนี้ จันทบุรียังเป็นที่รวบรวมไพร่พลยกมาไล่พม่า ที่ครอบครองกรุงศรีอยุธยาจนพ่ายแพ้ ทำให้เมืองไทยเป็นอิสรภาพ มีแหล่งต่อเรือที่นำทหารมารบพม่า มีพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพที่ทุ่งนาเชย ค่ายทหารฝรั่งเศสที่ยึดเมืองจันท์ปี พ.ศ.2436 คุกขี้ไก่ที่ใช้คุมขังศัตรูของทหารฝรั่งเศส ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นของแถม
สถานที่ต่างๆ ที่กล่าว มาจะรวมอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน เที่ยวเมืองจันท์หน้าร้อน
ขอเริ่มด้วยวันแรก เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว รถเช่าเหมา รถทัวร์ ออกจากกรุงเทพฯ หลังอาหารเช้า ตอนกลางวันแวะรับประทานอาหาร ร้าน "ตงเฮง" ที่บ้านบึงสุดทางมอเตอร์เวย์ ที่นี่มี แฮ่กึ๊น หอยจ๊ออร่อยที่สุดในโลก ก็ว่าได้ หลังอาหารเดินทางต่อมาพักที่จันทบุรีตอนเย็นวันแรก

สถานที่พักมีให้เลือกตามความพอใจคือ โรงแรม เค.พี.แกรนด์ โรงแรมมณีจันท์ ที่เป็นรีสอร์ตชั้นหรู โรงแรมเกษมศานต์

ตอนค่ำมีร้านอาหารให้เลือกหลายแห่ง ถ้าจะกินอาหารไทยพื้นเมือง น้ำพริก แกงส้ม ผัดเผ็ด ต้อง "ครัวลุงเชย" อาหารทะเลและอาหารไทย ร้านแอ๊ดป่าไม้ ข้าวต้มกับหรือข้าวต้มพุ้ยแบบเมืองตรังร้านข้าวต้มธนา

ก่อนที่จะมาถึงที่พัก ควรแวะถวายบังคมพระบรมราชินิยาสาวรีย์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ที่ มหาวิทยาลัย ราชภัฏรำไพพรรณี สวนบ้านแก้ว และสักการะ ศาลพระเจ้าตากสินมหาราช และศาลหลักเมือง ก่อนเข้าพักที่โรงแรม

ตื่นเช้ากินเลือดหมูที่หลังโรงแรม เค.พี.แกรนด์ หรือร้านอาหารเถ้าแก่ลิ้ม ตรงข้ามท่ารถทัวร์ปรับอากาศพรนิภา มีก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ คั่วปู ข้าวหมูแดง และหมูสะเต๊ะ ชวนชิมที่อร่อยที่สุดในโลก


หลังอาหารเช้าเดินทางมายังโบสถ์ แม่พระฝั่งตะวันออกของตัวเมือง ชมโบสถ์ ที่ชุมชนชาวคริสต์สร้างขึ้นเมื่ออพยพหนีภัยจากเวียดนามมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ 3 ชาวญวนในสมัยนั้นนอกจากจะตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จันทบุรีแล้ว ส่วนหนึ่งได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านญวนสามเสนในปัจจุบัน

ชาวญวนที่จันทบุรีได้สร้างวัดขึ้นถึง 5 ครั้ง ตั้งแต่เป็นโบสถ์ไม้ ก่ออิฐ พัฒนาขึ้นมาตามลำดับตั้งแต่ปี 2381 สร้างโบสถ์เป็นปึกแผ่นได้ในปี 2419 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชหัตถเลขาถึงชุมชนญวนเมืองจันท์ และโบสถ์แม่พระไว้เป็นหลักฐานต่อมา

โบสถ์แม่พระมารีอาแห่งนี้ ได้บูรณะขึ้นตามรูปแบบศิลปะโกธิค มียอดแหลม 2 ยอดด้านหน้า จำลองโบสถ์โนเตรอะดามในกรุงปารีสมาอย่างงดงาม ภายในมีการประดับกระจกสี และที่สำคัญคือ พระรูปพระแม่มารีอา สูง 130 เมตร ประดับพลอยเมืองจันท์ 2 หมื่นกะรัต งดงามอย่างที่สุด ประดิษฐานอยู่ในอาสนวิหาร ให้สักการะจนทุกวันนี้

ตอนบ่ายร้อนนักไปเที่ยว น้ำตกพลิ้ว หรือน้ำตกกระทิง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัด ถ้ามีเวลาให้ไปชม การแสดงของปลาโลมาที่แหลมสิงห์ เป็นฝีมือของคนไทยที่น่าดูเหมือนการแสดงที่เมืองนอก

ตอนเย็นพาลูกหลานและตัวของท่านเองไปเล่นน้ำทะเลที่ หาดเจ้าหลาว ซึ่งเป็นชายทะเลที่ปลอดภัยในการเล่นน้ำทะเล

ตอนค่ำถ้าไม่กลับมานอนที่เมืองจันท์ ก็หาที่นอนตามรีสอร์ตแถวหาดเจ้าหลาวที่มีอยู่หลายแห่ง ก่อนจะรับประทานอาหารเย็น เดินทางมาสำนักงานพัฒนาป่าชายเลนที่ตำบลท่าสอน อำเภอขลุง เพื่อไปชมหิ่งห้อย มีถนนตัดเข้าไปในป่าชายเลน ใช้การเดินชม นั่งซาเล้ง ขี่จักรยาน ตามแต่จะเลือก ไม่ต้องนั่งเรือเหมือนสมุทรสงคราม หิ่งห้อยที่ท่าสอนมีมาก จนผู้ชมบางคนนึกว่าเป็นหิ่งห้อยปลอม ต่อเมื่อเพ่งดูจนเห็นหิ่งห้อยบินได้ จึงเชื่อว่าเป็นของจริง

เทศกาลดูเหยี่ยวแดงลงกินปลา เที่ยวชมหิ่งห้อยที่จันทบุรี จะมีงานระหว่าง 20 มีนาคม ถึง 31 พฤษภาคม เข้าฤดูฝนก็จะหมดเทศกาล ช่วงนี้ยังมีเวลาขอเชิญไปเที่ยวจันทบุรีสองวันหนึ่งคืนตามโปรแกรมนี้ รับรองจะต้องติดใจอย่างแน่นอน

ดูช้างหน้าหนาว ดูสาวหน้าร้อน


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชายทะเล
คนโบราณจะชักชวนกันไปเที่ยวตามฤดูกาลว่า "ดูช้างหน้าหนาว ดูสาวหน้าร้อน" จะเป็นช่วงที่ประพฤติกันตลอดมา เพราะช้างหน้าหนาวจะตกมันอาละวาด คนดูจะตื่นเต้นกว่าช่วงช้างปกติ ส่วนหน้าร้อนนั้นสาวๆ จะห่มแพรบางๆ ปิดหน้าอกวับๆ แวมๆ น่าดูกว่าชุดอาบน้ำ ซึ่งไม่มีสาวรุ่นนั้นกล้าสวมใส่
ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเมืองไทยเป็นฤดูร้อน วันที่ร้อนที่สุดจะอยู่ในเดือนเมษายน ซึ่งอุณหภูมิจะขึ้นไปถึง 40 องศาเซลเซียสในกรุงเทพฯ ชาวกรุงจึงหนีร้อนไปเล่นน้ำสงกรานต์ทางเหนือ หลบร้อนไปชายทะเลหัวหิน ชะอำ รับลมร้อนจากทะเล คลายร้อนด้วยลมบกยามค่ำคืน ชะอำ หัวหิน จะคึกคักในช่วงเดือนเมษายน 

เมื่อ 60 ปีก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงใหม่ๆ ใครไม่ไปตากอากาศหัวหินถือว่าไม่ทันสมัย เพราะสถานตากอากาศที่เลื่องชื่อสมัยนั้นมีอยู่สองแห่งเท่านั้นเอง

ในช่วงหลังถนนหนทางได้รับการพัฒนาจนไปไหนมาไหนได้สะดวก สถานท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไกลก็เหมือนใกล้ ทำให้การเที่ยวหน้าร้อนไม่จำกัดอยู่แค่หัวหิน ชะอำ

ชายทะเลหน้าร้อนนั้น มีสถานที่ติดอันดับอยู่สองแห่งคือ เกาะสมุย และภูเก็ต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาพักผ่อนเป็นประจำ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวใน ระดับที่มีฐานะดี

นอกจาก สมุย ภูเก็ต ก็มี กระบี่ ซึ่งดีวันดีคืนสำหรับคนไทย ถ้าจะลงใต้มักจะไปจังหวัดตรัง มีทั้งทะเล น้ำตก ป่าเขาลำเนาไม้ สรุปแล้วสถานที่ท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ต้องมีทะเล ป่าเขา น้ำตก และอาหารที่เอร็ดอร่อย

กล้วยลอยน้ำตาล

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กล้วยลอยน้ำตาล

ของหวานโบราณของชาวสวนมะพร้าว คือกล้วยเชื่อมที่ทำแบบโบราณ เรียกว่า "กล้วยลอยน้ำตาล" โดยมีวิธีทำง่ายๆ คือ นำเอากล้วยน้ำว้าห่ามๆ ปอกเปลือกแล้วโยนใส่ลงในกระทะที่เคี่ยวน้ำตาลเดือดปุดๆ ยังไม่เหนียวเป็นน้ำลายวัวประมาณ 15 นาที กล้วยน้ำว้าจะเคลือบน้ำตาลพอประมาณ ไม่หวานเหมือนกล้วยเชื่อม เนื้อกล้วยจะเหนียวเคี้ยวสู้ฟัน นำมากินกับหัวกะทิ หมดไป 5-6 ลูกโดยไม่รู้ตัวจะบอกให้

ใครอยากกินกล้วยลอยน้ำตาล ต้องไปพักที่รีสอร์ทบ้านแสงจันทร์ กินอาหารเมนูพื้นบ้านและกินของหวานกล้วยลอยน้ำตาล บ้านแสงจันทร์ ไม่ใช่ร้านอาหาร ดังนั้น การบริการอาหารจึงเป็นเฉพาะผู้ที่มาพักในรีสอร์ทบ้านแสงจันทร์เท่านั้น

ส่วนคนที่อยากได้กะปิคลองโคน น้ำตาลบางช้างแบบโบราณ ต้องติดต่อกับบ้านแสงจันทร์โดยตรงที่หมายเลข 08-1857-4593 จะได้กินอาหารพื้นบ้าน กินของหวานกล้วยลอยน้ำตาล ซื้อกะปิคลองโคน เรียบร้อยทุกประการ รับรอง หอม หวาน มัน สมปรารถนาแบบไม่รู้ลืมเหมือนน้ำตาลแม่กลอง

น้ำตาลมะพร้าว "น้ำตาลแม่กลอง"

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำตาลแม่กลอง
"บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน" นี่คือคำขวัญของเมืองไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ 
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบ้านเมืองในสมัยก่อน เต็มไปด้วยเรือกสวนไร่นา เราได้ข้าวจากนา แต่ผลไม้นานาชนิดได้มาจากสวน โดยเฉพาะสวนมะพร้าว ที่ทำน้ำตาลเป็นอาชีพ ส่งขายทั่วเมืองไทย ทำรายได้แก่ชาวสวนมะพร้าวบางช้างเป็นเงินมหาศาล มีการเก็บอากรสวนเป็นรายได้ของแผ่นดินสมัยรัตนโกสินทร์นำมาใช้จ่ายในการทะนุบำรุงแผ่นดินจากสวนบางช้างนี่แหละ

พอพูดถึงบางช้าง หลายคนคงจะสับสนกับคำว่า "แม่กลอง" จึงขออธิบายเรื่องนี้ให้ฟังเสียก่อน 
แม่กลองคือคำที่เรียกจังหวัดสมุทรสงครามสมัยรัตนโกสินทร์ โดยนำเอามาจากชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวจังหวัดว่าแม่กลอง และสถาปนาชื่อใหม่เป็น "สมุทรสงคราม"
ส่วน บางช้างนั้นเป็นตำบลที่รัชกาลที่ 2 ประสูติ เป็นบ้านของเศรษฐีซึ่งเป็นตา-ยาย ของรัชกาลที่ 2 ทุกวันนี้คือ "วัดอัมพวันเจติยาราม" ใกล้กับอุทยาน ร.2 ตำบลบางช้าง มีชุมชนอยู่ 3 บาง คือ บางพรม บางพลับ บางจาก ที่เต็มไปด้วยสวนมะพร้าวตั้งแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้

รัชกาลที่ 2 มีพระราชมารดาเป็นชาวบางช้าง ดังนั้น เครือญาติของรัชกาลที่ 2 ฝ่ายมารดาจึงได้รับพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ 6 ว่า "ณ บางช้าง" นับ "ราชินิกุล" ทางฝ่ายมารดา

"บางช้าง" นอกจากจะเป็นแหล่งเกี่ยวพันกับบรมราชจักรีวงศ์แล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลมะพร้าวที่รู้จักกันในชื่อ "น้ำตาลแม่กลอง" ในรูปของน้ำตาลปึก น้ำตาลปี๊บ นั่นเอง

ปัจจุบันการทำน้ำตาลจากการเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวแต่อย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอแก่ความต้องการในตลาด จึงใช้น้ำตาลทรายจากอ้อย ที่มีปริมาณมากผสมกับน้ำตาลมะพร้าวสด ทำให้ได้ผลผลิตเพียงพอกับการจำหน่ายในตลาด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การปลอมปน เพราะการใช้น้ำอ้อยก็เป็นการให้ความหวานจากธรรมชาติเช่นเดียวกัน ให้ความหวานเหมือนกัน แต่น้ำตาลแห้งที่เคี่ยวจากน้ำตาลใส ที่รองจากงวงมะพร้าวแต่อย่างเดียวจะมีความหอม ความมัน ผิดกันจนรู้สึกได้ สำหรับคนที่ใช้น้ำตาลโบราณมาจนชิน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วน้ำตาลแม่กลองยังมีรสชาติเป็นเลิศอยู่อย่างเดิม

สวนมะพร้าวในเมืองไทยนั้นมีแหล่งใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือ เกาะสมุย และสมุทรสงคราม มะพร้าวเกาะสมุยนั้นปลูกบนพื้นดิน เก็บผลมะพร้าวแก่มาทำเป็นมะพร้าวแห้ง ส่วนสมุทรสงครามปลูกบนขนัดสวนในท้องร่องที่มีน้ำล้อมรอบ ขายมะพร้าวอ่อนและน้ำตาลมะพร้าวได้จากงวงมะพร้าว

ชีวิตของชาวสวนมะพร้าวนั้น เป็นวิถีชีวิตที่เหนื่อยยาก ต้องตื่นแต่ตีห้า เตรียมกระบอกไม้ไผ่ขึ้นพะองปีนป่ายเอากระบอกไปรองน้ำตาลจากงวงมะพร้าว ตอนเที่ยงขึ้นไปเก็บน้ำตาลใสเปลี่ยนกระบอกใหม่ เพื่อรองน้ำตาลตอนเย็น ในช่วงว่างก็เคี่ยวน้ำตาลจากน้ำตาลใสให้เป็นน้ำตาลแห้ง น้ำตาลปึก น้ำตาลปี๊บ ส่งตลาด

การทำน้ำตาลตามวิธีดั้งเดิมไม่มีเครื่องทุ่นแรง ใช้แรงงานแต่อย่างเดียว มาถึงยุคที่ใช้แรงงานในครอบครัวไม่ได้เพราะอายุมาก ก็หาแรงงานมาช่วย ซึ่งหายากเต็มทีเพราะเป็นงานที่เหนื่อยมาก ลูกหลานชาวสวนจึงไปหาอาชีพอื่นทำ ทิ้งสวนให้พ่อแม่ทำ บางรายที่ได้มรดกเป็นสวนก็ขายที่ทำรีสอร์ต ทำให้อนาคตของน้ำตาลบางช้างเปลี่ยนแปลงใหม่ จนไม่เหลือวิถีชีวิตชาวสวนดั้งเดิมให้เราได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้

มีชาวแม่กลองกลุ่มหนึ่ง ยังยืนหยัดใช้ชีวิตชาวสวนดั้งเดิม ยังรองน้ำตาลจากงวงโดยปลูกมะพร้าวไม่ต้องปีนพะองขึ้นตาลแบบเก่า ได้น้ำตาลใสมาก็รวมกันเคี่ยวตาลที่ไม่ผสมน้ำตาลอื่น เป็นน้ำตาลมะพร้าวแท้ขายได้ราคาแพง แต่ก็มีลูกค้าซื้อจนไม่พอขาย แต่การผลิตนั้นผลิตได้น้อย เงินทองที่ได้รับก็เพียงพอกับคนที่รู้จักสถานะของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งวิถีชีวิตแบบนี้จะทำให้การทำน้ำตาลบางช้างแบบโบราณจะไม่สูญหายไปอย่างแน่นอน

ที่สวนของคุณชาตรี วาจี-สัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนที่เคี่ยวน้ำตาลจากมะพร้าวตามแบบโบราณ ได้เห็นการแขวนกระบอกไม้ไผ่ ที่ใช้รองน้ำตาลใสที่หยดจากงวงตาล โดยใส่ไม้พะยอมชิ้นเล็กไว้ในกระบอก เพื่อกันน้ำตาลบูดจากความร้อน แทนสารกันบูดตามวิธีสมัยโบราณที่ไม่ใช้สารเคมี เมื่อเก็บน้ำตาลจากกระบอกมารวมกันเป็นน้ำตาลใส ก็จะนำมากรองให้เศษผงต่างๆ เช่น ไม้พะยอม ตัวผึ้งต่างๆ ออกไปเหลือแต่น้ำตาลใสสะอาด นำมาเทลงกระทะใช้ความร้อนเคี่ยวน้ำตาลให้เดือดจนเป็นยางเหนียว ที่ชาวบ้านเรียกว่า "เหนียวเป็นน้ำลายวัว" จากนั้นก็จะใช้ "กรง" ครอบกระทะกันน้ำเดือดล้นกระทะ เมื่อน้ำตาลได้ที่ก็ยกกระทะน้ำตาลมาวางบนยางรถยนต์ แล้วใช้ขดลวดที่มีด้ามยาวกระแทกน้ำตาลให้ปราศจากฟอง จนน้ำตาลแห้งเนื้อเนียนทั่วกัน แล้วนำไปหยอดลงในถ้วยตะไล ที่มีผ้าขาวบางปูรองรับจนหมดกระทะ ล่อนน้ำตาลออกจากถ้วยตะไล เป็นการเสร็จการเคี่ยวน้ำตาลแบบโบราณ ที่มีการทำหลงเหลืออยู่ไม่กี่สวน และเคี่ยวน้ำตาลบางช้างโบราณอยู่ไม่กี่เจ้า

น้ำตาลมะพร้าวแบบนี้ มีผู้นิยมซื้อหามาบริโภค แม้กระทั่งฝรั่งจากเนเธอร์แลนด์ ได้มาชมการเคี่ยวน้ำตาลแบบโบราณ อยากจะให้ผลิตส่งเป็นสินค้าออก ผลิตได้กี่ตันจะรับซื้อหมด แต่ชาวสวนผู้ผลิตน้ำตาลบางช้างแบบเก่าไม่สามารถผลิตได้ คนที่อยากซื้อหาน้ำตาลมะพร้าวแบบโบราณ ต้องสั่งจองโดยเข้าคิวกัน เพราะผลิตได้เพียงกระทะละประมาณน้ำตาลแห้ง 30 กก. เท่านั้นเอง คนที่จองจะมารับน้ำตาลได้จาก รีสอร์ท บ้านแสงจันทร์ ของอาจารย์ปรีชา เจี๊ยบหยู ซึ่งรับเป็นตัวแทน

ทุ่งทานตะวันบานที่เขื่อนป่าสัก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทุ่งทานตะวันเขื่อนป่าสัก

ทุกปีทานตะวันจะบานสะพรั่งแถวเขื่อนป่าสัก ในตอนปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนต่อเดือนธันวาคม ทั่วท้องทุ่งจะเต็มไปด้วยสีเหลืองสดไปจนถึงภูเขาสีหม่นที่อยู่สุดสายตา

ความงามของทุ่งทานตะวันลพบุรี สระบุรี ทำให้ผู้คนหลั่ง ไหลมาชมความงามตามธรรมชาติอย่าง ล้นหลาม นอกจากทุ่งทานตะวัน ยังได้ไปชมทะเลสาบที่เขื่อนป่าสักอันกว้างใหญ่ เหมือนยกทะเลมาไว้ท่ามกลางท้องทุ่งสวยงามสุดที่จะพรรณนา ความงามของทุ่งทานตะวันลพบุรี สระบุรี ทำให้ผู้คนหลั่ง ไหลมาชมความงามตามธรรมชาติอย่าง ล้นหลาม นอกจากทุ่งทานตะวันยังได้ไปชมทะเลสาบที่เขื่อนป่าสักอันกว้างใหญ่ เหมือน ยกทะเลมาไว้ท่ามกลางท้องทุ่งสวยงามสุดที่จะพรรณนา

เขื่อนป่าสัก เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมาให้กรมชลประทานศึกษาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เขตลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง กรุงเทพฯ และปริมณฑล พูดง่ายๆ ก็คือ "ไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ" นั่นเอง ทางกรมชลประทานจึงดำเนินการสร้างเขื่อนป่าสัก เป็นแก้มลิงขนาดใหญ่เก็บน้ำไว้ไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล

โครงการนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสร้างแล้วจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่ได้ แต่โครงการตามพระราชดำริก็ดำเนินการสร้างต่อไปเป็นเวลาเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์เมื่อ 30 กันยายน 2542

หลังจากเขื่อนสร้างเสร็จเก็บกักน้ำบรรเทาน้ำท่วมกรุงเทพฯ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการตามพระราชดำริ ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบเป็นปลิดทิ้ง เพราะเขื่อนป่าสักแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นห้าพันไร่ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี มีความจุของอ่างเก็บน้ำ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเท่ากับ 48,000 ล้านปี๊บ (หนึ่งลูกบาศก์เมตรเท่ากับน้ำ 50 ปี๊บ) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่กว้าง ใหญ่ที่สุดในภาคกลาง เป็นอ่างเก็บน้ำและสถานที่ ท่องเที่ยวที่สวยงาม ตลอดจนการทำมาหากินของชาวบ้านที่อยู่บริเวณเขื่อน ซึ่งทุกคนกลายเป็นชาวประมงน้ำจืด จับกุ้ง จับปลา ที่ทางการนำมาปล่อยไว้เมื่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไว้จนเป็นทะเลสาบให้กุ้งปลาหลายชนิดได้แพร่พันธุ์ เติบโต จนมีจำนวนมากพอที่จะจับมาจำหน่ายได้ทุกวัน

กุ้งปลาในเขื่อนนั้น มีกุ้งก้ามกรามซึ่งมีขนาดเฉลี่ย 4-5 ตัวต่อหนึ่งกิโล ขายกันในราคากิโลละ 600 ถึง 650 บาท ถูกกว่ากุ้งแม่น้ำซึ่งมีราคาถึง 800-900 บาทและหายากเข้าทุกที

ปลาสดมีปลาใหญ่อย่างปลาบึกที่เป็นปลาแม่น้ำโขงแต่ก็เติบโตดี มีขนาดใหญ่ถึงตัวละ 200 กิโลเศษ ปลาคังตัวใหญ่หนังหนาเนื้ออร่อย โตขนาดหลายกิโล (แล่เอาเนื้อติดหนังลวกจิ้มน้ำจิ้มแซบ) หรือจะทำแกงส้มหน่อไม้ดองแบบลาวพวนอร่อยจนฝันถึงทีเดียว

เขื่อนป่าสักทุกวันนี้ เป็นแหล่งพักผ่อนท่องเที่ยวที่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ นัก ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ดังนั้นในวันหยุดสุดสัปดาห์จะคึกคักมากที่สุด ไปสัมผัสบรรยากาศทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่ เหมือนอยู่ริมทะเล ขึ้นหอสูงที่ทางจังหวัดจัดสร้างไว้ให้ขึ้นไปชมทัศนียภาพรอบเขื่อนด้วยสายตาของนก กินอาหารอร่อยที่ร้านสวัสดิการเขื่อนป่าสัก แวะซื้อปลาร้า ปลาสด กุ้งสด ปลาตะเพียนตากแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยกลับไปกินที่บ้านเหมือนไปจ่ายตลาดกลางแจ้งที่แสนสบาย

ท่านจะหาความสุขด้วยการไปเที่ยวเขื่อนป่าสักได้ในวันเดียว จะไปวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้ ถ้าอยากจะค้างอ้างแรม ก็มีบ้านพักในเขื่อนหลายหลังซึ่งทางสำนักงานชลประทานที่ 10 เป็นผู้ดูแลและให้บริการ

ตลาดปลาท่าหลวง เขตอำเภอชัยบาดาล ซึ่งตลาดนี้อยู่ริมเขื่อนป่าสัก มีปลาสด ปลาแห้ง ปลาร้าจากเขื่อนจำหน่ายในตลาดแห่งนี้

การไปตลาดท่าหลวงนั้นจะไปทางถนนสระบุรี-ลพบุรี หรือจากลพบุรี เมื่อถึงสี่แยกม่วงค่อมตรงไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะถึงตลาดปลาท่าหลวงที่สะอาดสะอ้าน มีปลาต่างๆให้เลือกซื้อในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ


มะกันส่งแพนด้ากลับจีน บินลัดฟ้าผ่านเฟดเอ็กซ์

มะกันส่งแพนด้ากลับจีน บินลัดฟ้าผ่านเฟดเอ็กซ์

โฆษกประจำสวนสัตว์แห่งชาติในกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ เผยกำหนดการส่งตัว "ไท ชาน" แพนด้าเพศผู้ อายุ 4 ปีครึ่ง คืนให้แก่ทางรัฐบาลจีน เมื่อ 28 ม.ค. ระบุบริษัทเฟดเอ็กซ์ผู้รับผิดชอบขนส่งพัสดุทางอากาศจะนำตัวไท ชาน และเม่ย หลาน แพนด้าเพศเมีย อายุ 2 ปี จากสวนสัตว์ที่แอตแลนตา พร้อมด้วยพี่เลี้ยงและสัตวแพทย์ รวม 2 คน เดินทางไปยังสนามบินเฉิงตูในมณฑลเสฉวนของจีน และเข้าสู่ โครงการปรับตัวแพนด้าให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าในเมืองหวู่หลง

ไท ชาน เป็นแพนด้าตัวแรกที่เกิดในสวนสัตว์ สหรัฐฯ ตามข้อตกลงสันถวไมตรีระหว่างรัฐบาลจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าสหรัฐฯ ต้องส่งตัวลูกแพนด้าที่เกิดจากพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์แพนด้าที่จีนมอบให้ เมื่ออายุได้ 2 ปี แต่ทางการจีนต่อเวลาให้อีก 2 ปีครึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไท ชาน แข็งแรงพอจะเดินทางไกลทางอากาศได้ ขณะที่เฟดเอ็กซ์ระบุว่าการขนส่งแพนด้าไม่ใช่ปัญหา เพราะเคยส่งเสือและสิงโตข้ามประเทศมาก่อน ส่วนจีนเตรียมเปิดนิทรรศการเวิลด์เอ็กซ์โปครั้งใหญ่ จึงสั่งปิดโรงงานหลายแห่งในกรุงปักกิ่งเพื่อฟื้นฟูสภาพอากาศ

ตัวอ้นตกงาน กลุ่มพิทักษ์สัตว์ขอใช้หุ่นยนต์แทน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Groundhog Day

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ว่า กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ หรือ PETA ต้องการให้เทศกาล Groundhog Day หรือเทศกาลวันอ้น พังซ์ซูทาวนีย์ ฟิล เมืองเล็กๆ ในรัฐเพนซิลเวเนีย ใช้หุ่นยนต์อ้น แทนตัวอ้น โดยอ้างว่า ไม่ยุติธรรมสำหรับสัตว์

ทั้งนี้ เทศกาล Groundhog Day จัดขึ้นวันที่ 2 ก.พ. ของทุกปี ที่เมืองพังซ์ซูทาวนีย์ ฟิล ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองพิตส์เบิร์ก ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ราว 105 กิโลเมตร โดยจะนำตัวอ้นมาดูเงาของตัวเองในช่วงฤดูหนาว เพื่อพยากรณ์อากาศในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านตามธรรมเนียมที่ทำกันมานาน เป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อทำนายสภาพอากาศว่า ฤดูใบไม้ผลิจะมาช้าหรือเร็วในปีนั้นๆ นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ในวันเดียวกันยังมีการจัดกิจกรรม และงานเฉลิมฉลองตลอดวันทั้งวันทั้งคืน

ตามคำบอกเล่า ระบุว่า ตัวอ้นจำศีลอยู่ใต้ดิน และเมื่อตัวอ้นขึ้นมา แล้วมองเห็นเงาของตัวเองในวันดังกล่าว แสดงว่าฤดูหนาวจะอยู่ต่ออีกราว 6 สัปดาห์ แต่หากมองไม่เห็นเงา หมายความถึง ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงเร็ว นับเป็นการพยากรณ์อากาศโดยสัญชาตญาณของสัตว์ ที่มนุษย์สังเกต และนำมาประยุกต์ใช้

ลูกละมั่งดวงแข็งรอดคมเขี้ยวชีตาร์ เหตุเจ้าเสืออิ่ม

ลูกละมั่งดวงแข็งรอดคมเขี้ยวชีตาร์ เหตุเจ้าเสืออิ่ม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ว่า เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อขึ้น เมื่อลูกละมั่งรอดชีวิต แถมได้กลายเพื่อนเล่นกับเสือชีตาร์ เนื่องจากนักล่าหนุ่มทั้ง 3 เพิ่งกินมาอิ่มๆ และต้องการพักผ่อนมากกว่า

โดยปกติแล้วเสือชีตาร์จะออกล่าเหยื่อ 2 เวลา ในช่วงเช้าตรู่กับช่วงบ่ายแก่ๆ และเนื่องจากการใช้งานกล้ามเนื้อ เพื่อความเร็วในขณะล่า ทำให้เสือชีตาร์ต้องพักผ่อนหลังจากจัดการกับเหยื่อเรียบร้อยแล้ว

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ละมั่งน้อยตัวหนึ่งที่หลุดเข้าไปกลางหมู่เสือชีตาร์ทั้ง 3 ตัว รอดชีวิตมาได้ โดยช่างภาพ มิเชล เดนิส-ฮุท เป็นคนจับภาพน่าประทับใจเหล่านี้ไว้ได้ ที่ประเทศเคนยาเมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว

มิเชล เล่าว่า เขาได้ติดตามชีวิตของเสือชีตาร์หนุ่มทั้ง 3 มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในเช้าวันหนึ่งพวกมันเดินไปเจอฝูงละมั่งเข้า ทำให้ละมั่งหนีกระเจิดกระเจิง เหลือแต่ละมั่งตัวเล็กที่หนีไม่ทัน แต่นักล่าทั้ง 3 ก็ไม่ได้ทำอะไรมันนอกจากเลียตามลำตัวหรือไม่ก็เอาอุ้งเท้าไว้บนหัวเท่านั้น

ภาพโดย เดลี่ เมล์ 
www.dailymail.co.uk

ตะลึง! แจกันจักรพรรดิจีน 27 ล้านบาท กลายเป็นที่เสียบร่ม

ตะลึง!แจกันจักรพรรดิจีน 27 ล้านบาท กลายเป็นที่เสียบร่ม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 ม.ค. ว่า แจกันจีนของอดีตสมเด็จพระจักรพรรดิเฉียนหลง ที่ครอบครัวหนึ่งใช้เป็นที่เสียบร่มแบบไร้ราคา ถูกพบโดยนักประมูลว่ามีมูลค่ากว่า 500,000 ปอนด์ หรือราว 27 ล้านบาท

นักประมูล แมทธิว เดนนีย์ เป็นคนสังเกตเห็นเครื่องเคลือบที่มีลวดลายงดงามนี้ และเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมจึงพบว่า แจกันที่พบในบริเวณเพอร์เบ็ค ในเขตดอร์เซ็ตนี้เคยเป็นของอดีตสมเด็จพระจักรพรรดิเฉียนหลง เมื่อประมาณ 270 ปีที่ผ่านมา

หลังจากนำไปตีราคาพบว่า ที่เสียบร่มนี้มีมูลค่าถึง 500,000 ปอนด์ (ราว 27 ล้านบาท) แต่น่าเสียดายที่มันมีรอยตำหนิ ไม่งั้นราคาอาจเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า โดยกาย ชวิกเค จากห้องประมูลดุคส์ บอกว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งมอบแจกันที่พวกเขาไม่ทราบมูลค่าที่แท้จริงนี้มาให้เพื่อประมูล

ชวิกเค เล่าว่า เจ้าของครอบครองมันมานานกว่า 50 ปี แต่ไม่ทราบถึงความสำคัญของมัน จึงนำมันไปกองไว้รวมกับข้าวของอื่นๆ และใช้เป็นที่เก็บร่ม จนแมทธิว เดนนีย์ ไปพบในระหว่างการตีราคา อีกทั้งยังมีโอกาสว่าแจกันนี้จะเคยอยู่ในมือของฟลอเรนซ์ ไนติงเกล อีกด้วย

ทั้งนี้ตรงฐานของแจกันมีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ติดอยู่ แต่ยังไม่ทราบว่าแจกันนี้เข้ามาถึงอังกฤษได้อย่างไร โดยสันนิษฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับเอ็มบลีย์ คอร์ท ในแฮมเชียร์ ที่ครอบครัวของ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เคยอาศัยอยู่

ภาพโดย เดลี่ เมล์ 
www.dailymail.co.uk