เมื่อได้ยินคำว่า Rally ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ หมายถึง การแข่งขันรถยนต์ทางไกลที่มีผู้นิยมจัดเส้นทางแรลลี่ระยะทางไกลจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์
ทราบมาว่า จะมีการจัดแข่งขันแรลลี่ข้ามประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์–เชียงราย โดยใช้ชื่อการแข่งขันครั้งนี้ว่า "CITROEN RALLY TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE" เป็น แรลลี่ทัวร์ของคณะ TRACTIONS SANS FROTIERES FRANCE จากประเทศเบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีและเรียนรู้วัฒนธรรมวิถี ชีวิตไทย พร้อมทำกิจกรรมสาธารณกุศล
การแข่งขันครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากปี 2552 คุณญาณ (Mr.Yann) และคุณเจอราดีน (Mrs. Geradine) สองสามีภรรยาชาวฝรั่งเศส ขับรถยนต์ตู้ซีตรองรุ่นฮาชีล (HACHILLE) หรือรุ่นหน้าหมูโบราณ (รุ่นปี ค.ศ.1947) เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย โดยขับรถตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ บันทึกภาพและเหตุการณ์ ที่ได้พบเห็นอย่างละเอียด ที่สำคัญ ทั้งสองได้มาพบกับคุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม ที่มีรถเก่าโบราณแบบและรุ่นต่างๆ ทั่วโลกกว่า 1,000 คัน
เมื่อกลับไปฝรั่งเศส สองสามีภรรยาเกิดความประทับใจ จึงนำเรื่องราวที่ได้พบเห็นในประเทศไทยเขียนลงนิตยสาร GAZOLINE และทำข่าวสารคดีท่องเที่ยวทั่วโลก ในรายการโทรทัศน์ VOYAGE CHANEL ออกอากาศ 160 ประเทศทั่วโลก ทางสมาคมรถยนต์ซีตรองแทรคชั่นไร้พรมแดน (CITROEN TRACTIONS SANS FROTIERES) จึงได้ป่าวประกาศไปถึงสมาชิกผู้รักรถโบราณ ชักชวนกันนำรถซีตรองรุ่นแทรคชั่น เดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยและมาเลเซียโดยใช้เวลา 21 วัน และที่สำคัญที่สุดคือ มาดูซิว่าคนไทยธรรมดาๆ อย่างคุณเจษฎา ทำไมจึงมีพิพิธภัณฑ์สะสมรถโบราณ ที่หายากมากมายขนาดนี้ แถมยังให้เข้าชมฟรีด้วย อย่ากระนั้นเลยโปรแกรมการแข่งขันแรลลี่ครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
เริ่มจากเอารถซีตรองโบราณทั้งหมดลงเรือ มาขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ และท่องเที่ยวในมาเลเซีย 8 วัน จากนั้นเข้ามาประเทศไทยทางด่านสะเดา พักค้างคืนจุดแรกที่ จ.ตรัง ผ่านชุมพรจนมาถึงหัวหินพัก 1 คืน จึงขับขึ้นมาจนถึงพิพิธภัณฑ์รถโบราณ เจษฎามิวเซียม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชมรถโบราณให้หายอยากแล้วเข้าที่พักที่โรงแรมสวนสามพราน เพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ตามแบบฉบับสวนสามพราน รุ่งขึ้นเดินทางขึ้นเหนือ พักนครสวรรค์ พิษณุโลก แห่งละ 1 คืน ขับต่อไปเที่ยวชมมรดกโลกที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 1 คืน จากนั้นขึ้นไปค้างลำปางอีก 1 คืน และไปจบที่ จ.เชียงราย อยู่ท่องเที่ยวชมความงามของล้านนา ทำกิจกรรมสาธารณกุศลรวม 3 คืน จึงล่องกลับมาพักที่พิษณุโลก 1 คืน เรื่อยมาจนถึงอยุธยา พักชมอุทยานประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาอีก 1 คืน
รุ่งเช้าเป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ขบวนรถจะขับเข้ากรุงเทพฯ มาเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล แล้วจะเอารถทั้งหมดไปจอดไว้ที่สนามเสือป่า คราวนี้ล่ะสนุกแน่ๆ สำหรับฝรั่งต่างชาติ เพราะคณะผู้เข้าแข่งขันแรลลี่ทุกคน จะไปทัวร์ที่ถนนข้าวสาร ที่เลื่องชื่อลือชา เพื่อชมวิถีชีวิตคนไทย และรับประทานอาหารเย็นที่นี่ พอตกค่ำก็จะนั่งรถ London Bus ชมแสงสีไฟประดับประดางานเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และความงามยามราตรีของกรุงเทพฯ
รุ่งเช้าเป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ขบวนรถทั้งหมดจะร่วมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจะขับรถเป็นขบวนไปตามถนนราชดำเนิน เลี้ยวเข้าเยี่ยมคารวะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบริเวณเสาชิงช้า กิจกรรมตอนบ่ายจะอยู่รอบๆเกาะรัตนโกสินทร์ ตกเย็นก็จะได้ดื่มด่ำรสชาติอาหารไทยกับบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบนเรือสำราญ
อีก 2 วันก็จะไปชมเมืองโบราณ วังสวนผักกาด มาบุญครอง วัดยานนาวา พระบรมมหาราชวัง และร่วมงานเลี้ยงอำลาที่ หอประชุมกองทัพเรือ ในวันที่ 15 ส.ค.2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในเมืองไทย เวลา 01.25 น. ก็ขึ้นเครื่องบินกลับ ส่วนรถก็ลงเรือที่ท่าเรือกรุงเทพฯ กลับไปเจอเจ้าของที่บ้าน
เท่าที่เล่ามานี้ก็อยากให้พวกเราชาวไทย ที่อยู่ตามเส้นทางที่ขบวนแรลลี่ทัวร์คณะนี้แล่นผ่าน ไปช่วยกันต้อนรับและทักทาย ถ่ายรูปในฐานะเจ้าของบ้านก็ไม่ผิดกติกา กิจกรรมการแข่งขันแรลลี่ทัวร์แบบนี้ เมื่อฝรั่งเขากลับไปบ้านเขาแล้ว เขาจะได้ไปเล่าสู่กันฟังว่าประเทศไทยสวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เป็นการการันตีว่าบ้านเมืองของเราสงบสุขแล้ว
ต้องขอชมเชย คุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ และทีมงานที่เป็นเจ้าภาพดูแลคณะแรลลี่ทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น