แหวนแต่งงาน....สัญลักษณ์แห่งรักอมตะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Vein of Love

คราวนี้เราจะมากล่าวถึงเครื่องประดับชิ้นสำคัญในพิธีแต่งงาน ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ เหตุใดจึงใช้แหวนแทนคุณค่าทางใจในวันสำคัญ เนื่องจากแหวนมีลักษณะเป็นวงกลม ซึ่งแสดงความไม่มีสิ้นสุด สัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงว่าความรักที่มีให้กันนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุดค่ะ

ที่มาของการเลือกให้นิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วสำหรับแหวนแต่งงาน เกิดขึ้นเพราะคนเชื่อว่านิ้วนางข้างซ้ายนั้นมีเส้นเลือดเชื่อมต่อตรงไปถึงหัวใจ ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างมือและหัวใจ จึงมีการตั้งชื่อเส้นเลือดดังกล่าวว่า Vena Amori อันเป็นภาษาละตินซึ่งมีหมายความว่า "เส้นเลือดแห่งความรัก" (Vein of Love) ตามความเชื่อดังกล่าว ผู้คนจึงนิยมให้สวมแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย และการสวมแหวนแต่งงานในนิ้วนางข้างซ้ายนี้เอง เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า คู่แต่งงานได้ประกาศมอบความรักนิรันดรให้แก่กันและกัน จนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้

ชนกลุ่มแรกที่เริ่มใช้แหวนแต่งงาน คือ ชาวอียิปต์ โดยปรากฏหลักฐานจากอักษรภาพที่แสดงความหมายของวงกลม ซึ่งหมายถึง ความเป็นนิรันดร์ และแหวนแต่งงานก็คือ ความหมายแห่งรักแท้ที่จะอมตะนิรันดรสืบไปตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย

ในสมัยกลางในยุโรป พิธีแต่งงานของชาวคริสต์จะมีการสวมแหวนแต่งงานเรียงกันมาตั้งแต่นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง ของมือข้างซ้าย เพื่อแสดงถึงหลักตรีเอกานุภาพของศาสนา อันได้แก่ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ก่อนที่ในเวลาต่อมา คู่สมรสจะสวมเพียงนิ้วนางข้างซ้ายเพียงนิ้วเดียว ซึ่งในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ แหวนแต่งงานจะนิยมสวมบนนิ้วนางข้างซ้าย อย่างไรก็ตามในบางประเทศ เช่น เยอรมนี และชิลี แหวนแต่งงานจะถูกใช้สวมบนนิ้วนางข้างขวาแทน ชาวคริสต์นิกายออร์โทดอกซ์ พวกยุโรปตะวันออกและชาวยิวมีธรรมเนียมการสวมแหวนแต่งงานข้างขวาเช่นกัน ขณะในเนเธอร์แลนด์ และกลุ่มชาวคริสต์นิกายคาทอลิก จะสวมแหวนแสดงความรักนี้บนนิ้วนางข้างซ้าย

บ้างก็ใช้แบบแหวนเกลี้ยงเรียบๆ เพื่อแสดงถึงความไม่สิ้นสุดแห่งความรัก โดยบางครั้งอาจจะเป็นแหวนทองเรียบๆ หรือแหวนทองคำผสมกับทองคำขาว สำหรับแหวนอีกประเภทหนึ่งคือแหวนครบรอบแต่งงาน Anniversary Ring จะใช้แหวนประดับเพชร 3 เม็ด Trinity Ring ซึ่งแทนความหมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมักจะกำหนดน้ำหนักของเพชรให้ทั้ง 3 เม็ด มีน้ำหนักรวมกันเท่ากับ 1 กะรัต พอดี



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น