สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานภาพฝีพระหัตถ์ "ปีกุนหมูอยู่ยั่งยืน" ส.ค.ส. ปีใหม่


สมเด็จพระเทพรัตนฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ พ.ศ. 2562 กับภาพฝีพระหัตถ์ "ปีกุนหมูอยู่ยั่งยืน" พร้อมกับพระราชทานพรปีใหม่ให้แก่ปวงชนชาวไทย 
วันนี้ (25 ธ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2562 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ซึ่งเป็นภาพฝีพระหัตถ์ “ปีกุนหมูอยู่ยั่งยืน” ในการนี้ยังพระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรชาวไทย 
โดยบัตรอวยพรปีใหม่ดังกล่าว ประกอบด้วยภาพฝีพระหัตถ์ เป็นภาพหมูตัวอ้วนกลมสีชมพู หน้าตาสดใส ดวงตาเป็นประกาย สวมหมวกสีฟ้าที่มีข้อความ “ภูฟ้า” ซึ่งหมายถึง “ร้านภูฟ้า” ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการพัฒนาต่างๆ หนึ่งในโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร มีฐานะยากจน ให้มีอาชีพเสริมเพิ่มรายได้
พร้อมด้วยข้อความพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่แก่ปวงชนชาวไทย ความว่า “สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ สวัสดีปีกุนหมูอยู่ยั่งยืน เรื่องหมูหมูอย่าคิดว่าเป็นหมู พิเคราะห์ดูไม่มีอะไรง่าย รายละเอียดซับซ้อนและมากมาย ปัญญาฉายส่องให้ทำได้ดี ปีกุนหรือปีหมูดูให้แน่ ว่าของแท้งามเลิศเกิดศักดิ์ศรี กุศลกรรมเป็นทุนหนุนชีวี ให้สุขีปีหมูอยู่ยั่งยืน” และทรงลงพระนามาภิไธย “สิรินธร”

ポイ捨て禁止 อย่าทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง (นะจ้ะ)


วันหยุดปีใหม่นี้ เตรียมตัวออกเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้ว ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียง อยากชวนให้ไปเที่ยวแบบมีจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม ฝากทุกคนช่วยกันดูแลสถานที่ท่องเที่ยว รักษาความสะอาดกันด้วยน๊าาา เพราะแค่การละเลยของเรานิดเดียว ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อนร่วมโลกเราได้มากมายเลยค่ะ 🐳🐾🐘🦌

ポイ捨て禁止

poi sute kinshi

อย่าทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง (นะจ้ะ)


=====


ポイ poi เสียงทิ้งของ เป็น 擬音語 kiongo หรือคำเลียนเสียงในภาษาญี่ปุ่น (ซึ่งในที่นี้เป็นเสียงทิ้งของแบบเรี่ยราด หรือเสียงของหล่นนั่นเองค่ะ)

捨てる suteru ทิ้ง

禁止 kinshi ห้าม

อวยพรคริสต์มาสทั้งทีต้องอ่านว่าอย่างไรหว่า???


ด้วยความคุ้นเคยที่พูดต่อๆ กันมานาน เชื่อว่าคนไทยหลายคน จะต้องอ่าน Merry Christmas ว่า "เมอร์รี่คริสต์มาส" เก๊าเองก็เคยอ่านแบบนี้มานาน แต่รู้หรือไม่คะ ว่าแท้จริงแล้วคำคำนี้ อ่านว่า "แมรี่" เช่นเดียวกันกับคำว่า strawberry ก็อ่านว่า สตรอว์แบรี่เช่นกัน 

หลังจากนี้ จะอวยพรวันคริสต์มาสให้ใคร ให้พูดชัดๆ ดังๆ ไปเลย ว่า แมรี่คริสต์มาส Merry Christmas แฮ๊ปปี้ๆ นะคะทุกคน

พระพุทธมหาจักรพรรดิ วัดนางนอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระพุทธมหาจักรพรรดิ วัดนางนอง

พระประธานในพระอุโบสถ คือ พระพุทธรูปสำริดปิดทอง เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยพระนาม “พระพุทธมหาจักรพรรดิ” พระพักตร์พุทธศิลป์อย่างสมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 2 เมตร 25 เซนติเมตร เครื่องทรงที่ประดับทุกชิ้นแยกออกจากองค์พระ สวมทับลงไว้ ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีปั้นลายปิดทองประดับกระจก เป็นงานประติกมากรรมชิ้นเยี่ยมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีความงามวิจิตรอลังการปลูกความเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้เข้ามาสักการะ 

มีประวัติสำคัญคือ ได้มีการนำมงกุฎของพระพุทธรูปที่วัดนางนอง ไปประดิษฐานยังยอดของตรีศูลพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ภายหลังจึงมีการสร้างถวายคืนให้ในรัชกาลของพระองค์

นางสนองพระโอษฐ์


นางสนองพระโอษฐ์ (lady-in-waiting) หมายถึง สตรีผู้ช่วยส่วนพระองค์ในราชสำนัก ซึ่งถวายการรับใช้แด่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี เจ้าฟ้าหญิง หรือสตรีสูงศักดิ์ 

นางสนองพระโอษฐ์ มักจะมีพื้นหลังมากจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมสูง แต่มีฐานันดรต่ำกว่าสตรีที่ตนรับใช้ ซึ่งแม้ว่านางสนองพระโอษฐ์คนใด จะรับค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม มักจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นคนรับใช้หรือข้าราชบริพาร

นางสนองพระโอษฐ์ ยังหมายถึง กลุ่มของสตรีผู้มีฐานะครอบครัว บรรดาศักดิ์ และตำแหน่งหน้าที่ทางการที่หลากหลาย ซึ่งความแตกต่างกันในฐานะ บรรดาศักดิ์ และตำแหน่งหน้าที่เหล่านี้ มักจะมีเกียรติศักดิ์สูง 

พระบรมวงศานุวงศ์หญิง หรือสตรีผู้สูงศักดิ์ อาจทรงสามารถเลือกนางสนองพระโอษฐ์ได้ด้วยพระองค์เองหรือไม่ก็ได้ แต่แม้ว่าจะทรงมีสิทธิในการเลือกนางสนองพระโอษฐ์ได้อย่างเสรี หากตามประวัติศาสตร์แล้ว การตัดสินใจดังกล่าว มักจะได้รับอิทธิพลจากองค์พระมหากษัตริย์ พระราชบิดา-พระราชมารดา พระราชสวามี หรือเหล่าเสนาบดีของพระมหากษัตริย์

สำหรับในราชสำนักไทยนั้น นางสนองพระโอษฐ์เป็นตำแหน่งของสุภาพสตรีสูงศักดิ์ ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก จากความหมายของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ระบุว่า คุณพนักงานหญิงที่แต่งงานแล้ว มีหน้าที่รับพระราชเสาวนีย์ ไปปฏิบัติหรือเชิญพระราชเสาวนีย์ไปติดต่อข้อราชการตามพระราชประสงค์ของพระราชินี

ผู้ที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ท่านแรกในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ก็คือ ท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร* และ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ (สนิทวงศ์) บุนนาค** ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวานที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนางสนองพระโอษฐ์เพิ่มเติมอีก 24 ท่าน

โดยท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา*** คือนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ที่เป็นคนสุดท้ายในรัชกาลที่ 9 คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2545 เพราะหลังจากนั้น ก็ไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนางสนองพระโอษฐ์อีกเลยตลอดรัชสมัย

จวบจนกระทั่งวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ รัชกาลที่ 10 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ท่านผู้หญิงรวิจิตร์ สุวรรณบุบผา**** เป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ซึ่งนับเป็นนางสนองพระโอษฐ์ท่านแรกในรัชกาลที่ 10 และเมื่อวานนี้ (23 ธันวาคม 2559) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ หม่อมหลวงอรจิตรา (ทวีวงศ์) สนิทวงศ์ ณ อยุธยา***** ผู้อำนวยการสถาบันสิริกิติ์ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จึงเป็นนางสนองพระโอษฐ์ท่านที่ 2 ที่ได้รับการแต่งตั้งในรัชกาลที่ 10


หมายเหตุ
* เป็นธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) สมรสพระราชทานกับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (ก๊าด วัชโรทัย) มีบุตรชายชื่อ ''แก้วขวัญ วัชโรทัย'' กับ ''ขวัญแก้ว วัชโรทัย''

**เป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาเพียงท่านเดียวของหม่อมหลวงบัว กิติยากร พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ....ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ฯ สมรสกับนายสุรเทิน บุนนาค

***เป็นภรรยาของ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการพระราชวังและผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

**** นามราชสกุลเดิม ''วรวรรณ''

*****นามราชสกุลเดิม ''ทวีวงศ์'' เป็นภรรยาของ พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (บุตรชายของ หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ สมาชิกวงลายคราม และวง อ.ส. วันศุกร์ วงดนตรีแจ๊สส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช )


ปล.
นางจีรนันทน์ ลัดพลี หรือ ''จีรนันท์ เศวตนันทร์'' อดีตนางสาวไทย พ.ศ. 2508 และอดีตรองนางงามจักรวาล พ.ศ.2509 ในการประกวดที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนางสนองพระโอษฐ์ฯ ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2523 เป็นนางสนองพระโอษฐ์ฯ เพียงท่านเดียวที่ไม่ได้มีคำนำหน้านามเป็น ''คุณหญิง'' หรือ ''ท่านผู้หญิง''....ปัจจุบัน ''จีรนันท์ เศวตนันทร์'' ได้กราบบังคมทูลลาออกจากการเป็นนางสนองพระโอษฐ์แล้ว

อยากเป็นพ่อที่ดี

ทำไมม้าลายถึงมีลาย?

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ม้าลาย

นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
1. ลายของม้าลายมีไว้พรางตัว
ถ้าเราใส่ชุดที่มีลายเหมือนม้าลายไปเดินห้างหรือตลาด เราคงจะเด่นมาก แต่สำหรับสัตว์ผู้ล่าของมันอย่างสิงโตที่ตาบอดสีแล้ว ลายของม้าลายช่วยให้มันดูกลมกลืนไปกับต้นหญ้ารอบๆ ที่ใบเรียงเป็นเส้นๆ ตั้งตรงคล้ายกับลายม้าลาย

ยิ่งไปกว่านั้น ม้าลายมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลวดลายบนตัวจะช่วยให้พวกมันดูกลมกลืนกันไปหมดจนผู้ล่ามองแล้วแยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน ยิ่งเมื่อพวกมันเคลื่อนไหว สัตว์ผู้ล่าก็ยิ่งมึน ซึ่งการแยกม้าลายแต่ละตัวไม่ออกนั้นยากต่อการวางแผนเคลื่อนไหวและไล่ล่า หรือแม้แต่การพยายามมองหาม้าลายที่ดูอ่อนแอ


2. ลายของม้าลายมีไว้กันแมลง
Tim Caro นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ทำการทดลองกับพื้นผิวที่มีลายอย่างม้าลายด้วยความกว้างของลายที่แตกต่างกันจนพบว่าแมลงที่มาดูดเลือดสัตว์มักจะไม่ชอบพื้นผิวที่เป็นแถบสีสลับกัน แต่พวกมันจะชอบเกาะตามพื้นผิวสีเข้มหรือสีอ่อนเพียงอย่างเดียวมากกว่า

แมลงดูดเลือดหลายชนิดมีโรคที่ทำให้ถึงตายแถมมาด้วย ลวดลายที่ช่วยลดโอกาสในการถูกดูดเลือดย่อมช่วยให้ม้าลายมีโอกาสรอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก

คำถามที่ยังค้างคาอยู่คือ แล้วทำไมแมลงจึงไม่ชอบพื้นผิวลายบาร์โค้ดของม้าลาย
งานวิจัยบางชิ้นอธิบายว่า สีขาวและสีดำส่งผลต่อสภาพการโพลาไรซ์ของแสงซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการมองเห็นของแมลง ส่งผลให้แมลงไม่ชอบร่อนลงมาเกาะนั่นเอง


3. ลายของม้าลายมีไว้เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย
นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่าบริเวณลายสีดำจะมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณสีขาวเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดกระแสอากาศไหลเล็กๆ ทำให้ร่างกายของม้าลายเย็นลง

นักวิทยาศาสตร์ทำการเก็บข้อมูลอุณหภูมิร่างกายของม้าลายในธรรมชาติด้วย thermometer gun จึงไม่ต้องไปสัมผัสกับร่างกายของม้าลายโดยตรง จนพบว่าร่างกายของมันมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าสัตว์กินพืชที่มีขนาดใกล้เคียงกันในบริเวณนั้น (แต่ลายตรงอวัยวะอย่างขาที่ไม่ได้โดนแสงแดดโดยตรงอาจไม่ได้ช่วยในการปรับอุณหภูมิร่างกาย แต่อาจมีหน้าที่หรือประโยชน์อย่างอื่น)



แล้วทฤษฎีไหนถูกต้อง?
ปัจจุบันโลกของวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ฟันธงลงไปอย่างชัดเจน คำตอบที่ถูกต้องอาจมีมากกว่าหนึ่ง และที่น่าสนใจคือ ทุกทฤษฎีที่กล่าวมานี้ล้วนมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ปฏิเสธคัดง้าง

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าลายของม้าลายมีประโยชน์จริงๆ อย่างที่ทฤษฎีต่างๆ ว่ามา (หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น) แล้วทำไมม้าทุกตัวถึงไม่มีลายอย่างม้าลาย? คำตอบอาจเป็นเพราะม้าลายนั้นดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและแตกต่างไปจากม้าพันธ์ุอื่นๆ



เกร็ดแถมท้าย
แม้ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะยังไม่มีความชัดเจนว่าลายของม้าลายเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร แต่สิ่งที่มนุษย์เรารู้แน่ๆ คือ ม้าลายนั้นไม่เหมาะต่อการนำมาขี่

การพยายามฝึกม้าลายให้เชื่องนั้นยากมาก มันเป็นสัตว์ที่อารมณ์แปรปรวน ถิ่นกำเนิดและที่อยู่อาศัยของมันคือแอฟริกาซึ่งศัตรูโดยธรรมชาติคือสิงโต เสือชีตาร์ และพวกหมาไน ม้าลายจึงมีสัญชาติญาณสัตว์ป่าที่พยายามเอาตัวรอดสูง ส่งผลให้มันมีความระแวดระวัง จนถึงโต้ตอบด้วยการถีบหรือกัดอย่างรุนแรงหากใครพยายามจะไปจับมันเข้า


เราจึงไม่เห็นใครขี่ม้าลายกันเป็นเรื่องปกติเหมือนการขี่ม้านั่นเอง

ชวนย้อนอดีต ที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี”

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี

“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี” เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2534 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งมีการจัดแสดงนิทรรศการถาวรที่เน้นเรื่องราวของท้องถิ่น ทั้งทางด้านธรณีวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมพื้นบ้าน ชาติพันธุ์วิทยา และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดราชบุรี ประกอบไปด้วยอาคารสำคัญ 2 หลัง ได้แก่ 

“อาคารทำเนียบสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์” (ช่วง บุนนาค) ปัจจุบันเป็นอาคารส่วนบริการโดยชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหมุน เวียนและกิจกรรมพิเศษต่างๆ ส่วนชั้นบนใช้เป็นสำนักงานและคลังจัดเก็บศิลปะโบราณวัตถุเพื่อการศึกษาของพิพิธภัณฑ์

ส่วนอาคารอีกหลังก็คือ “อาคารนิทรรศการถาวร” (ศาลากลางจังหวัดราชบุรีหลังเดิม) ภายในจัดแสดงเรื่องราวของท้องถิ่นตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 หัวข้อ จำนวนทั้งหมด 12 ห้อง เริ่มที่หัวข้อแรกคือ “สภาพภูมิศาสตร์และธรรมชาติวิทยา” จัดแสดงอยู่ในห้องที่ 1 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับด้านภูมิประเทศของจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง (กาญจนบุรีและเพชรบุรี)

หัวข้อต่อมาคือ “ประวัติศาสตร์และโบราณคดีของราชบุรี” จัดแสดงอยู่ตั้งแต่ห้องที่ 2 - 6 เรียงลำดับตามยุคสมัยดังต่อไปนี้ ห้องที่ 2“สมัยก่อนประวัติศาสตร์” จัดแสดงหลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีของมนุษย์ในยุคที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยบริเวณจังหวัดราชบุรี ต่อมาที่ห้องที่ 3 “วัฒนธรรมทวารวดี” จัดแสดงเรื่องราวและหลักฐานต่างๆ ของวัฒนธรรมทวารวดีที่พบในจังหวัดราชบุรีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 - 16 โดยเฉพาะเรื่องราวของเมืองโบราณคูบัว และเทือกเขางู

ห้องที่ 4 “อิทธิพลวัฒนธรรมเขมร” จัดแสดงเรื่องราวและหลักฐานของวัฒนธรรมเขมร หรือ “ลพบุรี” ที่ปรากฏในจังหวัดราชบุรี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 18 โดยมีโบราณวัตถุที่สำคัญภายในห้องจัดแสดงนี้ ได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี พบที่บริเวณจอมปราสาท เมืองโบราณโกสินารายณ์ เป็น 1 ในจำนวน 5 องค์ ที่พบในดินแดนประเทศไทย

ห้องที่ 5 และห้องที่ 6 “สมัยสุโขทัย - อยุธยา - กรุงธนบุรี” จัดแสดงเรื่องราวของจังหวัดราชบุรีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 - 24 จากหลักฐานชื่อเมืองราชบุรีที่ปรากฏในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย ราชบุรีเป็นเมืองท่า เมืองหน้าด่านและเส้นทางการเดินทัพในสมัยอยุธยา โดยจัดแสดงหลักฐานด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม เครื่องถ้วยจีนและเครื่องปั้นดินเผา

ห้องที่ 7 “สมัยรัตนโกสินทร์” จัดแสดงเรื่องราวของจังหวัดราชบุรีในช่วง พุทธศักราช 2325 - 2475 แสดงถึงความสำคัญของเมืองราชบุรี ในด้านการเมืองการปกครองการพัฒนาท้องถิ่น ต่อเนื่องจากสมัยกรุงธนบุรีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 7)


หัวข้อที่สามคือ “กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดราชบุรี” จัดแสดงในห้องที่ 8 จัดแสดงเรื่องราวของกลุ่มชนชาติพันธุ์ของจังหวัดราชบุรี ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์เป็นลักษณะเด่นของจังหวัด ได้แก่ ชาวไทยพื้นถิ่นภาคกลาง ชาวไทยจีน ชาวไทยยวน ชาวไทยมอญ ชาวไทยกะเหรี่ยง ชาวไทยลาวโซ่ง ชาวไทยลาวเวียง และชาวไทยเขมรลาวเดิม

หัวข้อที่สี่คือ “ห้องมรดกดีเด่นของจังหวัดราชบุรี” จัดแสดงตั้งแต่ห้องที่ 9-11 เริ่มที่ห้องที่ 9 “มรดกทางวัฒนธรรม” เช่น หนังใหญ่วัดขนอน, พระเครื่อง, โอ่งมังกร, อาหารพื้นบ้านอย่าง นมสดหนองโพ หัวผักกาดหวานเค็ม และหัตถกรรมพื้นบ้าน จำพวกเครื่องจักรสาน การทอผ้า เป็นต้น

ห้องที่ 10 “ห้องมรดกทางธรรมชาติ” มรดกทางธรรมชาติของจังหวัดราชบุรีมีทั้งสถานที่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ธารน้ำร้อนบ่อคลึง, โป่งยุบ, ค้างคาวร้อยล้านที่เขาช่องพราน, ถ้ำจอมพล ฯลฯ และสถานที่ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ทางธรรมชาติ เช่น อุทยานหินเขางู เป็นต้น


ห้องที่ 11 “บุคคลสำคัญ” ได้แก่ บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ให้แก่จังหวัดในด้านต่าง ๆ เช่น ปูชนียบุคคลที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญทางด้านทหาร การเมืองและการปกครอง รวมทั้งบุคคลสำคัญทางด้านวัฒนธรรมและศิลปินเพลงพื้นบ้านต่าง ๆ
หัวข้อสุดท้ายจัดแสดงอยู่ในห้องที่ 12 คือ “ราชบุรีในปัจจุบัน” ซึ่งจัดเป็นเรื่องราวของ “ราชบุรี ราชสดุดี” จัดแสดงเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่มีต่อจังหวัดราชบุรีในด้านต่างๆ


“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันตก ใกล้กับหอนาฬิกา (สนามหญ้า) ถ.วรเดช ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี เปิดให้บริการวันพุธ-วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท (เด็กเข้าชมฟรี) ชาวต่างชาติ 100 บาท (นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ เข้าชมฟรี) สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-3232-1513


เปิดตำนาน ปลาร้า

“ปลาร้า” เป็นอาหารที่แพร่หลายในเอเชียอาคเนย์ มีกินกันทุกแห่งในดินแดนที่วัฒนธรรมมอญ-เขมร ได้เคยผ่านเข้าไป เมื่อ 2,000 ปี หรือ 3,000 ปีมาแล้ว

ทำไมคนโบราณจึงเกิดทำปล้าร้ากินกันขึ้นมา?
ตอบว่า เพราะธรรมชาติในหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์อำนวย หรือบังคับให้ทำปลาร้า


ภูมิภาคนี้ตกอยู่ในเขตมรสุม ในระหว่างต้นฝนก็มีน้ำมาก แต่พอเข้าต้นหน้าแล้ง น้ำก็เริ่มลดระยะนี้ เป็นเวลาที่ปลาเล็กปลาน้อยขึ้นมากตมแก่งต่างๆ หรือตามแม่น้ำลำคลอง คนก็จับปลาเอามากิน แต่ปลามันมากเกินกว่าที่จะกินหมดได้ทัน จะทิ้งก็เสียดาย จึงเอาใส่เกลือเก็บไว้กินได้ตลอดปี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังใส่เกลือไม่ทัน ปลาเริ่มจะขึ้นและมีกลิ่น ถึงจะมีกลิ่น ก็ยังใส่เกลือเก็บไว้กินจนได้ เลยอร่อยเพราะกลิ่นปลา

ต่อมาจะเอาปลามาทำปลาร้า จึงปล่อยให้ปลาขึ้นและเริ่มมีกลิ่น แล้วจึงเอามาใส่เกลือทำปลาร้า กลายเป็นวิธีทำปลาร้าที่ถูกต้องไป

ที่ว่าปลาร้าเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมอญ-เขมรนั้น พิสูจน์ได้ด้วยความจริง เพราะมอญ-เขมรทุกวันนี้ก็ยังกินปลาร้ากันอย่างเอกอุ คือเข้ากับข้าวเกือบทุกอย่าง ใช้กินเป็นประจำเหมือนคนไทยใช้น้ำปลา
ยำแตงกวาเมืองเขมรเขายังใส่ปลาร้า นอกจากนั้นก็ยังใส่แกงใส่ผัดอื่นๆ อีกมาก

ในเมืองไทย แถวๆ อำเภอชั้นนอกของสุพรรณบุรีและตามอำเภอของอยุธยาที่ใกล้กับสุพรรณ คนไทยก็ยังใช้ทำกับข้าวแบบนี้ คือเจือปนไปทั่ว เพราะสุพรรณนั้นได้ตกอยู่ใต้อิทธพลวัฒนธรรมของมอญ ที่เรียกว่าทวาราวดีนั้นมาก แกงบอน แกงบวน แกงขี้เหล็ก เป็นกับข้าวมอญ เพราะเข้ากับปลาร้าทั้งนั้น

ดินแดนอื่นๆ ที่เคยอยู่ใต้วัฒนธรรมมอญ-เขมร นั้นได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา และลาว 

เวียดนามนั้นมีปลาร้า ถึงจะผสมสับประรดลงไปแบบเค็ม หมากนัสก็ยังเป็นปลาร้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว


ลาวเรียกปลาร้าว่า ”ปลาแดก” ทำไม?
ตอบว่า “แดก”นั้น เป็นกิริยาอย่างหนึ่งในภาษาไทยแปลว่า อัดหรือยัดอะไรเข้าไปในภาชนะ เช่น ไห จนแน่นที่สุดเท่าที่จะอัดเข้าไปได้ คนที่ใช้กิริยาอย่างนี้ในการกินอาหาร จึงเรียกในภาษไทยว่า แดก อีกเช่นเดียวกัน


พม่านั้นก็ยังมีมอญอยู่ จึงมีปลาร้ากิน ส่วนมาเลเซียนั้นวัฒนธรรมมอญ-เขมร เฉียดๆ ไป แต่ก็มีอะไรคล้ายๆ ปลาร้ากินเหมือนกัน

ปลาร้านั้นมีกลิ่น เพราะทำด้วยปลาที่เริ่มเน่า ปลาร้าจึงมีชื่อว่า เหม็น, ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา คาก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง

นอกจากนั้น หากอะไรที่กลิ่นไม่ดี เราก็พูดกันว่า “มีกลิ่นทะแม่งๆ”
“ทะแม่ง” เป็นภาษามอญ แปลว่า ปลาร้า
ทางด้านโบราณคดี ปลาร้าจึงเป็นสิ่งกำหนดขอบเขตของวัฒนธรรมมอญ-เขมร ปลาร้าอยู่ที่ไหน วัฒนธรรมมอญ-เขมร เคยอยู่ที่นั่น และวัฒนธรรมมอญ-เขม่รนั้น ยังมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงเหนือชีวิตของคนจำนวนมากในเอเซียอาคเนย์

การกินหมาก ที่เคยแพร่หลายไปทั่ว ก็เนื่องอยู่ในวัฒนธรรมนี้ มีขนบธรรมเนียมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการกินหมากอยู่มาก
ภาษาเวียดนามปัจุบัน ก็เป็นภาษาที่อยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร และอื่นๆ อีกมาก

อย่าไปดูถูกปลาร้า ปลาร้ามีประโยชน์มากในทางโภชนาการ เพราะมีโปรตีนสูง เป็นประโยชน์แก่ผู้ยากไร้ หาแหล่งโปรตีนจากอื่น เช่น ทีโบนสเต็คไม่ได้

นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามิน K ซึ่งได้จากปลาเน่าหรือเริ่มจะเน่า


ที่มาจากหนังสือ คึกฤทธิ์พ่อครัวหัวป่าก์

เข้าตามตรอกออกซอยลับ เดินชมเมืองเก่า


สถานที่แรกที่พาไป คือ วิหารภิกษุณี ที่ตั้งอยู่ในวัดเทพธิดารามวรวิหาร ภายในวิหารมีรูปปั้นพระภิกษุณีจำนวน 52 องค์ประดิษฐานอยู่บนแท่นหินอ่อนเบื้องหน้าพระประธาน

พากันข้ามถนนมหาไชย ตรงเข้าตรอกเล็กๆ ด้านหลังร้านน้ำอบนางลอย เส้นทางนี้พาเรามาพบกับศาลาโรงธรรม ซึ่งเคยเป็นสถานที่ผลิตงานหัตถกรรมชิ้นสำคัญอย่างสายรัดประคด อันเป็นที่มาของชื่อ ‘บ้านสายรัดประคด’ เนยอธิบายว่าประคดคือแผ่นผ้าหรือด้ายที่ถักกันเป็นแผ่นยาว ใช้สำหรับคาดเอวหรืออกของพระภิกษุสงฆ์ “สมัยก่อนสาวๆ จะมานั่งรวมตัวเพื่อทอสายรัดประคดกันที่นี่


เดินออกมาอีกหน่อยก็จะมาถึงชุมชนป้อมมหากาฬ ชาวบ้านเคยพยายามที่จะทำป้อมมหากาฬให้เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้ แต่ด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง สุดท้ายชาวบ้านก็จำเป็นจะต้องย้ายออกไป แม้จะแอบเสียดายที่ไม่มีบ้านไม้เก่าโบราณให้ได้เห็นกันแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่ที่ชาวชุมชนช่วยดูแลกันมาเสมอก็ยังคงยืนต้นสวยงามให้ร่มเงากับเราได้เป็นอย่างดี


พอมุ่งหน้าออกมาทางถนนราชดำเนิน ข้ามมายังซอยวัดปรินายก เราก็สะดุดตากับทีวีที่ตั้งยื่นออกมาตรงหน้าต่างชั้น 2 ของร้านชำ “ข้างๆ เป็นร้านข้าว พอทุกคนมารวมตัวกันก็จะเปิดทีวีดูด้วยกันที่นี่” ซึ่งเคยถามไถ่เจ้าของร้านชำด้านล่างมาก่อน เราพากันเดินเลียบคลองบางลำพูมาเรื่อยๆ ตลอดเส้นทาง

ตามป้ายร้านค้าของถนนเส้นนี้ ที่น่าสนใจเพราะใช้ฟอนต์กันอย่างหลากหลาย เราเดินเข้าซอยสามเสน 1 ผ่านวัดสังเวชวิศยาราม ลัดเลาะมาตามซอยสามเสน 3 และซอยบางลำพู จนมาถึงถนนพระสุเมรุ เดินเข้าตรอกเขียนนิวาสน์ แนะนำให้รู้จักกับบ้านแม่เปี๊ยก ชุดโขนละครสวยๆ ของกรมศิลป์หลายชิ้นคือฝีมือของช่างปักจากบ้านนี้

เดินกันมาจนถึงถนนพระอาทิตย์ พระอาทิตย์กำลังจะตก และดูเหมือนว่าจะไม่มีฝนตกลงมาอีกแล้ว พาเดินเข้าซอยชนะสงคราม ผ่านวัดชนะสงครามออกมาทางถนนจักรพงษ์ ก่อนจะเลี้ยวมาถึงถนนราชดำเนิน

ที่สุดท้ายมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารกิมเล้ง ร้านอาหารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนถนนตะนาว สี่แยกคอกวัว เราได้ลิ้มลองเมนูแนะนำชุดใหญ่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์หลายอย่างตลอดการเดินทางในวันนี้ระหว่างมื้ออาหารกับนักเดินชมเมืองเก่า

ตามรอยอดีตที่พิพิธภัณฑ์วัดเกตุเชียงใหม่


พิพิธภัณฑ์วัดเกตุเชียงใหม่ ตั้งขึ้นเมื่อ ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยเริ่มจาก การที่ชาวบ้านได้ช่วยกันซ่อมแซมกุฏิเก่า หรือโฮงตุ๊เจ้าหลวง เป็นอาคารตึกทรงจีนอายุกว่าร้อยปี ซึ่งเป็นกุฏิของพระครูชัย ศีลวิมล อดีตเจ้าอาวาสวัดเกตการาม หลังจากที่บูรณะแล้ว ชาวบ้านได้นำเอาหน้าบัน หน้าแหนบของวิหารหลังเก่ามาเก็บรักษาไว้ จนกระทั่งชาวบ้านเห็นความสำคัญ ก็เริ่มนำข้าวของเครื่องใช้โบราณ เช่น ถ้วยเก่า ผ้าเก่า เงินโบราณ รวมถึงเครื่องจักสานล้านนาที่หายากนำมามอบให้วัด เมื่อเห็นว่ามีของเก่าอยู่มาก ทางวัดจึงได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ พื้นบ้านวัดเกตขึ้น

โดยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2543 ในอดีตชุมชนท่าวัดเกต เป็นชุมชนโบราณตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออก จากเอกสารของวัดเกตการามระบุว่า วัดนี้สร้างขึ้นราว พ.ศ.1971 รัชสมัยพญาสามฝั่งแกน (พ.ศ.1945-1984) กษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังราย ลำดับที่ 8 จนถึงวันนี้วัดเกตการาม จึงมีอายุกว่า 580 ปีพอดี ในยุคสมัยรุ่งเรืองของการค้าขายทางเรือระหว่างเชียงใหม่กับหัวเมืองทางใต้จนถึงกรุงเทพฯ (พ.ศ.2317-2464) ท่าน้ำวัดเกต จึงถือเป็นย่านเศรษฐกิจของการขนส่งทางน้ำที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ ยุคนี้เองที่เริ่มมีคนต่างถิ่นต่าง เชื้อชาติและศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านวัดเกต ซึ่งได้แก่กลุ่มพ่อค้าชาวจีน

ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา ชาวอังกฤษเข้ามาตั้งสำนักงานทำไม้ในภาคเหนือ ชาวมุสลิมจากปากีสถาน อินเดียและชาวซิกข์จากแคว้นปัญจาบในอินเดีย ด้วยเหตุนี้ทำให้ชุมชนวัดเกตมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้จากการที่มีศาสนสถานถึง 4 ศาสนาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงคือ วัดเกตการามของชาวพุทธ คริสตจักรที่ 1 ของชาวคริสต์ มัสยิดอัตตักวาของชาวมุสลิมและวัดซิกข์ ช่วงปี พ.ศ.2464 เมื่อรัฐบาลได้มีการสร้างทางรถไฟจากเด่นชัยมาถึงเชียงใหม่และได้เข้ามามีบทบาทด้านการค้า และการขนส่งแทนการขนส่งทางน้ำ การค้าขายทางเรือจึงลดความสำคัญลงและหายไป ยุคของท่าน้ำวัดเกต อดีตศูนย์กลางเศรษฐกิจของเชียงใหม่จึงยุติลง ชุมชนวัดเกตกลายเป็นเพียงย่านที่อยู่อาศัยของลูกหลานบรรพบุรุษ ที่มาตั้งถิ่นฐานค้าขายในยุคแรกๆ 


ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเกต นับว่าเป็นอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งที่มีสิ่งของโบราณหายากจัดแสดงไว้มากมาย ได้แก่ พระพุทธรูปแบบล้านนาและพม่า เครื่องถ้วยชามโบราณกว่า 1,000 ชิ้น และสิ่งของที่นับหาดูได้ยากยิ่งที่สุดในยุคนี้ก็คือ ธงช้างเผือก ซึ่งใช้ประดับบ้านเรือน เพื่อต้อนรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในวโรกาสที่เสด็จประพาสหัวเมืองล้านนา และตาลปัตรสมัยรัชกาลที่ 5


นอกจากนั้นยังจัดแสดงผ้าโบราณของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และนิทรรศการภาพเก่าเมืองเชียงใหม่ในอดีต โดยของเก่ากว่าครึ่งในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเกตได้ รับมอบจากนายอนันต์ ฤทธิ์เดช เจ้าของเฮือนรัตนา พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเกต จึงนับเป็นตัวอย่างของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่อยู่คู่ชุมชนเปรียบดั่งเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของอดีตเชียงใหม่ในรูปแบบวิถีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสลองแวะเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านชุมชนวัดเกต ก่อนเข้าไปซึมซาบเรื่องราวอดีตชุมทางการค้าทางเรือของเชียงใหม่ วัดเกตในวันนี้จึงมีทั้งของเก่าและของใหม่ มีทั้งย่านที่อยู่อาศัยและย่านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบเฉพาะของวัดเกต ซึ่งรอคอยที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้กับผู้มาเยือนพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเกต เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่ 08.30- 16.30 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0- 5320-4273

ข้ามฟ้าไปเมียนมา สักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง


ประเทศเมียนมา (Myanmar) หรือพม่านับเป็นประเทศที่มีพรมแดนใกล้ชิดติดกับไทย และอาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศเดียวที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสยาม ทั้งด้านประวัติศาสตร์ การเมืองเศรษฐกิจ ด้วยความที่เมียนม่าร์ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์โดยรัฐบาลทหาร มีการปิดประเทศมายาวนานกว่า 30 ปี ขณะที่ภายในประเทศเมียนม่าร์เองก็เกิดการต่อสู้เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหารมาตลอด จนระยะหลังทำให้ประเทศเมียนม่าร์ถูกละเลยจากนักท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเมียนม่าร์นับเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เป็นอู่อารยธรรมในอุษาคเนย์ และมีแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมอีกมากมายที่รอให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส

ประเทศเมียนม่าร์ ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเจดีย์ทองคำและวัดวาอารามที่งดงามน่าพิศวงเหนือคำบรรยาย ด้วยศรัทธาที่ชาวเมียนม่าร์มีต่อพุทธศาสนาและความเรียบง่ายในการดำรงชีวิตทำให้เมียนม่าร์ยังคงเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่เอาไว้ได้

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในเมียนม่าร์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและทั่วโลกนิยมเดินทางมาก็คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) ชื่อ “ชเว” หมายถึงทอง “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง (เมืองตะเกิง) “ชเวดากอง” จึงหมายถึง เจดีย์ทองคำแห่งเมืองดากอง


เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ (Singuttara Hill) ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นในปีเดียวกับที่กำเนิดพระพุทธศาสนา ทว่านักโบราณคดีกลับเชื่อว่าเจดีย์แห่งนี้นั้นสร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 6 – 10 โดยชาวมอญ

ตำนานการสร้างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง กล่าวว่าเริ่มสร้างในสมัยอณาจักรพุกามเรืองอำนาจ เกิดจากพ่อค้าสองคนนามกว่า ตปุสสะ (Tapussa) และ ภัลลิกะ (Bhallika) ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้ได้ 45 วัน และได้รับประทานพระเกศามา 8 เส้น เอาไว้สำหรับบูชา ระหว่างเดินทางกลับนั้นได้ถูกชิงพระเกศาไปโดย กษัตริย์แห่งนครอเจตตะ (Ajetta) และพญานาค คนละ 2 เส้นหากพอกลับถึงบ้านเกิด พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญ ทรงจัดพิธิต้อนรับพระเกศาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ และเปิดผอบออกดูกลับเกิดปาฏิหาริย์มีพระเกศาครบ 8 เส้นดังเดิม รวมถึงพระเกศายังเปล่งรัศมีสว่างไสว กล่าวกันว่าเกิดอิทธิฤทธ์บันดาลให้คนพิการหายเป็นปกติ ต้นหมารากไม้ผลิดอกออกผล ฝนโปรยลงมาเป็นเพชรนิลจินดา พระเจ้าโอกะลัปจึงดำรัสให้สร้างเจดีย์อิฐสูง 9 เมตร เพื่อใช้บรรจุพระเกศาทั้งหมด

พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ถูกสร้างและบูรณะหลายครั้งในหลายสมัย โดยถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร และพระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยพระนางฉิ่นซอปู้ (Shin Sawbu) ได้สร้างลานกำแพงล้อมรอบและพระราชทานทองคำหนักเท่าตัวพระองค์ คือ 40 กิโลกรัม เพื่อนำไปตีเป็นแผ่นหุ้มเจดีย์ เกิดเป็นธรรมเนียมบริจาคทองคำสืบต่อกันมา และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเซดี (Dhammazedi) ก็ได้บริจาคทองคำน้ำหนัก 4 เท่าของน้ำหนักพระองค์เพื่อบูรณะซ่อมแซม หากได้เข้าไปมองดูใกล้ๆ จะเห็นรอยต่อของแผ่นทองคำแต่ละแผ่นที่ต่อกันไม่สนิทอยู่


ด้วยแรงแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเมียนม่าร์ ทุกๆ 5 ปีได้มีการทำนุบำรุงซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ขึ้น โดยได้ร่วมบริจาคและรวบรวมทองคำมาห่อหุ้มองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นน้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัม ยอดฉัตรประดับประดาด้วยเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่ากว่า 5,548 เม็ด รวมถึงทับทิมขนาดเท่าไข่ไก่ ปัจจุบันพระมหาเจดีย์ชเวดากองมีความสูงราว 326 เมตร หนังสือ Guinness Book of Records ได้จัดให้พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก

ทุกวันจะมีชาวมอญและชาวเมียนม่าร์ต่างเดินทางมากราบไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นจำนวนมาก ชาวเมียนม่าร์เชื่อกันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมากราบไหว้เจดีย์ชเวดากองให้ได้ สถานที่สำคัญของพระมหาเจดีย์ชเวดากองคือ ลานอธิษฐาน ซึ่งในอดีตพระเจ้าบุเรงนองจะมากราบไหว้ขอพรก่อนที่จะออกรบ ซึ่งจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนำดอกไม้ธูปเที่ยนไปไหว้เพื่อขอพรจากองค์พระเจดีย์ชเวดากอง เพื่อเสริมสร้างบารมีและสิริมงคล ในบริเวณรอบองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองยังมีสัตว์ประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศ ได้แก่วันอาทิตย์ – ครุฑ อยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียง เหนือของลานเจดีย์ วันจันทร์ – เสือ อยู่ทิศตะวันออก วันอังคาร – สิงห์ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ วันพุธ (เช้า) – ช้างงา อยู่ทิศใต้ วันพุธ(กลางคืน) – ช้างไม่มีงา อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วันพฤหัสบดี – หนู อยู่ทิศตะวันตก วันศุกร์ – หนูตะเภา (บางคนเชื่อว่าเป็น กระต่ายหูสั้น) อยู่ทิศเหนือ วันเสาร์ -พญานาค อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์เหล่านี้จะสร้างความบริสุทธิ์และความสุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ โดยจะรดน้ำด้วยขันเล็ก ๆ ที่มีจัดเตรียมไว้ให้เป็นจำนวนเท่าอายุ +1 แต่สำหรับ คนแก่ ๆ ที่อายุ 60-70 ไปแล้วก็อาจจะย่นย่อลง เหลือ 5ขันก็ได้ ซึ่งหมายถึงพระรัตนะไตรรวมกับบิดามารดานั่นเอง


สถานที่สำคัญต่างๆ รอบลาน ซึ่งจะมีวิหารใหญ่ 4 หลัง ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วทั้ง 4 พระองค์คือ พระกักกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระโคตมะองค์ปัจจุบันให้ประชาชนได้กราบไหว้ทำบุญด้วย รวมถึงการไปตีระฆัง สิงคุ นอกจากนั้นยังมีอีกจุดหนึ่งบนลานซึ่งเขาทำจุดให้ยืนไว้ซึ่งจะทำให้มองเห็นประกาย เพชรบนยอดฉัตรได้ด้วยตาเปล่า

นี่เป็นเพียงเรื่อวราวบางส่วนของประเทศเมียนม่าร์ หากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปสัมผัสดินแดนประวัติศาสตร์ อู่อารยธรรมแห่งอุษาคเนย์ สามารถเดินทางไปเยือนประเทศเมียนม่าร์ได้ปัจจุบันการเดินทางไปย่างกุ้ง – เชียงใหม่ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ใช้เวลาไม่นาน จะไปแบบแบ็คแพคหรือแบบกรุ๊ปทัวร์ก็ได้ทั้งนั้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง อัตราแลกเปลี่ยนเงินพม่า 1 บาท เท่ากับ 32 จั๊ต

ประวัติศาสตร์ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)


วังน่านิมิต เป็นนิทรรศการที่น่าสนใจมาก สะกดชื่อตามการเขียนแบบโบราณในพระนิพนธ์ ตำนานวังน่า ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากรและสำนักงานมูลนิธิพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี


วังหน้า ก่อนที่จะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สนามหลวง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น มีขอบเขตและแนวกำแพงวังหน้าในอดีต ตามปรัชญาในการวางผังเมืองให้เข้มแข็ง ตามตำราพิชัยสงครามนาคน้ำ กำแพงวังหน้าเดิมที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 บริเวณถนนพระจันทร์ติดวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน


ส่วนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตเขตฝ่ายในของพระราชวังบวรสถานมงคล ที่กลายมาเป็นโรงทหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

นอกจากประวัติที่มีมายาวนานแล้ว ความน่าสนใจของที่นี่คือ ความเก่งของสถาปนิกที่ปรับโรงทหาร 2 หลังให้เชื่อมต่อเป็นหลังคาเดียวกันเชื่อมด้วยหอคอย และต่อกันยาวถึง 4 อาคาร ภายใต้สถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco ที่สวยงาม


พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่ดูภายนอกเป็นตึกสามชั้นแบบตะวันตก แต่กลับมีความเป็นเรือนไทย ชั้นเดียวยกใต้ถุงสูง มีบันไดขึ้นเรือนจากภายนอก ซึ่งการผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตกกับสถาปัตยกรรมเมืองร้อนนี้ จึงเป็นสิ่งที่บอกวิวัฒนาการของวังหน้า และวิถีชีวิตของคนไทยที่ค่อยๆ เปลี่ยนทีละน้อย

บริเวณพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์แห่งนี้ ยังมีเก๋งนุกิจราชบริหาร เก๋งจีนที่โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความทันสมัยของเจ้านายในสมัยรัชกาลที่ 4 ยุคเปลี่ยนผ่านที่มีการผสานวัฒนธรรมไทย เข้ากับจีนและตะวันตกได้เป็นอย่างดี


ความสำคัญของวังหน้า
  1. วังหน้า หรือพระราชวังบวรสถานมงคล มีความหมาย 2 อย่าง คือ สถานที่ (ที่ประทับของบุคคลที่มีสถานะสำคัญรองลงมาจากพระมหากษัตริย์) และบุคคล (ผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่เรียกว่า พระมหาอุปราช ในสมัยอยุธยา)
  2. วังหน้ามีพื้นที่ใหญ่มาก มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเมือง
  3. สถาปัตยกรรมวังหน้าเป็นของสถาบันที่เป็นรองแต่เพียงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในยุคของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 4) ซึ่งมีสถานะเป็นเหมือนพระมหากษัตริย์อีกพระองค์ งานสถาปัตยกรรมของวังหน้าในยุคนี้จึงแสดงฐานานุศักดิ์เหมือนในวังหลวง
  4. เมื่อบริบททางการเมืองการปกครองเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรัชกาล เช่นเดียวสภาพสังคม ทำให้รูปแบบของอาคารและการใช้พื้นที่ของวังหน้าเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
  5. วังหน้าไม่ได้มีพื้นที่เพียงแค่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่เราเห็นในปัจจุบันเท่านั้น แต่เคยมีพื้นที่ครอบคลุมถึงโรงละครแห่งชาติ ครึ่งหนึ่งของท้องสนามหลวง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมด