นับตั้งแต่เกษียณอายุราชการอำลาจากวงการสีกากีมาเมื่อหลายปีก่อน ชื่อเสียงของ "อาจารย์คง" หรือ พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี ที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคย อดีตนายตำรวจมือปราบก็ค่อยๆ เงียบหายไปจากหน้าสาธารณะ หันไปใช้ชีวิตเรียบง่ายทำไร่เลี้ยงสัตว์อย่างสุขสงบใน อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี
แม้จะล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ขนานนามอาจารย์คง หลายคนพานให้นึกถึงวีรกรรมในอดีตที่ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน ตั้งแต่การเปิดโปง "เปรตกู้" จอมลวงโลก คดี "เสริม สาครราษฎร์" ฆ่าหั่นศพนักศึกษาแพทย์แฟนสาว ตลอดจนคดีปราบปรามมือปืนรับจ้างมามากมายชนิดจาระไนไม่หมด แต่ในจำนวนนี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งเมื่อหวนนึกไปถึง นั่นคือคดีฆ่า "แสงชัย สุนทรวัฒน์" อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) อันครึกโครม "คดีนี้มีการระดมนักสืบทุกหน่วยงานมาร่วมทำคดี และเป็นที่จับตามองของสื่อมวลชนและคนทั้งประเทศ จึงกดดันมาก"
เมื่อปี 2539 อาจารย์คงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือ ได้รับมอบหมายให้เข้ามาคลี่คลายคดีตั้งแต่ต้น ควบคู่ไปกับชุดสืบสวนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) มีการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวนทุกอย่างมาคลี่คลายคดีหาเบาะแสมือปืน ชนวนเหตุ และผู้จ้างวาน ประวัติคนรอบข้างที่เกี่ยวพันกับแสงชัยถูกตรวจสอบละเอียดยิบ แต่ก็มีปัญหาอุปสรรคติดขัดอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางการทำงานอย่างทุ่มเท มีความกดดันจากทุกทาง จนชุดทำงานแทบไม่เป็นอันกินอันนอน กระทั่งได้เบาะแสว่าประเด็นสังหารน่าจะมาจากการขัดผลประโยชน์ในบอร์ดบริหาร อสมท
"ชุดสืบสวนแต่ละชุดต่างมีเป้าหมายของตัวเอง ทั้งหมดพุ่งไปที่ผู้บริหารในบอร์ด อสมท กลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ทำได้แค่สงสัย มีการเชิญผู้บริหารกลุ่มนั้นรวมถึงอดีตทหารมาสอบปากคำหลายคน แต่ก็ขาดหลักฐานเชื่อมโยง เวลาล่วงเลยไปกว่าเดือนเศษ คดีไม่มีความคืบหน้า ชุดสืบสวนเองก็รู้สึกเครียดมาก เพราะคดีถูกจับตามองอยู่ทุกๆ นาที ผู้บังคับบัญชาโทรมาสอบถามทุกชั่วโมง พอไม่มีความคืบหน้าก็โดนตำหนิ ตอนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกัน เพราะเราทำงานเต็มกำลัง งานอื่นที่สำคัญน้อยกว่าเราก็ชะลอไปก่อน ทีมสืบสวนของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย"
ในที่สุดอาจารย์คงก็ได้เบาะแสหนึ่ง คือ พฤติกรรมของมือปืนสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นมือปืนหน้าใหม่ ?!!
แสงชัยถูกยิงเสียชีวิตขณะกลับจากรับประทานอาหารกับวัชรี สุนทรวัฒน์ ภรรยาที่ร้านอาหารย่านเมืองทองธานี โดยเขานั่งอยู่เบาะหลังมีวัชรีเป็นคนขับ กระสุนขนาด 9 มม.ทะลุกระจกถูกแสงชัยเสียชีวิตคาที่ มือปืนยังพยายามฆ่าวัชรีด้วย แต่เดชะบุญกระสุนขัดลำกล้องเธอจึงรอดตายหวุดหวิด ด้วยเหตุนี้ชุดสืบสวนของอาจารย์คงจึงเริ่มพุ่งเป้าไปที่มือปืนหน้าใหม่ และลงมือตรวจสอบตามซุ้มมือปืนต่างๆ อย่างเร่งด่วน
ขณะที่การสืบสวนค่อยๆ คืบหน้าไปทีละขั้นๆ ไม่นานก็มีคดีสังหาร "นรุตม์ สัตยาศัย" เจ้าของกิจการส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์หน้าหมู่บ้านสัมมากร ท้องที่ สน.บางชัน โดยคนร้ายใช้ปืนขนาด 9 มม.แล้วเกิดอาการขัดลำกล้องเช่นเดียวกับคดีแสงชัย อาจารย์คงพร้อมชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบและเริ่มมั่นใจว่า น่าจะเป็นมือปืนคนเดียวกัน โชคดีอย่างที่คนร้ายทำถุงกระดาษตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนระบุห้องเลขที่ 405 ศิริสุขอพาร์ตเมนต์ ย่านรามคำแหง ชุดสืบสวนสงสัยว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับมือปืน จึงไปตรวจสอบและติดตามไปจับกุมตัวได้ยกทีมในเวลาต่อมา
"คดีนี้เป็นคดีแรกๆ ที่มีการนำเอานิติวิทยาศาสตร์เข้ามาคลี่คลายคดี เพราะเป็นการขยายผลจากคดีอื่น แล้วเชื่อมโยงมาถึงคดียิงคุณแสงชัย เป็นการให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่ค่อยนำมาใช้กันมากนัก ผมทำคดีตั้งแต่ต้นและใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับงานสืบสวนสอบสวนทั้งหมดเลยรู้สึกภูมิใจ ส่วนคดีเปรตกู้เป็นเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นธรรมดา ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็มีการสอนวิธีจับผิดคนพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่สื่อให้ความสนใจมากเลยเป็นที่รู้จัก แต่ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกอะไร" อาจารย์คงเล่า
ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ล้วนมีจุดจบแตกต่างกันไป ทั้งถูกลอบสังหาร ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำถึงทุกวันนี้ !?!
"บนถนนชีวิตตำรวจบอกได้เลยว่า ทุกวินาทีที่เราเผชิญหน้ากับคนร้ายมันเสี่ยง ถ้าพลาดหมายถึงชีวิต สำหรับผมแล้วไม่มีงานไหนที่เสี่ยงที่สุด เพราะทุกครั้งอันตรายและเสี่ยงไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน" อาจารย์คงพูดถึงชีวิตในการทำงานคลี่คลายคดีสำคัญๆ
หลายคนสงสัยสมญานาม "อาจารย์คง" มีที่มาอย่างไร ?
คำตอบที่ได้ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คือ ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาสืบสวนสอบสวนให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจเป็นเวลานานสองนาน เลยได้สมญานามดังว่า
นอกจากนี้ เพื่อนร่วมรุ่นยังเคยเรียกว่า "หมอคง" ด้วยซ้ำ เกิดจากพฤติกรรมชวนขันสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ โรงเรียนนำนักกีฬารักบี้เข้านมัสการหลวงปู่พรหมโมลี วัดไร่ขิง จ.นครปฐม นักเรียนนายร้อยตำรวจคงเดช เป็นคนเดียวที่หลวงปู่เคาะหัวให้พร ทว่าลงมือเคาะได้ 2 ที ยังไม่ทันจะครบดีก็ถอยหนีบอกว่าเจ็บ ทำท่าจะไม่ยอมให้เคาะอีก ทั้งที่คนอื่นๆ อยากได้โอกาสนี้กลับไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ยอมให้เกจิดังเคาะหัวจนครบ 3 ครา ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนๆ เลยเรียกขานติดปากว่า "หมอคง"
นักสืบ...นักจ้อผ่านสื่อ
ในสายตาของอดีตมือปราบที่ผ่านงานมาโชกโชนหลายรูปแบบ พล.ต.ต.คงเดช ชูศรี มีมุมมองเกี่ยวกับงานสืบสวนของตำรวจยุคปัจจุบันว่า อยู่ในภาวะตกต่ำมาก หากปล่อยไว้เช่นนี้นักสืบที่แท้จริงจะหายไปจากวงการตำรวจ เนื่องจากนักสืบจำเป็นต้องมีประสบการณ์การทำงานอย่างโชกโชน เริ่มต้นปูทางตั้งแต่การเป็นพนักงานสอบสวนสัก 4-5 ปีก่อน แล้วค่อยขยับมาทำงานสืบสวน แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น นักสืบส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านงานมาแบบเป็นขั้นเป็นตอน จึงทำงานไม่เป็นเลยสักนิดเดียว
"ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะว่า ทุกวันนี้สายสืบทำงานแบบเอาตัวรอดไปวันๆ มีคำตอบนอกนายให้ไปแถลงต่อสื่อมวลชนก็เป็นอันจบงานในวันนั้นๆ อย่างคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล นักสืบสมัยก่อนไม่มีหรอกที่จะออกมาเปิดเผยข้อมูลรายวันแบบนี้ แนวทางการสืบสวนคนร้ายรู้หมด เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากพูดต่อหน้าสื่อ เนื่องจากจะได้รู้ว่าเป็นผลงานของตัวเอง ตรงกันข้ามกับเมื่อก่อน จับได้แล้วค่อยแถลง หรือไม่ก็ให้ข่าวเบี่ยงเบนประเด็นไปเลย เช่น คนร้ายชื่อนายไก่อยู่ลพบุรีเราจะบอกนักข่าวว่า คนร้ายชื่อนายหมูกบดานอยู่ที่เชียงใหม่เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีจริงๆ"
พล.ต.ต.คงเดชกล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้อยากให้ตำรวจทำหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน อย่าเข้าไปอยู่ในเกมการเมือง เพื่อหวังลาภยศอำนาจ เพราะหน้าที่ของเราคือการดูแลประชาชน !?!