แอ่วลำปาง

ลำปางเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี และเป็นศูนย์กลางการทำป่าไม้สัก เมื่อ 80 ปีมาแล้วมีบริษัทฝรั่งต่างชาติหลายบริษัท เช่น บอมเบย์-เบอร์ม่า หลุยส์ทีเลียวโนเวน อีสต์เอเชีย-ติ๊ก ได้สัมปทานทำป่าไม้ ทำให้เศรษฐกิจของลำปางดีกว่าหลายๆ เมืองในภาคเหนือ

ลำปางมีคำขวัญประจำเมือง คือ “ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก”

ดังนั้น จะพาทุกท่าน ไปแอ่วตามคำขวัญของลำปาง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุสานไตรลักษณ์

นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาลำปาง อันดับแรกต้องไปไหว้สาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขอพร เพื่อเป็นสิริมงคล กันก่อน เริ่มจากสุสานไตรลักษณ์ ที่บรรจุสังขารของหลวงพ่อเกษม เขมโก พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของลำปาง ที่มรณภาพไปนานแล้วแต่สังขารไม่เน่าเปื่อย ลูกศิษย์ลูกหาจึงได้นำสังขารท่านบรรจุในโลงแก้วใสมองเห็นได้ชัดเจน ว่ากันว่าผู้คนจากทั่วสารทิศที่ได้มากราบไหว้สักการะมักจะได้โชคได้ลาภกัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระธาตุลำปางหลวง

พระธาตุลำปางหลวง วัดสำคัญอีกวัดที่มีองค์เจดีย์บุด้วยแผ่นทอง ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีวิหารแก้วเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า พระพุทธรูปมรกตศักดิ์สิทธิ์และสวยงามตามแบบศิลปะเชียงแสน ผู้ที่เกิดปีฉลู ควรมากราบไหว้เพราะวัดนี้เป็นวัดพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัดเจดีย์ซาวหลัง

วัดเจดีย์ซาวหลัง (ซาว แปลว่า ยี่สิบ) วัดนี้มีองค์พระธาตุเจดีย์ศิลปะล้านนาผสมพม่าเรียงรายกัน 20 องค์ ข้างหมู่เจดีย์ในวิหารเล็ก มีพระพุทธรูปทันใจและพระแสนแซ่ทองคำ ที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาแต่อดีต เชื่อกันว่าใครที่มาวัดนี้ ถ้าสามารถนับองค์เจดีย์ได้ครบ 20 องค์ถือว่าเป็นผู้มีบุญ ยังมีวัดอื่นๆ ที่น่าสนใจควรไปสักการะกราบไหว้อีกหลายวัด เช่น วัดพระธาตุจอมปิง วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม วัดศรีชุม วัดปงสนุก เป็นต้น

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บ้านเสานัก

จากวัดเราจะไปชมความงามของสถาปัตยกรรม ที่ขึ้นชื่อของลำปางที่ตกทอดให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม คือ บ้านเสานัก เป็นบ้านไม้สักหลังใหญ่สร้างแบบศิลปะพม่าผสมล้านนาใต้ถุนสูง มีเสาเรือนเป็นไม้สักถึง 116 ต้น แต่เดิมไม่มีชื่อบ้าน เมื่อก่อนเวลาผมมาลำปางจะต้องมาพักที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ จึงได้ตั้งชื่อว่า “บ้านเสานัก” (นัก แปลว่า มาก) ปัจจุบันบ้านหลังนี้มีอายุ 116 ปีแล้ว มีคุณพิมพ์จักร ชิวารักษ์ ซึ่งเป็นรุ่นหลาน รับผิดชอบดูแล ซ่อมแซม ปรับปรุง และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้คนเข้าชมในช่วงกลางวัน และใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ตลอดจนจัดงานเลี้ยงรับรอง งานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานแต่งงานแบบขันโตกพื้นเมือง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เหมืองถ่านหินลิกไนต์

จากในเมืองเราไปทัศนศึกษาหาความรู้นอกเมืองกันบ้าง คือ เหมืองถ่านหินลิกไนต์ หรือเหมืองแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีถ่านหินลิกไนต์มากที่สุดในโลก เมื่อพ.ศ.2480 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ได้มีพระบรมราชโองการว่า “ให้รักษาบ่อถ่านศิลานี้เอาไว้ ไม่ให้สัมปทานแก่บริษัทใด เอาไว้ให้รัฐบาลทำเอง” ก็เป็นความจริงทุกประการ เราได้ใช้ถ่านหินลิกไนต์มาผลิตไฟฟ้า ให้แก่ประชาชนในภาคเหนือได้มีไฟใช้สว่างไสวไปไกลทั่วทุกหมู่บ้าน ที่นี่จึงเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนลำปางอีกด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย

แหล่งเรียนรู้อีกแห่งที่เด็กๆ ชอบมาก คือ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เป็นโรงเรียนฝึกลูกช้างแห่งเดียวในโลกที่ได้รับรางวัลดีเด่นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ปี 2541 เราจะได้ชมการฝึกลูกช้าง การแสดงของช้าง ช้างวาดรูป ช้างเล่นน้ำ การแต่งงานบนหลังช้าง และยังสามารถให้อาหารช้างอย่างใกล้ชิดด้วย

ไปเที่ยวหลายที่แล้ว ได้เวลาหาของอร่อยๆ กินบ้าง มาแอ่วเมืองเหนือ ก็ต้องกิ๋นอาหารพื้นเมืองที่จ๊าดลำ เริ่มจากมื้อเช้าจะไปแอ่วกาด (ตลาด) ซึ่งมีหลายกาดด้วยกัน เช่น กาดก๊าวจาว กาดอัศวิน กาดรัษฎา ทุกกาดมีอาหารการกินแบบเมืองๆ ขายปะเลอะปะเต๋อ (แปลว่า มากมายหลายอย่าง) เช่น แกงแค แกงฮังเล แกงโฮะ จอผัก แกงกระด้าง ยำบะหนุน ยำมะเขือมะถั่ว ซ่ามะเขืออ่อน น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ข้าวนุกงา (ข้าวเหนียวนึ่งคลุกงาดำ) จิ้นหุ้ม จิ้นเกื๋อ ไส้อั่ว แคบหมู และข้าวนึ่งร้อนๆ ราคาถูกแล้วยังลำแต๊ๆ (อร่อยมากๆ) ทำให้มีความสุขทุกเช้า

ส่วนมื้อเย็นและมื้อค่ำมีร้านอาหารอร่อยๆ แบบเมืองหลายร้าน เช่น ร้านข้าวซอยโอมา ขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ร้านขนมจีนป้าศรี ร้านครัวมุกดา ร้านเรือนแพ ร้านของกิ๋นบ้านเฮา ร้านบะหมี่รสดี ร้าน LOC HOME ร้านแกงแค อยู่ทางไปแม่เมาะที่มี แกงแคกบ แหนมหมก จ๊าดลำ

อิ่มหนำสำราญแล้ว ต้องหาเวลาว่างสักวันไปเดินเลือกซื้อเซรามิกของดีมีชื่อเสียงของลำปาง เพราะลำปางมีแหล่งดินขาวที่ดีที่สุดในประเทศเหมาะสำหรับผลิตถ้วยชาม ลำปางจึงเป็นศูนย์กลางการทำเซรามิกฝีมือเยี่ยมส่งขายไปทั่วประเทศและทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ แก้ว จาน ชาม โอ่ง แจกัน กระถางต้นไม้ ของแต่งบ้านชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปจนถึงชิ้นใหญ่ชิ้นโตสารพัดชนิด ให้เลือกมากมายสนนราคาย่อมเยาจากโรงงาน และในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ ผู้ผลิตจะรวมตัวกันจัดงานแฟร์จำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิกในราคาลดกระหน่ำเป็นประจำทุกปี

ความบันเทิงยามค่ำคืนที่ลำปางก็มีให้ไปเที่ยวหลายแห่ง แต่ที่กำลังฮิตติดอันดับสุดยอดถนนคนเดินไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ คือ กาดกองต้า ถนนคนเดินที่มีบ้านเรือนและห้องแถวไม้สักโบราณสวยงามเรียงรายสองข้างทาง ในช่วงเย็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ ชาวบ้านจะนำอาหารการกิน เครื่องดื่ม เสื้อผ้า รองเท้า งานฝีมือ ของที่ระลึกพื้นเมืองซึ่งเป็น OTOP ของชุมชนมาวางขายเป็นระเบียบเรียบร้อย ประกอบกับการประดับประดาตกแต่งโคมไฟและตุงหน้าบ้าน ทำให้กาดกองต้าสวยงามน่าเดินยิ่งนัก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

แอ่วในเมืองลำปางพอสมควรแล้วจะพาไปแอ่วนอกเมืองบ้าง โดยจะไปนอนพักค้างคืนที่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เพื่ออาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนผ่อนคลายความเครียดจากข่าวน้ำท่วม แจ้ซ้อนอยู่ทางเหนือของลำปางประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีน้ำพุร้อน 9 บ่อ มีแอ่งน้ำอุ่น น้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิพอเหมาะแก่การลงไปนอนแช่ทั้งกลางแจ้งและในห้องส่วนตัว กิจกรรมในแจ้ซ้อนมีมากมายไม่รู้เบื่อ เช่น อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน เล่นน้ำตก ขี่จักรยาน เดินป่า ชมนก ชมไม้ หรือจะนอนนวดตัวนวดเท้าก็ไม่ผิดกติกาใดๆ แต่ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากที่สุด คือ ซื้อไข่ไก่ใส่ชะลอมเล็กๆ นำไปแช่น้ำแร่ร้อนประมาณ 17 นาทีแล้วเอามายำ เป็นเมนูเด็ดชื่อว่า “ยำไข่เต่าแจ้ซ้อน” ไข่ไก่เมื่อแช่น้ำแร่ร้อนแล้ว ไข่แดงจะเป็นยางมะตูม ส่วนไข่ขาวจะเป็นวุ้นคล้ายไข่เต่าตนุ ที่เรียกว่า ไข่จะละเม็ด นำมายำกับหอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย กุ้งแห้งป่น บีบมะนาว น้ำปลาดี คลุกข้าวสวยร้อนๆ เหมือนได้กินไข่จะละเม็ดอย่างไรอย่างนั้น 

ตอนนี้อากาศที่แจ้ซ้อนเริ่มเย็นแล้ว โดยเฉพาะกลางคืนหนาวมาก ดังนั้น ช่วงปลายปีแจ้ซ้อนคงจะหนาวเย็นพอๆ กับบนดอยสูงๆ ใครจะมาสัมผัสความหนาวเย็นของที่นี่ก็รีบจับจองที่พักแต่เนิ่นๆ การเดินทางมาลำปางสะดวกสบายมีทั้ง รถทัวร์ รถไฟ เครื่องบินของบางกอกแอร์เวย์ส หรือจะขับรถยนต์ส่วนตัวมาก็ได้ สำหรับโรงแรมที่พักก็มีให้เลือกหลายแห่ง เช่น โรงแรมคิมซิตี้ ลำปางเวียงทอง เวียงลคอร ทิพย์ช้าง สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่การท่องเที่ยวลำปาง โทรศัพท์ 0-5431-2254 หรือ งานส่งเสริมการท่องเที่ยว เทศบาลนครลำปาง โทรศัพท์ 0-5423-7237

เมื่อมาถึงลำปางแล้ว อย่าลืมนั่งรถม้าเที่ยวรอบเวียงฟังเสียงกระดิ่งกริ๋งๆ เกือกม้าดังก๊อกๆ รับรองจะติดใจไม่มีที่ไหนเหมือนไปผ่อไปแอ่วเมืองลำปาง ม่วนแต๊ม่วนว่าตึงวัน

เที่ยวเชียงใหม่ "ซู อควาเรียม"

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม

เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ได้เพิ่มส่วนจัดแสดงความรู้ใหม่ เป็นนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้ภายใต้แนวคิด การอยู่ร่วมกันของสัตว์และพืชตามแนวป่าชายเลน โดยใช้ชื่อนิทรรศการ ว่า “ป่าชายเลน ป่าไม้แห่งชีวิต” คุณโรจน์ ธุวนลิน ผู้บริหารเชียงใหม่ ซู อควาเรียม ได้แนวคิดมาจากการเข้าร่วมงานสัมมนาป่าชายเลนแห่งชาติ ครั้งที่ 14 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน”

คุณโรจน์ เห็นประโยชน์ของการสัมมนาครั้งนั้นเป็นอย่างมาก จึงได้คิดจัดนิทรรศการนี้ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐได้รณรงค์เกี่ยวกับป่าชายเลนมาโดยตลอด เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้แผ่ขยายมาทางภาคเหนือ โดยได้จำลองป่าชายเลนมาไว้บนยอดดอย สร้างเป็นป่าชายเลนจริง มีต้นโกงกาง และต้นไม้อื่นๆ ในป่าชายเลน รวมถึงสัตว์น้ำ เช่น  ปลาตีน ปูก้ามดาบ และหอยต่างๆ ซึ่งอาศัยอยู่ตามป่าชายเลน โดยได้รับความร่วมมือจาก สถาบันวิจัยประมงศรีราชา และ สถาบัน วิจัยประมงสมุทรสาคร

นับว่านิทรรศการ “ป่าชายเลน ป่าไม้แห่งชีวิต” เป็นส่วนจัดแสดงที่ให้ความรู้ มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชม และเป็นการสร้างโอกาสให้กับนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ไกลจากป่าชายเลนของจริง ได้เรียนรู้ และสัมผัสประสบการณ์จริง โดยที่ไม่ต้องเดินทางไกล

ส่วนการจัดแสดงระบำใต้น้ำ ปีนี้เป็นปีที่สาม ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ไม่เหมือนสองปีที่ผ่านมา จัดเป็นโชว์ชุดพิเศษชื่อ “มหัศจรรย์ดินแดนใต้น้ำ” เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสายน้ำของเจ้าหญิงใต้สมุทร ที่ต้องต่อสู้กับปิศาจสาหร่าย รับรองว่าสวยงามและสนุกสนานเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ อย่างแน่นอน การแสดงระบำใต้น้ำนี้ จะจัดแสดงเฉพาะวันหยุด วันละ 2 รอบ รอบเช้า 10.45 น. และรอบบ่าย 14.45 น.

สำหรับเด็กๆ อายุ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่สนใจ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ได้จัดโครงการ “CZA Edutainment camp...แก๊งจิ๋วตะลุยโลกใต้น้ำ” เพื่อให้เด็กๆ และผู้ที่สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเชียงใหม่ ซู อควา- เรียม ตลอดหนึ่งวัน โดยมีฐานกิจกรรมความรู้ 8 ฐาน เช่น เรียนรู้พันธุ์ปลาในส่วนจัดแสดงปลาน้ำจืด เรียนรู้พันธุ์ปลาในส่วนจัดแสดงปลาทะเล เรียนรู้การทำน้ำทะเลเพื่อใช้ในเชียงใหม่ ซู อควาเรียม เรียนรู้วิธีการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงปลา ทดลองให้อาหารปลา และกิจกรรมดำน้ำผิวน้ำแบบ Snorkeling

โครงการนี้ต้องสมัครล่วงหน้า เนื่องจากรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนจำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-5389-3111 หรือดูรายละเอียดที่ www.chiangmai aquarium.com

เที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

พูดถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ส่วนแสดงที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ส่วนแสดงหมีแพนด้า ทั้งช่วงช่วง หลินฮุ่ย และหลินปิง เป็นดาวเด่นที่ดึงดูดให้คนไปเที่ยวชมสวนสัตว์เชียงใหม่กันเป็นจำนวนมาก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับนกเพนกวินฮัมโบลด์ จำนวน 10 ตัว จากสวนนกจูร่ง ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2540 และมีการเพาะพันธุ์นกเพนกวินได้ทุกปี นอกจากจะจัดแสดงอยู่ที่สวนสัตว์เชียง- ใหม่แล้ว ยังได้ส่งมอบนกเพนกวินที่เพาะพันธุ์เพิ่มขึ้นมาให้แก่สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และสวนสัตว์สงขลา เพื่อนำไปจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

นกเพนกวินมีทั้งหมด 17 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตอบอุ่น นกเพนกวินฮัมโบลด์ หรือนกเพนกวินเปรูเวียน เป็นนกที่บินไม่ได้ จัดเป็นนกเพนกวินขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวลำตัวประมาณ 65 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 4 กิโลกรัม มีหน้าอกและท้องสีขาว หลังและหัวสีดำ มีลายเส้นสีขาวคาดจากฐานปากผ่านด้านข้างหัวลงมาถึงคอ มีถิ่นอาศัยอยู่ในเขตร้อน ทางหมู่เกาะกูโน และชายฝั่งทะเลของประเทศเปรู และประเทศชิลีในทวีปอเมริกาใต้ อยู่ในอุณหภูมิประมาณ 22 ถึง 30 องศาเซลเซียส

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

นกเพนกวินฮัมโบลด์หาอาหารในทะเลกิน เช่น ปลา กุ้ง ปู ลูกนกเพนกวินกินอาหารที่พ่อแม่ขย้อนออกมาให้ นกเพนกวินสามารถดื่มได้ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม เพราะที่เหนือตามีต่อมขับเกลือส่วนเกินออกได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นกเพนกวินฮัมโบลด์

นกเพนกวินฮัมโบลด์เป็นสัตว์สังคม อยู่รวมกันเป็นฝูง ส่งเสียงดังเพื่อติดต่อสื่อสารกัน เวลาทักทายจะใช้ปากหรือคอถูกัน วางไข่ ฟักไข่ ปีละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 1 ถึง 3 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ 39 วัน โดยนกเพนกวินตัวผู้ทำหน้าที่ฟักไข่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นกเพนกวินฮัมโบลด์

ส่วนแสดงนกเพนกวินที่สวนสัตว์เชียงใหม่ แบ่งออกเป็นสองห้อง ห้องแรกเป็นห้องควบคุมอุณหภูมิที่ 25 องศาเซลเซียส ด้านหน้าเป็นกระจกใส ห้องที่สองเป็นห้องอุณหภูมิปกติตามธรรมชาติ เพื่อให้นกเพนกวินมีโอกาสได้รับแสงแดดซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีบ่อน้ำเชื่อมกันระหว่างสองห้อง ให้นกเพนกวิน เลือกได้ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหน น้ำในบ่อมีการหมุนเวียนบำบัดเพื่อรักษาความสะอาดของส่วนจัดแสดง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

ส่วนเจ้าโคอาล่า ที่หน้าตาดูคล้ายหมี และบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับหมีนั้น อันที่จริงโคอาล่าเป็นสัตว์จำพวกจิงโจ้

สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับมอบโคอาล่าจำนวน 4 ตัว จากสวนสัตว์ทารองกา ประเทศออสเตรเลีย ในวาระฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ.2549 ปัจจุบันสวนสัตว์เชียงใหม่มีโคอาล่าเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 5 ตัว ซึ่งทั้ง 5 ตัวนี้เกิดที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ที่บอกว่าโคอาล่าเป็นสัตว์จำพวกจิงโจ้ ก็เพราะโคอาล่าตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับให้ลูกอ่อนอาศัย โคอาล่าแรกเกิดมีความยาวเพียง 2 เซนติเมตร มีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกรัม อาศัยอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ ลูกโคอาล่าจะเริ่มโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของแม่เมื่ออายุได้ 22 สัปดาห์ พออายุ 30 สัปดาห์ จะมีน้ำหนักประมาณ 500 กรัม เริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกกระเป๋าหน้าท้องของแม่ เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 36 ลูกโคอาล่าจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม และจะไม่เข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องแม่อีกแล้ว ส่วนมากมักจะเกาะอยู่ที่ี่หลังของแม่

ในธรรมชาติโคอาล่าอาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นยูคาลิปตัส พบได้ในรัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิคตอเรีย และรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย

โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาเพื่อให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ใบยูคาลิปตัสมีสารอาหารน้อยมาก และมีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาล่าสามารถทำลายพิษนั้นได้ มีแบคทีเรียช่วยย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ โคอาล่าไม่ค่อยกินน้ำ เพราะได้รับน้ำจากใบยูคาลิปตัสแล้ว ส่วนใหญ่โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสวันละ 2,000 ถึง 5,000 กรัม นอนวันละ 16 ถึง 24 ชั่วโมง เพื่อรักษาพลังงาน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนสัตว์เชียงใหม่

นอกจากหมีแพนด้า นกเพนกวิน โคอาล่า สวนสัตว์เชียงใหม่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดให้นักท่องเที่ยวได้ชม สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับสวนสัตว์เชียงใหม่ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-5322-1179 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.chiangmai zoo.com

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเถอะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Romancecar Super Express

หลังสึนามิถล่มเมืองเซนไดของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนทั้งโลกตกตะลึงและเศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันและยังตั้งสติไม่ได้ บัดนี้เวลาผ่านไป 6 เดือนแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณที่ประสบภัยจนเรียบร้อย และยังเข้าไปควบคุมดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ให้มีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาจนสามารถพูดได้ว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว”

ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ทราบข่าวจากคุณโต๊ด หรือคุณสันติ ลีลาทิพย์กุล เจ้าของไรน์นิช ทราเวลว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกยกเลิกการเดินทางไปญี่ปุ่น ทำให้บริษัททัวร์และกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหลายแย่ไปตามๆ กัน แม้ว่าเดี๋ยวนี้สถานการณ์เรียบร้อยแล้วก็ตาม ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องเดินทางไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว” ว่าแล้วคณะของเราก็จัดแจงเดินทางไปญี่ปุ่นกันแบบฉุกละหุก โดยคุณยงยุทธ ลุจินดานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ประจำประเทศไทย เป็นคนอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตั้งแต่ให้ตั๋วเครื่องบินพาคณะของเราไปพักผ่อนในเลานจ์ ที่มีอาหารการกิน ขนมนมเนย ผลไม้และเครื่องดื่มเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ เรียกว่ากินกันจนอิ่มแบบมื้ออาหารหลักเลยก็ว่าได้ ส่วนความสะดวกสบายบนเครื่องบินไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับสาวสวยที่คอยดูแลเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี เรียกเปรี้ยวได้เปรี้ยว เรียกหวานได้หวาน อาหารก็อร่อยทุกเมนูทั้งไปและกลับ เลยกินทุกอย่างที่เขาเอามาเสิร์ฟให้จนหมด แถมที่นั่งยังกว้างขวางสะดวกสบาย ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เหนื่อยเลย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฮาโกเน่

วันแรกที่มาถึงญี่ปุ่นเครื่องลงที่สนามบินนาริตะ เราก็นั่งรถเข้ามาที่โตเกียว พักที่โรงแรมเพนนินซูล่า ใจกลางกินซ่า อยู่ตรงข้ามตึกสำนักงานการบินไทย พอรุ่งเช้าอากาศแจ่มใส คุณโต๊ดวางแผนพาเราเดินทางไปเมืองฮาโกเน่ ขึ้นรถไฟสายโรแมนติก (Romancecar Super Express) ซึ่งเป็นรถไฟชั้นหนึ่งที่สะอาดสะอ้าน สามารถปรับที่นั่งหมุนหันหน้าเข้าหากันได้ และที่ถูกใจผมมากที่สุดเห็นจะเป็นห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน สะดวกสบายได้มาตรฐานระดับโรงแรมห้าดาว

รถไฟวิ่งไปเกือบสองชั่วโมงก็มาถึงเมืองฮาโกเน่ เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เราจึงมารับประทาน ข้าวราดหน้าแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น ที่ร้านโคโคโระ เป็นร้านที่เพิ่งเปิดแต่ดังระเบิดเพราะเป็นแกงกะหรี่ที่มีเครื่องเครา เช่น ไข่ต้ม หมูทอด แฮมเบอร์เกอร์หรือชีส ให้เราเลือกโปะลงบนแกงกะหรี่เป็นการเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น จึงทำให้แกงกะหรี่ของที่นี่แปลกและอร่อยไม่เหมือนใคร

อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็เดินทางไปโรงแรมที่พักชื่อยูเชนเท อยู่ริมลำธารได้ยินเสียงน้ำไหลแรงเหมือนน้ำตกยังไงยังงั้น ลองเดินสำรวจบริเวณหมู่บ้านแถบนี้จึงทราบว่า ชาวบ้านที่มีบ้านอยู่ริมลำธารจะทำบ้านเป็นโรงแรมออนเซ็นขนาดเล็กๆ กะทัดรัด บริหารจัดการกันเองภายในครอบครัว ชั้นบนแบ่งเป็นห้องพัก 5–10 ห้อง ชั้นล่างมีห้องอาหาร ห้องอาบน้ำแร่ออนเซ็นแยกชายหญิง ผู้ที่มาพักจะได้สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตตามแบบฉบับของญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มีทั้งความอบอุ่น ความอร่อยของอาหารไคเซกิ ที่ปรุงรสชาติตามสไตล์ท้องถิ่นนั้นๆ นอนบนเสื่อตาตามิ และการดูแลเอาใจใส่แบบญาติสนิทที่ทำให้คณะของเราประทับใจมาก
"ฮาโกเน่" เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมาเยือนเป็นจำนวนมาก มีชื่อเสียงเรื่องรีสอร์ตที่มีออนเซ็นและวิวทิวทัศน์โดยรอบภูเขาไฟฟูจิ มีทั้ง ทะเลสาบอาชิ สปาน้ำพุร้อน ศาลเจ้าฮาโกเน่
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของฮาโกเน่

หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อย เราก็กลับไปสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟสายโรแมนติกไปเที่ยวกันต่อ เขาจะมีแผนที่ท่องเที่ยว จุดแวะต่างๆ บอกไว้หมดแต่ต้องใช้เวลาทั้งวัน คณะของเราเลือกที่จะไปเที่ยวชมคือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของฮาโกเน่แห่งเดียว แล้วจึงกลับมานอนฟังเสียงน้ำไหลซู่ซ่าพาให้เพลินจนหลับสนิท ตื่นขึ้นมากระปรี้กระเปร่าพร้อมจะออกไปผจญภัย ซึ่งจะพาเราขึ้นรถบัสประจำทางจากเมืองฮาโกเน่ไปเมืองโกเท็มบะ ที่มีภูเขาไฟฟูจิสูงเด่นเป็นสง่า ใหญ่ทะมึนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่เห็นหิมะปกคลุมบนยอดเขาเหมือนทุกครั้งที่มา เพราะเป็นช่วงหน้าร้อน เรานั่งรถเที่ยวชมรอบๆ เมืองโกเท็มบะและแวะไปช็อปปิ้งที่โกเท็มบะเอาต์เล็ต ซึ่งเป็นเอาต์เล็ตที่ขายของมียี่ห้อมากมายสารพัดชนิด เดินชมสินค้าจนเมื่อยขาจึงเดินทางกลับโตเกียว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ SHABUZEN
เมื่อมาถึงโตเกียวเราต้องไปหาของกินอร่อยๆ จะกินร้านที่เคยกิน หรือเสาะแสวงหาร้านอร่อยใหม่ๆ ก็สุดแท้แต่ แต่มื้อนี้ขอเป็นร้านประจำ คือร้านชาบูชาบู ของแท้แบบญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ร้านนี้ชื่อชาบูเซ็น (SHABUZEN) อยู่แถวกินซ่า ภายในร้านจัดเป็นเคาน์เตอร์วงรีนั่งได้ประมาณ 25 คน มี 3 เคาน์เตอร์ ตรงกลางจัดสำหรับให้พนักงานบริการลูกค้า ตรงหน้าของเราจะมีหม้อทองเหลืองเคลือบฉนวนกันความร้อน พร้อมอุปกรณ์การลวกจิ้มของใครของมันและน้ำจิ้ม 2 แบบให้เลือก คือแบบข้นทำจากถั่วบดและแบบใสออกรสเปรี้ยว สำหรับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ เราสั่งได้ตามใจชอบ แต่ที่อร่อยที่สุดต้องเป็นเนื้อวากิวของแท้ราคาแพงของญี่ปุ่น ที่สไลด์บางเฉียบจัดวางแผ่มาเต็มจาน ใช้ตะเกียบคีบนำไปลวกในน้ำซุปพอให้สะดุ้งความร้อนนิดหน่อย แล้วนำมาจิ้มน้ำจิ้ม ส่งเข้าปากแบบไม่ต้องเคี้ยวก็ละลายลงคอได้รสชาติความหวานของเนื้อวากิวอร่อยจนฝันถึง ตบท้ายด้วยเส้นอูด้ง หรือข้าวสวยใส่ลงไปในน้ำซุปที่เหลืออยู่นิดหน่อยตรงนี้แหละที่ขาดไม่ได้ ซดกันคนละชามเป็นอันเสร็จสำรับของคาว ทีนี้มาถึงของหวานที่ทำให้พวกเราประหลาดใจ คือ เฉาก๊วย แต่พอมาเสิร์ฟกลับเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้เส้นยาวๆ ขาวจั๊วะแช่มาในชามอ่างใส่น้ำแข็งและมีถ้วยเล็กๆใส่น้ำเชื่อมคาราเมลมาอีกหนึ่งถ้วย จึงถามพนักงานว่ากินอย่างไร เขาบอกว่าให้เอาตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปจุ่มในคาราเมล กินเข้าไปแล้วมันหนึบๆ หอมเย็นชื่นใจจังเลย โออิชิ โออิชิ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ TsuKiji

โตเกียวมีที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ดิสนีย์แลนด์ วัดอาซากูซะ ย่านช็อปปิ้งที่ฮาราจูกุ–ชินจูกุ–ชิบูย่า หรือจะไป ตลาดปลาซึกิจิ (TsuKiji) ไปเดินดูการประมูลปลา หาซื้อของแห้งของสดๆ จากทะเลที่นำมาขายมากมายในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ไม่ผิดกติกาใดๆ เลือกที่จะไปเป็นพระยาน้อยเดินตลาดปลาซึกิจิ และไปกินซูชิที่ทำจากปลาสดๆ ที่ร้านซูชิซันไม ซึ่งเป็นร้านประจำอีกเช่นกัน ที่นี่มีข้าวปั้นหน้าต่างๆ ให้เราเลือกมากมาย แถมราคายังถูกกว่าไปกินร้านหรูๆ แถวกินซ่าเสียอีก จึงบอกให้คุณโต๊ดสั่งพ่อครัวหน้าเคาน์เตอร์ว่า โอมากาเซะ แปลว่า สุดแท้แต่ท่านจะสรรหามาให้รับประทาน คราวนี้แหละของดี ของอร่อย ของแพงที่สุดของร้านก็มาวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าให้เลือกกินจนพอใจ เช่น ข้าวปั้นหน้าปลาโอโทโร่ ชูโทโร่ ปลาซะมะ (ที่ต้องกินช่วงหน้าร้อนจะอร่อยที่สุด) อูนางิ (ปลาไหล) อูนิ (ไข่หอยเม่น) กุ้งหวาน ปลาหมึก หอยต่างๆ เป็นต้น หลังจากกินแบบโอมากาเซะเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินย่อยอาหารเพื่อซื้อของฝากกระจุกกระจิก ที่วัดอาซากูซะที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะมีของฝากสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกซื้อมากมาย กินน้ำมะเน็ดที่วางขายอยู่ปากทางเข้าวัด 1 ขวด มิฉะนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงวัดอาซากูซะ 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองคาวาโกเอะ

จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่เมืองคาวาโกเอะ ซึ่งเป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยเอโดะ เพื่อดูสภาพบ้านแบบโบราณที่ทำด้วยดินเหนียว และร้านค้าเก่าแก่ที่ประกอบอาชีพทำมีดขายมาสามชั่วอายุคนแล้ว แค่มีดแล่ปลาดิบเขาใช้กันจนเหลือนิดเดียวเอง

มื้อค่ำคุณโต๊ดพาเราไปกินของปิ้ง ของย่าง ที่ร้านร็อคกาเซ็น ร้านนี้เป็นร้านโปรดของคนไทยเช่นกัน จะมีเนื้อ หมู ไก่ เครื่องใน ปลา กุ้ง ปลาหมึก หอย ปูอลาสก้า ผักต่างๆ มาให้เราปิ้งๆ ย่างๆ กินกับเบียร์อาซาฮี และสาเก เมาไม่รู้ตัวเลย

วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับต้องแวะไปกิน ร้านโทริงิน กินซ่าซอย 4 ซึ่งเป็น ร้านเชลล์ชวนชิมร้านแรกของญี่ปุ่นเมื่อปี 2504 ตอนนั้นร้านยังเป็นเพิงเล็กๆ เดี๋ยวนี้ใหญ่โตโอ่โถง ของอร่อยของที่นี่คือ สารพัดไก่เสียบไม้ย่าง มีเนื้อ หนัง ปีก เครื่องใน ตูด ลูกชิ้นไก่ แปะก๊วย พริกหวาน เห็ดหอมสด ทุกอย่างเสียบไม้ย่างกินกับสาเกที่มาเป็นชามอ่าง ตบท้ายด้วย ข้าวอบกามาเมชิหน้าเป๋าฮื้อ อิ่มจนถึงเมืองไทยเลย

มาคราวนี้ก็เพื่อจะบอกให้ผู้ที่รักการท่องเที่ยวและอยากไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้ทราบว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว” สามารถไปพักผ่อน ไปเที่ยว ไปกิน เหมือนอย่างที่สาธยายมาทั้งหมดรับรองจะติดใจ

วาน นาท จิตกรแห่งคุกสังหารหฤโหด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ The Killing Field

เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมานี้ วาน นาท (Vann Nath) จิตรกรชาวเขมรได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 65 ปี ข่าวการเสียชีวิตของวาน นาท เป็นข่าวดังไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของ ดิธ พราน ผู้สื่อข่าวชาวเขมรของนิวยอร์กไทม์สเมื่อ 3 ปีก่อน ด้วยวัย 65 ปีเท่ากัน

คนไทยเรารู้จักดิธ พราน อยู่บ้างจากภาพยนตร์เรื่อง “ทุ่งสังหาร” (The Killing Field) แต่วาน นาท คนไทยกลับรู้จักน้อยมาก ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดกับสองท่านนี้เกิดขึ้นในกัมพูชา ห่างจากบ้านเราแค่คืบนี่เอง  จึงขอนำเรื่องของเขามานำเสนอให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามอันเกิดจากความแตกแยกของคนในชาติเดียวกัน

ปี 2518 เขมรแดงรุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ 13 เมษายน วันปีใหม่เขมร เป็นวันที่ชาวเขมรพากันโล่งอก จะชอบหรือไม่ชอบคอมมิวนิสต์ พวกเขาก็พอใจที่สงครามยุติ มีฝ่ายหนึ่งแพ้อีกฝ่ายชนะ เขาเชื่อด้วยใจจริงว่าสงครามหยุดแล้ว ต่อไปบ้านเมืองจะสงบ ชนชั้นสูง ชั้นกลาง กับคนจนรากหญ้าเสมอภาคกันแล้ว แต่ในที่สุด ดิธ พราน และชาวพนมเปญก็ถูกต้อนออกจากเมืองหลวง วาน นาท เองก็ถูกต้อนออกจากเมืองพระตะบอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Vann Nath

วาน นาท เกิดปี 2489 ที่พระตะบอง ครอบครัวยากจนไม่มีเงินเรียนหนังสือ พออายุ 16 ปี ก็บวชให้พ่อแม่ พอพี่สาวเสียชีวิตก็สึกออกมาช่วยครอบครัว ตัวเขาประทับใจภาพบนผนังโบสถ์ จึงเข้าเรียนวาดภาพในโรงเรียนเอกชน ตอนหลังไม่มีเงินเรียนต้องช่วยงานวาดภาพเป็นการแลกเปลี่ยน

ตอนเขมรแดงยึดอำนาจ เขามีอาชีพเขียนโปสเตอร์ภาพยนตร์ มีชีวิตอยู่อย่างคนจนรากหญ้าธรรมดา ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง มีภรรยา และลูกสาวหนึ่งคน อุ้มท้องอยู่อีกหนึ่งคน (ทั้งสองเสียชีวิตในยุคเขมรแดง) เขมรแดงไล่คนออกจากเมืองหมด กลายเป็นเมืองร้าง 

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง

วาน นาท กลับสู่ชนบทไปเป็นชาวนา เป็นสมาชิกสหกรณ์หมายเลข 5 ประมาณต้นปี 2521 เคราะห์ร้ายมาเยือน ขณะแบกข้าวจากท้องนามารวมกอง เขมรแดงที่เขารู้จักเรียกให้เขาขึ้นเกวียน บอกว่าถูกเกณฑ์ไปตัดหวาย เขาถูกนำตัวไปที่สหกรณ์อีกแห่ง กลางดึกคืนนั้นเขมรแดงอีกคนที่เขารู้จักจับเขามัด อิสรภาพสิ้นสุดลงตั้งแต่บัดนั้น 
ข้อสังเกตคือ คนที่ไปตามเขามาและคนที่มัดเขาเป็นคนที่เขารู้จัก เพราะสังคมเขมรไม่ใช่สังคมใหญ่
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ผู้คนกำลังนั่ง

เขาถูกส่งให้ชุดสอบสวนจอมโหด ก่อนหน้านั้นเขาได้รับการบอกกล่าวว่า ถูกผู้หญิงร้องว่าเขาทำผิดจริยธรรมชู้สาว และบอกว่าไม่ต้องกังวล ถ้าหญิงนั้นยืนยันว่าคนทำไม่ใช่เขาก็จะปล่อยตัว แต่พอสอบสวนจริง ผู้สอบสวนนอกจากไม่แจ้งว่าเขามีความผิดอะไร กลับข่มขู่ทรมานให้เขาบอกว่าเขาทำผิดอะไรมา เมื่อเขายืนยันว่าเขาไม่ทราบ ก็ถูกทรมานและลงโทษ “องค์การไม่โง่ องค์การไม่เคยจับคนผิดพลาด คิดใหม่อีกทีว่าทำผิดอะไรมา” คือคำข่มขู่ของผู้สอบสวน แนวคิดนี้เป็นแนวคิดถาวรขององค์การ (เขมรแดงเรียกรัฐและพรรครวมว่าองค์การ) การสอบสวนที่คุกตุลเสลงทั้งหมดก็ยึดถือหลักนี้ นี่คือหนึ่งในหลายแนวคิดผิดๆ ที่ทำให้มีคนตายร่วม 2 ล้านคน แนวคิดแรกคือ คุณถูกจับแปลว่าคุณทำผิด ไม่ใช่คุณทำผิดจึงถูกจับ อีกแนวคิดคือ “การลงโทษ (สังหาร) ผิดคน ดีกว่าปล่อยศัตรูรอดไปได้ “อีกแนวคิดที่โหดพอกันคือ “มีคุณอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อองค์การ ขาดคุณไปองค์การก็ไม่เดือดร้อน” องค์การบอกว่าให้สังหารคนเช่นนี้ทิ้งได้

ในภาพอาจจะมี 2 คน

วาน นาท ถูกส่งต่อมาที่คุก S21 หรือคุกตุลเสลงในพนมเปญ เดิมเป็นโรงเรียนมัธยมแล้วแปลงเป็นคุกและสำนักงานใหญ่สันติบาลทำหน้าที่สืบสวนหาข่าว ทรมาน และกำจัดศัตรูขององค์การ เป็นที่คุมขังนำนักโทษมาถ่ายรูปทำประวัติแล้วสอบสวนทรมานจนกว่าจะสารภาพ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

คุกนี้มีเก่ง เก็ก เอียฟ หรือชื่อจัดตั้งว่า สหายดุช เป็นผู้บัญชาการหัวหน้าสันติบาล ขึ้นตรงต่อพอลพต เป็นคนที่พอลพตไว้วางใจที่สุด ทำงานถูกใจพอลพตมาก สิ่งที่สหายดุชทำคือ ทุกคนที่ถูกส่งเข้าคุกต้องสารภาพเท่านั้น หากไม่สารภาพจะต้องถูกทรมานหลากหลายรูปแบบจนตาย มีตั้งแต่การเฆี่ยนตี การช็อตไฟฟ้า การจับกดน้ำ การบังคับให้ดื่มปัสสาวะ การบังคับให้ทานอุจจาระ คำสารภาพต้องเป็นที่พอใจของสหายดุชเท่านั้น คำสารภาพที่สหายดุชอยากได้มากคือ การเป็นไส้ศึกสายลับให้กับซีไอเอ หรือเคจีบี ตอนหลังเพิ่มสายลับเวียดนาม หรือการจารกรรม อะไรประมาณนี้ เมื่อพอใจแล้ว สหายดุชจะบังคับให้แจ้งรายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดจำนวนหนึ่ง เพื่อองค์การจะได้จับตัวมาเพิ่มและรีดเอาคำสารภาพต่อไป

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และผู้คนกำลังนั่ง

มีคนทุกเพศทุกวัยถูกจับเข้าคุกนี้ประมาณ 15,000 คน ทุกคนตายหมด มีชาวยุโรปด้วยอย่างน้อย 2 คนตามที่วาน นาท เห็นด้วยตาตนเอง มีผู้รอดชีวิตจากคุกนี้เพียง 7 คน ทั้ง 7 รอดมาได้เพราะเป็นช่าง ที่เขมรแดงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ รวมทั้งวาน นาท ด้วย

ในภาพอาจจะมี สถานที่กลางแจ้ง และอาหาร

ภายใต้เงื้อมมือมัจจุราช วาน นาท อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้คุมที่เข้มงวด ผู้คุมทั้งหมดเป็นเด็ก หรืออย่างเก่งก็วัยรุ่น ไร้ความเมตตา นักโทษต้องนอนเรียงกันอยู่ในห้องตีตรวนติดกันและติดกับพื้นตลอดเวลา แค่จะลุกจากนอนมานั่งเพื่อขจัดความเมื่อยก็ต้องขออนุญาต ได้รับอาหารวันละมื้อเดียวเป็นข้าวต้มมีแต่น้ำข้าวสองสามช้อน มีข้าวสองสามเม็ด นักโทษส่วนหนึ่งทยอยตายก่อนถึงนาทีมรณะ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

เมื่อเวลาแห่งความตายมาถึง นักโทษทั้งห้องจะถูกนำตัวออกจากคุกไปในเวลากลางคืน พวกเขาถูกนำไปสังหารที่ลานสังหารช่องเอก การสังหารมักจะเป็นการทุบด้วยพลั่ว เชือดด้วยมีด หรือคลุมหัวด้วยถุงพลาสติกให้ขาดอากาศ ทั้งหมดถูกสั่งตายโดยสหายดุช ซึ่งจะลงนามสั่งประหารด้วยลายมือตนเอง วาน นาท ก็ถูกสั่งตายไว้แล้ว

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง

ก่อนการประหาร สหายดุชสั่งให้ไว้ชีวิตวาน นาท เขาถูกแยกจากนักโทษอื่น ด้วยสภาพที่แทบจะเดินไม่ได้ เขาได้รับอาหารเป็นข้าวสวยครั้งแรกในชีวิตหลังถูกจับ เขากินข้าวไม่ได้เพราะขากรรไกรแข็งและคอกลืนไม่ลง ต้องค่อยๆ กินทีละนิด สหายดุชทราบจากทะเบียนประวัติว่าเขาเป็นนักวาด เขาจึงรอดตาย และได้ร่วมทีมช่างฝีมือประมาณ 10 คน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพท่านผู้นำเขมรแดงพอลพต และร่วมในทีมปั้นรูปหล่อผู้นำพอลพต ที่ต้องการให้ประชาชนเห็นเป็นเทพ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ช่วงปลายยุคเขมรแดง พวกเขมรแดงเริ่มฆ่ากันเอง ทหารเขมรจับพวกกันเองเข้าคุก แบบเข้าวันนี้ฆ่าทิ้งวันนี้ โดยไม่สอบสวนเพราะไม่มีเวลา พวกเขมรแดงภาคตะวันออกถูกกวาดจับหมด รวมทั้งเขมรแดงชั้นผู้น้อย (ยังเป็นเด็ก) ด้วยข้อหาสมคบคิดกับเวียดนาม ซึ่งต่อมากองทัพเวียดนามก็ยกมาบุกเขมร

เมื่อเวียดนามบุกถึงพนมเปญ สหายดุชให้ผู้คุมสังหารคนในคุกทิ้งหมด พวกเจ้าหน้าที่คุกได้รับคำสั่งให้อพยพและควบคุมพวกช่างไปด้วย ระหว่างถอยมีการสู้รบชุลมุน เขากับพวกฉวยโอกาสหลบหนีและกระจายกันไปคนละทิศ หลังสงครามจึงสำรวจพบว่ามีผู้รอดชีวิตจากคุกสังหารเพียง 7 คน

สหายดุชถอยร่นไปกับกองกำลังเขมรแดง ตอนหลังทำตัวหายสาบสูญ จน นิค ดันลอป นักข่าวต่างชาติพบว่าเขาเปลี่ยนชื่อเป็น หังปิน เป็นล่ามอยู่ในค่ายอพยพของสหประชาชาติในประเทศไทย ในภายหลังเขาถูกนำขึ้นศาลคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติในกรุงพนมเปญ เมื่อ 30 มีนาคม 2554 ต้นปีนี้เองศาลได้พิพากษาให้จำคุก 35 ปี นับว่าช่างยุติธรรมเหลือเกินกับหญิงชายเด็กผู้ใหญ่รวมทั้งทารกร่วม 15,000 คน ที่เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนทำผิดอะไร พอลพตไม่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ เพราะเขมรแดงตั้งศาลเอง พิจารณาเอง และสั่งควบคุมเอง เขาตายในที่ควบคุมเมื่อ 15 เมษายน 2541 เกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้รับโทษอะไรเลย

ปี 2523 และต่อจากนั้น กระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมขอให้วาน นาท วาดภาพการทรมานและความเจ็บปวดรวดร้าวที่เขาและเพื่อนร่วมคุกประสบออกมาเป็นภาพมีชีวิตบนผืนผ้าใบเพื่อแสดงในพิพิธภัณฑ์

ปี 2541 หนังสือของเขาชื่อ “A Combodian Prison Portrait : One Year in the Khmer Rouge’s S21” ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ White Lotus ของไทย และเขาได้แสดงในภาพยนตร์ชื่อ “S21 : Khmer Rouge Killing Machine” ภาพยนตร์กำกับโดยฤทธี พาน ชาวเขมร เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล “Francois Chalais” จากเมืองคานส์ในปี 2546 ด้วย

เขาบอกว่า ช่วงที่เขารู้สึกดีที่สุดคือเมื่อได้เป็นพยานในศาลในคดีประวัติศาสตร์นี้ สำหรับเหยื่อทุ่งสังหารทั้งหลาย ถือว่าเป็นเวลานานมากที่ต้องรอคอยความยุติธรรม ในปี 2552 เมื่อศาลเปิดพิจารณาคดี เขาบอกว่า “ผมรอเรื่องนี้มานานถึง 30 ปี ผมไม่เคยคิดว่าวันนี้จะได้มานั่งในศาลเพื่อบอกกล่าวถึงประสบการณ์เลวร้าย ผมหวังว่าในที่สุดแล้วความยุติธรรมจะเป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ เห็นได้”

รูน อักขระแห่งเวทย์มนตร์โบราณ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Rune

ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและฟิสิกส์ขั้นสูง ที่กำลังขับเคลื่อนโลกเบี้ยวๆ ของเราใบนี้ให้เดินหน้าต่อไปนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ยังถ่วงดุลอำนาจของวิทยาศาสตร์มาโดยตลอดก็คือ “ไสยศาสตร์” ซึ่งมักจะหมายความโดยรวมถึงเรื่องลึกลับ และเวทมนตร์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของเหตุและผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผี วิญญาณ รวมทั้งเรื่องของเวทมนตร์คาถาที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ด้วยเช่นกัน และบ่อยครั้งที่เวทมนตร์คาถาต่างๆ มักจะถูกแสดงออกในรูปของ “อักขระ” ไม่ว่าจะเป็นการสักยันต์ หรือการปลุกเสกต่างๆ ก็มักจะมี “อักขระ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากอักขระขอมที่มักจะใช้ในการลงยันต์แล้วนั้น ก็ยังมีอักขระอีกไม่น้อยที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำนายและเวทมนตร์คาถาโดยตรง และสัปดาห์นี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย ’ตูน ก็จะนำท่านไปรู้จักกับหนึ่งในอักขระที่ว่ามานี้ก็คือ อักษร “รูน” (Rune) ซึ่งเป็นอักขระแห่งดินแดนยุโรปโบราณครับ

ในปัจจุบันมีอาจารย์และนักพยากรณ์หลายท่าน ที่ใช้อักษรรูนเป็นตัวช่วยในการทำนายและคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า นอกจากนั้นอักษรรูนยังสามารถบอกถึงการวิเคราะห์และหาผลลัพธ์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนาย หรือเสี่ยงทายด้วยอักษรรูนจะมีความแม่นยำมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในอักษรรูนของผู้ทำนายเป็นสำคัญ

ตำนานของอักษรรูนเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าว่ากันตามตำนานเทพนิยายแถบสแกนดิเนเวียน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอักษรรูนแล้ว ต้องกล่าวว่าผู้ที่ประดิษฐ์อักขระชนิดนี้ขึ้นมาให้มนุษย์ได้ใช้ก็คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม บทกวี ความรู้และความฉลาดผู้มีนามว่า โอดิน (Odin) ตำนานเล่าว่าเทพโอดินได้ห้อยหัวเป็นค้างคาวอยู่บนต้นไม้ ที่เรียกว่า “อิกดราซิล” (Yggdrasil) เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน (บ้างก็ว่าท่านห้อยหัวให้โลหิตไหลลงศีรษะ เพื่อเป็นการทรมานร่างกาย) จนท่านได้เกิดญาณพิเศษ รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย ความรู้มหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ตัวท่าน ภายในเวลา 9 คืนนั้น ท่านได้ล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ท่านเองได้ตระหนักถึงก็คือ ท่านคงจะหมดลมหายใจในไม่ช้า แล้วความรู้มหาศาลที่ท่านได้รับรู้มาเล่า มันก็ต้องหายไปหมดด้วยน่ะสิ

ไหนๆ ก็ต้องทนทรมานเจ็บปวดร่างกายมาตั้ง 9 วัน 9 คืนแล้ว จะให้ความรู้และสรรพวิชาที่ได้รับมาต้องสูญเปล่าก็ใช่ที่ ก็เลยคิดจะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นให้มนุษย์โลกได้เรียนรู้กันด้วย เทพโอดินจึงได้ทำการประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายความรู้ที่ท่านได้รับมาใน 9 คืนอันแสนทรมานให้กับมนุษย์โลก 

ดังนั้น ถ้าอ้างอิงตามตำนานนี้ อักษรรูนจึงเป็นอักขระที่ได้มาจาก “ความตาย” ของมหาเทพโอดิน อักขระชนิดนี้จึงมีความพิเศษในด้านของเวทมนตร์คาถาและสรรพความรู้โบราณ เป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์แห่งสแกนดิเนเวียน ที่ใช้สำหรับปลุกเสกคาถาและร่ายคำสาปในไสยเวทต่างๆ โดยเฉพาะการร่ายคาถาลงบนอาวุธเพื่อให้สังหารศัตรูได้อย่างแม่นยำ จะเห็นได้ว่าเวทมนตร์ที่แฝงอยู่ในอักษรรูนนั้น ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังเป็นอย่างมาก มากถึงขั้นที่โรงเรียนฮอกวอตส์ในวรรณกรรมเยาวชนอย่างพ่อมดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องเปิดสอนวิชาการศึกษาอักษรรูนโบราณกันเลยทีเดียว!! (เจ.เค. โรว์ลิ่ง เธอใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ) แต่ถึงอย่างนั้น ที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมด ก็เป็นอักษรรูนในมุมมองของ “นักพยากรณ์” ที่อ้างความศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานของมหาเทพโอดินเท่านั้น แล้วถ้าในมุมมองของนักวิชาการด้านอักขระโบราณบ้างล่ะ เขามองอักษรรูนกันอย่างไร

อักษรรูน คาดว่าพัฒนามาจากอักษรโรมัน ซึ่งเป็นต้นแบบของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดสามารถฟันธงประเด็นนี้ลงไปอย่างชัดเจนได้ ที่พอจะทราบก็คือ หลักฐานทางโบราณคดีที่จารึกด้วยอักษรรูนนั้น ปรากฏในหลายชนเผ่าแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นชาวกอธ (Goth) เผ่าเจอร์มานิค (Germanic) ชาวเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ อังกฤษ และเยอรมัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอักษรรูนนั้น เฟื่องฟูในยุโรปตอนเหนือ ตั้งแต่ยุคก่อนการเข้าไปของศาสนาคริสต์เสียด้วยซ้ำ ทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า คำว่า “รูน” ซึ่งเป็นชื่อเรียกอักษรแห่งเวทมนตร์โบราณนั้น น่าจะมาจากคำว่า “raunen” ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า “กระซิบ” (Whisper) ซึ่งก็บอกเป็นนัยถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอักษรรูนได้ไม่น้อยเลย

นอกจากนั้น นักวิชาการยังค้นพบแผ่นหิน แผ่นไม้ และแผ่นโลหะที่จารึกด้วยอักษรรูนกว่า 5,000 ชิ้น กระจายตัวทั่วยุโรป นั่นย่อมหมายความว่า ชนเผ่าแห่งยุโรปตอนเหนือนั้น ก็เป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้และมีตัวอักษรใช้เช่นกันมาเนิ่นนานแล้ว

แน่นอนว่าในตำนาน เราอาจจะบอกได้ว่ามหาเทพโอดินเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาจากความตายของตัวเอง แต่ถ้ามองในมุมของประวัติศาสตร์ล่ะ ใครเป็นผู้คิดค้นอักษรรูนขึ้นมา คำตอบก็คงจะไม่แตกต่างจากเรื่องลึกลับทั่วโลกนั่นแหละว่า ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดสามารถตอบได้ บ้างก็บอกว่าอาจจะเป็นพวกกอธ หรือไม่ก็เป็นชนเผ่าบริเวณหุบเขาในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการหลายท่านคิดเห็นตรงกันก็คือ อักษรโรมันต้องส่งอิทธิพลบางอย่างให้กับอักษรรูนด้วยเป็นแน่

อักษรรูนประกอบไปด้วยอักขระ 24 ตัว เป็นพยัญชนะ 18 ตัว และสระ 6 ตัว บางครั้งนักวิชาการก็เรียกขานอักษรรูนว่า อักขระ “ฟูทาร์ค” (Futhark) ซึ่งมาจากอักษร 6 ตัวแรกของอักษรรูน (f u th ark) ก็คล้ายๆ กับที่เราเรียกระบบตัวอักษรว่า “Alphabet” ก็ด้วยว่ามาจากอักษร 2 ตัวแรกในภาษากรีก ซึ่งก็คือ Alpha และ Beta นั่นเอง

ทิศทางการอ่านอักษรรูนสามารถอ่านได้ทั้งจากซ้ายไปขวา และขวาไปซ้าย แต่ส่วนมากจะพบว่าเขียนจากซ้ายไปขวาเสียมากกว่า และที่นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นที่ลงรอยกันว่า อักษรรูนได้รับอิทธิพลจากอักษรโรมัน ก็เพราะว่ามีอักขระบางตัวที่คล้ายคลึงกับอักษรโรมันด้วย เช่น ตัว ri b f h s และ t ซึ่งอักขระบางตัวก็อยู่ในลักษณะกลับหัว เช่น u และ l แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอักษรอีกหลายตัวที่ไม่คล้ายคลึงกับอักษรโรมัน เช่น g w j และ p จึงทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่า อักษร รูนนี้มีความสัมพันธ์กับอักษรโรมันในด้านใดบ้าง

ดังนั้น ในทุกวันนี้ ถ้ามองอักษรรูนจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระโบราณแล้วก็ต้องบอกว่า รูนเป็นหนึ่งในอักขระที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าอักษรรูนแต่ละตัวนั้นแทนเสียงอะไร และอ่านอย่างไร แต่เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ที่ภาษาโบราณแห่งสแกนดิเนเวียนนี้ กำลังบอกพวกเราได้เลย นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า อักษรรูนนั้นก็ไม่ต่างจากอักขระอีทรัสคัน ที่สามารถอ่านออกเสียงได้ เพราะอักขระอีทรัสคันนั้น ใช้อักษรกรีก แต่เราไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ภาษาต้องการสื่อกับพวกเราได้มากเท่าใดนัก อักษรรูนก็เช่นกัน ความหมายที่ถอดความออกมาได้โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญนั้นก็ยังคลุมเครืออยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยเรายังขาดความรู้ทางด้านภาษาเจอร์มานิคยุคแรกอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว

ดังนั้น การตีความและเข้าใจความหมายของอักษรรูนในปัจจุบันนั้น ก็เป็นเพียงแค่การศึกษาตีความและคาดเดาความหมาย จากหลักฐานเพียงน้อยนิดที่ยังคลุมเครืออยู่เท่านั้น ดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนได้กล่าวเอาไว้ว่า “จารึกอักษรรูนทุกชิ้นที่ค้นพบสามารถสื่อความหมายได้มากเกินกว่าที่นักวิชาการได้เคยตีความเอาไว้”

คิดแล้วก็น่าแปลก ที่อักขระแห่งเวทมนตร์โบราณ ซึ่งใช้ในการทำนายและพยากรณ์กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน กลับเป็นเพียงตัวเขียนที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ในมุมมองของนักวิชาการด้านภาษาโบราณ แต่ก็อย่างว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบได้ และการพยากรณ์ด้วยอักขระ ที่แลกมาด้วยชีวิตของมหาเทพโอดินอย่างอักษรรูน ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งความลึกลับแห่งโลกโบราณที่ยากที่จะเข้าใจด้วยหลักของเหตุและผลก็เป็นได้

นั่งรถไฟไปเที่ยวสวนไทรโยค

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สวนไทรโยค

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ร่วมขบวนไปเที่ยววันแม่ภายใต้สโลแกน “รถไฟไทย สื่อสายใย สองดวงใจ สู่วันแม่” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 79 พรรษา

ขอเล่ารายละเอียดตามโปรแกรมที่การรถไฟฯ และสวนไทรโยคจัด ซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้นั่งรถไฟโบกี้พิเศษที่ชื่อว่า NEW–JR–WEST ขบวนสีม่วง พ่วงต่อท้ายขบวนรถไฟพิเศษนำเที่ยว ที่การรถไฟเนรมิตขึ้นมาใหม่เอี่ยม มีทั้งหมด 3 โบกี้ หรูหราสะดวกสบายที่สุดตั้งแต่เคยนั่งรถไฟมา เทียบกับรถไฟ ROYAL EXPRESS ของอังกฤษได้สบายมาก

หกโมงเช้าของวันที่ 12 สิงหาคม แขกรับเชิญแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฟ้ามาพร้อมกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ซึ่งเป็นเที่ยวปฐมฤกษ์เที่ยวเดียว เพื่อท่องเที่ยวไปตามเส้นทางรถไฟสายน้ำตก จุดแรกที่ขบวนรถไฟหยุดคือ สถานีนครปฐม ผู้โดยสารได้ลงไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ และเดินตลาดเช้าหาซื้อของอร่อยตามตำรับนครปฐมที่มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะข้าวหลามเชลล์ชวนชิมของแม่ลูกจันทร์ ที่วางขายอยู่หน้าสถานี เป็นของกินที่เหมาะจะกินบนรถไฟที่สุด พอได้เวลาก็กลับมาขึ้นรถไฟเดินทางต่อไป ตลอดเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านจะเห็นทิวทัศน์สองข้างทางเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย และท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยนาข้าวออกรวงไสวสุดลูกหูลูกตา ยิ่งช่วงนี้เป็นหน้าฝน แม่น้ำลำคลองเจิ่งนองเต็มสองฝั่ง มองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของเมืองไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว

นั่งเพลินๆ ไปจนถึงสถานีสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งอยู่กลางเมืองกาญจนบุรี และเป็นจุดที่น่าสนใจของเส้นทางรถไฟสายนี้ รถไฟหยุดให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปถ่ายรูปกับขบวนรถไฟและสะพานประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ สะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นเส้นทางที่กองทัพทหารญี่ปุ่นสร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังประเทศพม่า โดยใช้แรงงานจากเชลยศึกของฝ่ายพันธมิตร มีอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา นิวซีแลนด์ ประมาณเจ็ดหมื่นคน นี่ยังไม่รวมกรรมกรที่เป็นชาวจีน ญวน ชวา มลายู พม่า อินเดีย และคนไทยอีกหลายพันคนมาช่วยกันสร้าง เฉพาะช่วงที่เป็นสะพานระยะทาง 300 เมตรใช้เวลาสร้างแค่เพียง 1 เดือนเท่านั้น ลองคิดดูว่าทำได้อย่างไรในเมื่อความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อย อาหารการกินไม่เพียงพอ และโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนความโหดร้ายทารุณจากภาวะสงคราม ทำให้หลายหมื่นชีวิตต้องตาย

ลงบนเส้นทางสายนี้ เขาเปรียบจำนวนไม้หมอนของทางรถไฟสายนี้ว่า หนึ่งไม้หมอนเท่ากับหนึ่งชีวิตเชลยศึกที่ตายไป เส้นทางรถไฟสายนี้จึงมีชื่อว่า “เส้นทางรถไฟสายมรณะ”

เราเดินทางต่อไปยังสวนไทรโยค ซึ่งเป็นที่หมายสุดท้าย รถไฟจอดส่งนักท่องเที่ยวลงที่สถานีถ้ำกระแซ อยู่หน้าสวนไทรโยครีสอร์ทพอดิบพอดี ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงตรง คณะผู้ร่วมเดินทางทุกคนจึงลงไปรับประทานอาหารกลางวันที่แสนเอร็ดอร่อย ที่ทางสวนไทรโยคจัดเตรียมไว้ให้อย่างดีเยี่ยม แล้วจึงแยกย้ายกันเข้าห้องพัก

กิจกรรมที่สวนไทรโยคจัดให้นักท่องเที่ยวในคราวนี้ มีการล่องแพ เป็นแพสมัยใหม่ที่ทำจากไม้สักและทุ่นเหล็ก ทำให้มีความปลอดภัย บนแพปูกระดานไม้สักสามารถนั่งได้ 14 คน ก่อนลงแพเจ้าหน้าที่จะให้ทุกคนใส่ชูชีพและบอกกฎกติกามารยาทในการล่องแพและเล่นน้ำให้เข้าใจ เพื่อความปลอดภัย จากนั้น เรือหางยาวจะลากแพที่ผูกต่อกันหลายๆ แพแล่นทวนน้ำขึ้นไปประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วปล่อยให้แพล่องตามน้ำกลับมาที่พัก คนไหนอยากลอยคอตามน้ำไปพร้อมๆ กับแพก็กระโดดลงน้ำ เกาะกลุ่มกันลอยตามน้ำอย่างสนุกสนาน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยบอกว่าให้ลอยมาทางไหน ไม่ให้ลอยไปตรงน้ำเชี่ยว แต่ถ้าใครไม่อยากลงแพ ลงน้ำ ก็ไปผจญภัยที่สวนไทรโยคแอดเวนเจอร์ปาร์ค ที่มีเครื่องเล่นหลายชนิด เช่น โดดหอสูง โรยตัวจากหอสูง ปีนหน้าผาจำลอง ไต่บันไดลิงบนต้นไม้ และฐานผจญภัยอีกมากมายหรือจะขับรถ ATV วิบากไปตามเส้นทางเชิงเขาในป่าไผ่ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

เช้าวันที่ 13 สิงหาคม รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ใครใคร่ทำกิจกรรมอะไรก็ตามอัธยาศัย กินข้าวกลางวันเสร็จก็ขึ้นรถโค้ชและชมสถานที่ท่องเที่ยวตามรายทางกลับ กรุงเทพฯ ความสนุกความประทับใจแบบนี้สวนไทรโยคเขาถนัดและรับประกันความมันตามสโลแกน “ไปง่าย จ่ายน้อย อาหารอร่อย กิจกรรมสนุก” ถ้าสนใจก็ถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่เบอร์ 0-2967-8181-4, 0-3453-1548 หรือ www.suansaiyok.com

สำหรับโบกี้รถไฟสุดหรูได้สอบถามหัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของการรถไฟฯ ได้ความว่า การรถไฟฯ ได้ปรับปรุงโบกี้ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเอกชน บริษัท ห้างร้านทั้งหลาย จึงทำโบกี้โดยสารที่หรูที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งรถไฟมา มีทั้งหมด 3 โบกี้ แต่ละโบกี้จะตกแต่งต่างกันไป เป็นห้องพักส่วนตัวพร้อมห้องน้ำ ห้องประชุมสัมมนา พร้อมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ไฮเทค ห้องคาราโอเกะพร้อมจอ LCD ห้องรับประทานอาหารพร้อมบาร์ โซฟา แต่ละห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันแอร์เย็นฉ่ำชื่นใจ ที่แจ๋วที่สุดเห็นจะเป็นหน้าต่างกระจกใสรอบโบกี้ ที่ทำให้เรามองเห็นทิวทัศน์สองข้างทางแบบพาโนรามา 360 องศา ระหว่างนั่งชมวิวเพลินๆ 

เจ้าพนักงานการเดินรถ 6 ได้มาเล่าประวัติศาสตร์เส้นทางรถไฟสายมรณะให้ผู้โดยสารฟังทุกโบกี้ ต้องขอชื่นชมว่าเล่าได้อย่างสนุกสนาน แถมมีของรางวัลมาแจกให้ผู้ที่ตอบคำถามได้อีก ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ทั้งความรู้และความบันเทิง

สำหรับลูกค้าที่ต้องการความหรูหราเป็นส่วนตัว พร้อมการเดินทางท่องเที่ยวแบบสบายๆ กับการรถไฟฯ จะเช่าเหมาโบกี้พิเศษ NEW-JR-WEST สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่กองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยวการรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0-2220-4273 ความสะดวกสบายและความสุขแบบนี้แหละที่ฝันอยากให้การรถไฟฯ ทำมานานแล้ว บัดนี้ความฝันเป็นจริงแล้ว จึงอยากเชิญชวนผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟ ไปสัมผัสความสุขให้ชีวิตสักครั้ง อายุจะได้ยืนยาวไปอีกหลายปี

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับนกปากขอ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นกปากขอ

"นกปากขอ" เป็นนกสวยงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในประเทศไทยเองมีความสามารถในด้านการเพาะพันธุ์นกปากขอได้หลายชนิด เช่น นกแก้ว นกหงส์หยก

นกแก้ว แยกออกเป็นชนิดต่างๆ ได้มากกว่า 300 ชนิด เข้าใจว่ามีพื้นเพที่อยู่อาศัยดั้งเดิมในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศในแถบอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ นกในตระกูลนกแก้วมีปากคมแข็ง จะงอยปากงุ้มเข้า เท้ามีนิ้วข้างหลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้ว ทุกนิ้วมีเล็บแหลมคม สามารถใช้เท้าเกาะจับกิ่งไม้ได้

นกแก้วในประเทศไทย มีหลายชนิด เช่น นกแก้วโม่ง นกกะลิง นกแก้วหัวแพร นกแขกเต้า ผู้เลี้ยงนกในประเทศ ไทยนิยมเลี้ยงนกแก้ว เนื่องจากความฉลาดแสนรู้ และสามารถฝึกฝนให้แสดงความสามารถพิเศษได้ นกแก้วบางสายพันธุ์สามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ด้วย

ความนิยมในการเลี้ยงนกแก้วทุกวันนี้ มีกระแสความต้องการมากขึ้น มีทั้งผู้เลี้ยงเพื่อหารายได้เสริม เพื่อเพาะขยายพันธุ์ เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เลี้ยงเพื่อฝึกให้นกแสดงความสามารถพิเศษ

สายพันธุ์ที่มีผู้นิยมเลี้ยงมาก ได้แก่ มาคอว์ เป็นนกแก้วสายพันธุ์ที่มีรูปร่างขนาดค่อนข้างใหญ่ และค่อนข้างได้รับความนิยมสูง เพราะความฉูดฉาดของสีสัน และรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความสง่าสวยงาม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กระตั้ว

"กระตั้ว" เป็นนกแก้วที่สีสันอาจจะฉูดฉาดสู้มาคอว์ไม่ได้ แต่กระตั้วเป็นนกที่มีนิสัยน่ารัก ติดคน และขี้อ้อน ชอบพองขน ไปจนถึงชอบเต้น จนทำให้หลายๆ คนหลงรักนกชนิดนี้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แอฟริกัน เกรย์

"แอฟริกัน เกรย์" เป็นนกแก้วขนาดกลางๆ ถึงแม้ว่าหน้าตาและสีสันอาจ จะไม่ค่อยฉูดฉาดมาก แต่เป็น สายพันธุ์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนกแก้วที่ฉลาดที่สุดในโลก มีการเปรียบเทียบว่าเป็นนกแก้วที่มีสมองพอๆ กับเด็กอายุประมาณ 4–6 ขวบเลยทีเดียว เป็นนกที่ชอบเลียนเสียงสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นกอเมซอน

"อเมซอน"  เป็นนกแก้วขนาดกลางๆ เป็นนกที่พูดเก่ง สามารถพูดประโยคยาวๆ ไปจนถึงสามารถจดจำและร้องท่อนฮุกของเพลงบางเพลง ไปจนถึงร้องเพลงที่มีเนื้อไม่ยาวมากนักได้จบเพลง และมีความหลากหลายทางสายพันธุ์มาก จัดได้ว่าเป็นนกแก้วอีกสายพันธุ์หนึ่งที่พูดได้เก่งมาก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คอนัวร์

"คอนัวร์" เป็นสายพันธุ์ขนาดเล็ก มีสีสันสวยงาม ลักษณะจะเหมือนกับมาคอว์ในขนาดย่อส่วน มีการเลี้ยง ดูและดูแลที่ไม่ยุ่งยาก และเป็นนกที่มีนิสัยค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคน

นอกจากนี้ ยังมีนกแก้วอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยม และเริ่มมีความต้องการมากขึ้น เช่น 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฟอพัส

"ฟอพัส"  เป็นนกแก้วที่มีขนาดตัวเล็กที่สุดในโลก 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เลิฟเบิร์ด

"นกแก้วเลิฟเบิร์ด" ซึ่งมีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสายพันธุ์ที่ได้พัฒนาเรื่องของสีที่มีความหลากหลายมาก

ผู้นิยมเลี้ยงนกจะทราบแหล่งซื้อหานกแก้วเป็นอย่างดี อย่างในตลาดสัตว์เลี้ยงที่ตลาดนัดจตุจักร และที่ตลาดนัดสนามหลวง 2 รวมถึงช่องทางการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้สนใจซื้อนก และผู้เพาะพันธุ์นก สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

คำแนะนำสำหรับมือใหม่ที่สนใจจะเลี้ยงนก เริ่มตั้งแต่การเลือกลูกนกที่จะนำมาเลี้ยง เนื่องจากลูกนกเป็นสัตว์ที่ต้องการความดูแลเอาใจใส่ค่อนข้างมาก ผู้ที่คิดจะรับนกมาเลี้ยงจึงควรไตร่ตรองให้ดี ควรศึกษาลักษณะนิสัยของนกสายพันธุ์ต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนก ที่คิดว่าเหมาะกับความต้องการและความสามารถในการเลี้ยงดูของตนเอง เพื่อสุขภาพที่ดีของนก และเพื่อที่ผู้เลี้ยงจะได้รับความสุขจากการเลี้ยงนกอย่างแท้จริง

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เวลาที่เหมาะจะนำนกใหม่มาเลี้ยงคือตอนเช้า เพราะนกจะต้องปรับตัวที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ หากนกถูกจับใส่กรงใหม่ตอนเย็น จะเกิดความวิตกกังวลสับสน เกิดความหวาดกลัว ในช่วงกลางคืนตลอดทั้งคืน ซึ่งนกบางตัวเมื่อมีอาการแปลกที่มากๆ อาจถึงกับตายได้

อาหารการกินของนกในวัยลูกป้อนนั้น ผู้เลี้ยงจะต้องดูแลและป้อนอาหารให้เหมาะสมกับวัยของนกในช่วงนั้นๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ลูกนกจะหัดกินเองได้ จึงหยุดป้อนนก อาหารป้อนสมัยนี้สะดวกสบาย เพราะมีผู้ผลิตอาหารสำหรับป้อนลูกนกแก้วโดยเฉพาะออกมาจำหน่าย มีให้เลือกหลายยี่ห้อ ซึ่งที่ฉลากจะบอกวิธีการเตรียมอาหารอย่างถูกต้องไว้ให้แล้ว

เมื่อนกถึงวัยกินเองแล้ว ต้องให้นกได้รับน้ำที่สะอาดถูกหลักอนามัย และมีคุณค่าทางสารอาหารต่อนก อาหารโดยทั่วไปเน้นให้อาหารที่สะอาด มีการเปลี่ยนถ่ายอาหารและน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง อาหารของนกแก้วแบ่งเป็น 3 จำพวก ได้แก่ อาหารสด เป็นผัก หรือผลไม้ตามฤดูกาล ถั่วชนิดต่างๆ ต้มสุก อาหารแห้ง คือ เมล็ดธัญพืชชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมกับนกในแต่ละสายพันธุ์ รวมถึงอาหารสำเร็จรูปสำหรับนกแก้วโดยเฉพาะ และอาหารเสริม เช่น วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่นกสมควรจะได้รับ เช่น แคลเซียม เป็นต้น

แหล่งรวบรวมนกปากขอของเอกชนแห่งหนึ่งที่สามารถเข้าไปชมเพื่อศึกษาได้ คือ “สวนปาล์มฟาร์มนก” ตั้งอยู่ที่อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.30 ถึง 17.00 น. มีช่วงเวลาให้ป้อนอาหารนกแก้วรอบเช้า 09.30 ถึง 12.00 น. รอบบ่าย 14.00-17.00 น. 

หากต้องการสอบถามข้อมูล หรือขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ ติดต่อได้ที่หมายเลขโทร– ศัพท์ 08-0587-1911 และ 08-1372-1196
ข้อแนะนำสำหรับผู้เข้าชมคือ ควรไปตั้งแต่ช่วงเช้า เพราะแดดยังไม่แรงมาก และไม่ควรสวมเครื่องประดับ เนื่องจากนกแก้วมีลักษณะนิสัยค่อนข้างซน และชอบแทะเครื่องประดับ
ไปเที่ยวสวนปาล์มฟาร์มนกแล้ว สามารถเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจในจังหวัดฉะเชิงเทราได้อีกหลายแห่ง เช่น วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตลาดบ้านใหม่ ตลาดน้ำบางคล้า คุ้มวิมานดิน เที่ยวแบบนี้ ใช้เวลาแค่วันเดียวก็เกินคุ้มแล้ว...

สถานที่ท่องเที่ยว สยองขวัญของญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่น มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีสถานที่สำคัญๆเก่าแก่มากมาย บางสถานที่ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่น่ากลัว น่าสยองขวัญ หรือมีตำนานภูตผี แต่ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลง กลับกลายเป็นสถานที่ที่หลายคนอยากลองไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่ามันน่ากลัวสมคำเล่าลือหรือไม่ จึงขอนำสถานที่ดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

อันดับ 5 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)


ปราสาทฮิเมจิ เป็นปราสาทที่เก่าแก่ งดงามและทรงคุณค่าแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่บนเขาฮิเมยามา ที่เมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นปราสาทที่ออกแบบสลับซับซ้อน ทั้งด้านในและด้านนอก มีอาคารเชื่อมต่อกันกว่า 83 อาคาร เนื่องจากเป็นปราสาทที่ใช้ป้องกันศัตรูจากภายนอกในยุคสงครามกลางเมือง ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายศตวรรษ

ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับปราสาทฮิเมจินั้นมีมากมาย เช่น ถ้าใครอยู่ภายในปราสาทประมาณ 4 โมง ถ้าไม่ออกจากปราสาทภายในเวลา 2 ชั่วโมงจะหลงทาง แต่ตำนานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ ตำนานผีนับจาน หรือซารายาชิกิ (Sarayashiki) ซึ่งว่ากันว่าในจำนวนบ่อน้ำหลายสิบบ่อ ที่สร้างขึ้นในปราสาทแห่งนี้ มีบ่อหนึ่งที่มีผีสิง ซึ่งเป็นวิญญาณของหญิงสาวชื่อ โอกิกุ (Okiku) ที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม


ความจริงแล้วตำนานโอกิกุ แห่งปราสาทฮิเมจินั้น ค่อนข้างสับสน แต่ตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ในอดีตหญิงสาวคนดังกล่าว เป็นสาวใช้ในปราสาทที่ถูกใส่ความ ว่าเธอไปทำจาน ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลแตก เธอเลยถูกฆ่าและนำไปโยนทิ้งในบ่อน้ำ ส่งผลทำให้บ่อน้ำดังกล่าว กลายเป็นบ่อน้ำผีสิง ซึ่งทุกค่ำคืนโอกิกุ จะปรากฏออกมานับจานด้วยน้ำเสียงโหยหวน เศร้าสร้อยสลดใจ

ส่วนอีกตำนานหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน โดยเล่ากันว่าโอกิกุเคยเป็นสาวใช้ของขุนนางคนหนึ่ง ชื่ออาโอยาม่า (Aoyama) วันหนึ่งเธอบังเอิญไปได้ยินความลับสุดยอดของเจ้านายเข้า และนำความลับไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ทำให้แผนการของอาโอยาม่าล้มเหลวในที่สุด อาโอยาม่าจึงวางแผนสังหารเธอ โดยการใส่ความโอกิกุว่าเธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบ ซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอกิกุถูกทรมานจนตาย และทิ้งศพลงบ่อน้ำ นับจากนั้นเป็นต้นมา ในบางค่ำคืนจะมีเสียงนับจานอันโหยหวนออกมาจากบ่อน้ำในปราสาท หรือมีดวงไฟวิญญาณพวยพุ่งออกจากบ่อน้ำยามค่ำคืน


อันดับ 4 โอซาระ (Osore)


โอซาระเป็นอดีตภูเขาไฟในเขตจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งถูกค้นพบในศตวรรษที่ 16 เป็นภูเขาหินที่แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เนื่องจากบริเวณแถบนั้นเต็มไปด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือก๊าซไข่เน่าที่ออกจากทะเลสาบโดยรอบ

ตามตำนานความเชื่อของญี่ปุ่นเชื่อกันว่า สถานที่ดังกล่าวเป็นประตูนรก ที่คนตายและคนใกล้ตายมารวมตัวกัน โดยมีแม่น้ำลำธารเล็กๆ เรียกว่าแม่น้ำซันซึ (Sanzu River) หรือแม่น้ำสามแยกเป็นจุดแบ่งกั้นโลกมนุษย์ (คนเป็น) และวิญญาณ (คนตาย) ออกจากกัน โดยเหล่าวิญญาณในฝั่งคน เป็นจะต้องข้ามไปยังโลกความตายก่อนที่จะโดน ดัทซึเอบะ (Datsueba) และเคเนโอ (Keneo) ปีศาจเพศชายและปีศาจเพศหญิงที่อาศัยต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่เฝ้าสะพานข้ามแม่น้ำจับถอดเสื้อผ้าแขวนต้นไม้ เพื่อชั่งน้ำหนักกรรม

นอกจากนี้ ยังมีตำนานกล่าวกันว่า หากเด็กคนไหนเสียชีวิตลงก่อน พ่อแม่จะถูกลงโทษฐานทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ วิญญาณของเด็กๆ เหล่านี้จะต้องเรียงหินก้อนเล็กๆ แต่ละก้อน เพื่อสร้างเจดีย์ในบริเวณริมแม่น้ำซันซึ แต่พอใกล้สำเร็จจะถูกปีศาจออกมาทุบทำลาย ทำให้เด็กเหล่านั้นไม่มีทางสร้างเจดีย์เสร็จได้ 

ดังนั้น โอซาระแห่งนี้จึงมีผู้นิยมนำของเล่นโบราณต่างๆ นานา เช่น กังหันเล็กๆ หรือขนมไปไว้บริเวณรอบๆ หรือสร้างศาลเจ้า เพื่อทำบุญกับเด็กนั่นเอง

ปัจจุบันจะมีการจัดงานเทศกาลปีละสองครั้ง ที่วัดโบไดจิ (Bodaiji) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้โอซาระ โดยจะมีการทำพิธีการเข้าทรงโดยอิทาโกะ (Itako) คนทรงตาบอด เรียกวิญญาณผู้ตายเข้าสิงในร่างของตน เพื่อให้คนเป็นสามารถพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้วได้


อันดับ 3 เกาะฮะชิมะ (Hashima Island)
เกาะฮะชิมะ แต่เดิมมีชื่อว่า กันคันจิม่า (Gun Kanjima) หรือเกาะแห่งเรือประจัญบาน (Battleship Island) เป็นหนึ่งในหมู่เกาะกว่า 505 แห่ง ในประเทศญี่ปุ่นที่ไม่มีใครอยู่ โดยอยู่ในทะเลจีนตะวันออก ห่างจากเมืองนางาซากิ (Nagasaki) ประมาณ 15 กิโลเมตร

ประวัติของเกาะมีอยู่ว่า ในอดีตประมาณปี 1887 ที่นี่เคยมีประชากรที่ส่วนใหญ่มักเป็นพนักงานทำงานเหมืองแร่ ในยุคที่อุตสาหกรรมถ่านหินเฟื่องฟู โดยบริษัทมิตซูบิชิ (Mitsubishi) ได้ก่อสร้างเมืองขนาดเล็กเอาไว้ เพื่อใช้เป็นที่พักของพนักงาน จนกระทั่งถึงยุคที่น้ำมันปิโตรเลียมมาแทนถ่านหิน มิตซูบิชิได้ประกาศปิดเหมืองอย่างเป็นทางการในปี 1974 และได้ปล่อยเมืองทิ้งร้างเอาไว้ จนกลายเป็นเกาะผี

โดยมีเรื่องเล่าว่า ในตอนกลางคืนช่วงที่มีมรสุม หรือพายุเข้า ชาวประมงมักเห็นแสงไฟจำนวนหนึ่งลอยละล่องวนเวียนเหนือตึกสูง ทั้งๆ ที่ไม่มีไฟฟ้า พร้อมเห็นเงาดำของคนจำนวนมากที่ริมฝั่ง และได้ยินเสียงน่ากลัวดังเหมือนกับโหยหาใครซักคนไปอยู่ด้วย

ครั้งหนึ่งบนเกาะแห่งนี้ เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “แบทเทิล โรเยล 2” (Battle Royale 2) ในปี 2003 และที่นั่นทีมงานได้พบกับเรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติในกองถ่ายตลอดเวลา เช่น มีคนอื่นที่ไม่ใช่ทีมงานถูกถ่ายติดเข้ามาในฉากแสดง ฟิล์มเสียทั้งที่เพิ่งใช้งาน แต่เหตุการณ์ที่ผวาที่สุดในกองถ่ายก็คือ นักแสดงหญิงคนหนึ่งถูกอะไรบางอย่างเข้าสิงแล้วเข้ามาทำร้ายคนในกองถ่าย!!


อันดับ 2 อาโอคิกาฮาระ (Aokigahara)


อาโอคิกาฮาระ หรือเรียกอีกชื่อว่า ทะเลป่า (The Sea of Trees) เป็นป่าที่มีพื้นที่ประมาณ 3,000 เอเคอร์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือบริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ โดยป่าดังกล่าวเต็มไปด้วยโขดหินภูเขาไฟ ถ้ำน้ำแข็ง ถ้ำหิน ป่าไม้เก่าแก่

อาโอคิกาฮาระ เป็นพื้นที่ที่มีตำนานเรื่องเล่าโบราณมากมายว่า เป็นสถานที่สิงสถิตของมารร้ายในเทพนิยายของญี่ปุ่นที่ทำให้ผู้ที่หลงเข้ามาไม่สามารถกลับไปยังโลกภายนอกได้อีก

โดยรายงานทางสถิติพบว่า สถานที่แห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายมากที่สุด เป็นรองเพียงสะพานโกลเด้น เกต (Golden Gate) ซึ่งความนิยมนี้มาจากอิทธิพลของนิยายเรื่อง ทะเลป่าดำ (Black Sea of Trees) ของนักเขียนไซโซ มัตสึโมโตะ (Seicho Matsumoto) ที่เป็นเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่ได้ฆ่าตัวตายในป่าดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงในเรื่องสถานที่ไปฆ่าตัวตายนั้นมีมานานแล้ว โดยสมัยก่อนชาวญี่ปุ่นนิยมพาผู้สูงอายุ ที่เป็นภาระของครอบครัวมาทิ้งในป่าแห่งนี้ และผู้สูงอายุที่ถูกทิ้ง จะต้องอยู่ในป่าลึกหลายวันในสภาพที่ร่างกายขาดน้ำ และอาหารก่อนที่จะเสียชีวิต เพราะอากาศเย็นจัด จนเป็นเหตุให้หลายคนเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีผีสิงและวิญญาณร้ายพร้อมจะทำร้ายคนที่เข้ามาในป่า

ตั้งแต่ปี 1950 มีคนมากกว่า 500 คน มาป่าแห่งนี้เพื่อฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก คนตกยาก ผู้สูงอายุ โดยวิธีฆ่าตัวตายที่ฮิตที่สุดคือการแขวนคอกับต้นไม้ อีกทั้งในทุกๆ ปีค่าเฉลี่ยการฆ่าตัวตายจะยิ่งเพิ่มขึ้น (ประมาณ 30 คนต่อปี)


อันดับ 1 โรงเรียน (School)


เวลาเราดูสื่อญี่ปุ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ, ภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์ และการ์ตูน มักมีเรื่องโรงเรียนมาเกี่ยวข้องทุกครั้ง หากแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องส่วนมากมัก เป็นเรื่องสยองขวัญในโรงเรียนเสียมากกว่า ซึ่งชาวญี่ปุ่นเองก็มีเรื่องเล่าประเภทดังกล่าวมากมาย โดยเรื่องเล่าหลายเรื่องเต็มไปด้วยความน่ากลัว ระทึกขวัญ แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร และที่น่าอัศจรรย์ก็คือ เรื่องเล่าสยองขวัญเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันในทุกโรงเรียน!!

เรื่องเล่าสยองขวัญในโรงเรียนของญี่ปุ่นส่วนมาก มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเลิกเรียน ซึ่งเชื่อกันว่าในอดีตที่ดินโรงเรียนเคยเป็นป่าช้ามาก่อน สาเหตุเป็นเพราะทางรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการสร้างโรงเรียนจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนประชากรญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ที่ดินสำหรับสร้างโรงเรียนญี่ปุ่นมีน้อย 

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างโรงเรียนทับที่ป่าช้า ส่งผลทำให้วิญญาณมากมายไม่มีที่อยู่ ทำให้วิญญาณต้องเข้าไปสิงในสถานที่ต่างๆ ในโรงเรียนแทน


ในโรงเรียน สถานที่ที่มักมีเรื่องผีมากที่สุดคือ ห้องน้ำผู้หญิง โดยเฉพาะด้านในสุดของห้อง มักมีเรื่องเล่าแปลกประหลาดมากมาย เช่น มีมือโผล่จากโถส้วม, เวลากดชักโครกจะมีเลือดไหลแทนน้ำ, เสียงแปลกๆในห้องน้ำที่ล็อกประตู โดยเฉพาะเรื่องของคุณฮานาโกะประจำห้องน้ำ (Miss Hanako of the Toilet) จะได้รับความนิยมมากที่สุด โดยคุณฮานาโกะ มักปรากฏตัวในรูปลักษณ์เด็กผู้หญิงไว้ผมหน้าม้า สวมกระโปรงสีแดง และชอบสิงอยู่ในห้องที่ 3 จากขวามือ (ส่วนมากห้องน้ำในโรงเรียนจะมีฝั่งละ 4 ห้อง) เวลาใครที่เข้าห้องน้ำตอนกลางคืน คุณฮานาโกะจะออกมาหลอกหลอนในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสยองขวัญ

บันไดในอาคารเรียนเก่าก็ถือว่าเป็นสถานที่น่ากลัว มีเรื่องเล่าว่าหากเราเดินขึ้น-ลงบันไดในตอนเย็น แล้วพบว่าบันไดมี 13 ขั้น (ปกติบันไดจะมี 12 ขั้น) มันจะเป็นบันไดสู่โลกหน้า และจะคอยจับเด็กดังกล่าวลงไปยังโลกแห่งความตายพร้อมกับตน

นอกจากนี้ ยังมีหลายสถานที่ในโรงเรียน ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณคน สิ่งของเครื่องใช้มีชีวิตมากมาย เช่น ผีลู่ว่ายที่ 4 ในสระน้ำโรงเรียนที่มีผีเด็กชาย ที่ตายในขณะว่ายน้ำในวิชาพละที่ลู่ว่ายที่ 4, รูปปั้นห้องวิทยาศาสตร์เดินได้, สนามกีฬาโรงเรียนที่วิญญาณซามูไรญี่ปุ่นโบราณยังทำการสู้รบอยู่ตลอดกาลในช่วงตอนกลางคืน เป็นต้น

แม้บรรยากาศโรงเรียนยามค่ำคืนจะน่ากลัวสำหรับใครหลายๆ คน แต่กระนั้นมันก็ท้าทายให้คนอีกกลุ่มที่ชอบเรื่องผีไปท้าพิสูจน์ความกล้าในสถานที่ดังกล่าวอยู่เสมอ

“ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” ที่จังหวัดนครนายก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ

ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ตั้งอยู่บนที่ดินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พื้นที่กว่า 14 ไร่ ใกล้เขื่อนขุนด่านปราการชล บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก

มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำเนินการจัดทำโครงการศูนย์นิทรรศการการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อรวบรวมแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านต่างๆ เช่น ด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานนามโครงการว่า โครงการศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2545

ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์ระบบแสง สี เสียง ซึ่งเป็นอาคารนิทรรศการจัดแสดงแนวคิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการบริหารจัดการ 4 ด้าน คือ การบริหารจัดการดิน การ บริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการป่า และการบริหารจัดการมนุษย์ เป็นการสรุปภาพรวมของพระราชกรณียกิจอันเป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระราชกรณียกิจต่างๆ เป็นการปูพื้นก่อนที่จะไปชมของจริงในส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร

ด้านนอกเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต พื้นที่แปลงสาธิตแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ แบ่งส่วนการจัดแสดงโดยจำลองป่าและภูมิประเทศของประเทศไทยทั้งสี่ภาค
- ภาคเหนือ แสดงแนวคิดด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
- ภาคกลาง จัดแสดงเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ 
- ภาคอีสาน เป็นเรื่องการส่งเสริมอาชีพ 
- ภาคใต้ เรื่องพลังงานทดแทน

ในบริเวณนี้มีทางเดินโดยรอบให้เข้าไปศึกษาทดลองและเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นส่วนที่น่าสนใจเป็นอันมาก เช่น แปลงป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ป่า 3 อย่าง คือ ไม้ผล ไม้ฟืน ไม้ใช้สอย และประโยชน์ที่ 4 คือ มีป่าไม้ช่วยในการอนุรักษ์ดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อม

ตามจุดต่างๆ นอกจากมีของจริงที่ทำไว้ให้ดูแล้ว จะมีป้ายบอกข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ ให้อ่านแล้วได้ความรู้ สามารถนำกลับไปปฏิบัติตามได้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกรอบแปลงผัก มีประโยชน์คือ รากหญ้าแฝกช่วยให้ดินร่วนซุย รากหญ้าแฝกช่วยดูดความ ชื้นและเก็บกักปุ๋ย หลังจากนั้นตัดใบหญ้าแฝกลงห่มดินเป็นปุ๋ยได้ด้วย

การห่มดิน คือ การนำหญ้า ฟาง หรือใบไม้คลุมลงบนดิน มีประโยชน์คือช่วยเก็บรักษาความชื้น เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ช่วยย่อยสิ่งต่างๆ ให้เป็นอาหารแก่พืช เมื่อเศษหญ้า ฟาง ใบไม้เปื่อยเน่า จะเป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ แมลงแกลบ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะช่วยกันพรวนดินและถ่ายมูลเป็นปุ๋ย เมื่อเปื่อยเน่ามากๆ จะกลายเป็นฮิวมัสสะสมอยู่บนผิวดิน ซึ่งเป็นปุ๋ยชั้นเยี่ยมสำหรับพืช

การเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อการเกษตรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีการศึกษาทดลองครั้งแรกที่วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ขุดสระเก็บกักน้ำ ไว้ใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์น้ำ และพืชต่างๆ ส่วนที่ 2 ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ทำนาข้าว ปลูกข้าวในฤดูฝนไว้บริโภคในครัวเรือนให้เพียงพอตลอดทั้งปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้ ส่วนที่ 3 ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชสวน พืชไร่ พืชสมุนไพร เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย ส่วนที่ 4 ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่อยู่อาศัยและโรงเรือนต่างๆ

แปลงทฤษฎีแก้มลิง แม่แบบการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยขุดคลองต่างๆ เพื่อชักน้ำให้มารวมกันในบ่อพักน้ำ จากนั้นจึงระบายน้ำลงทะเล เมื่อปริมาณน้ำทะเลลดลง หรือผันไปใช้ในการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเปรียบเหมือนลิงเวลากินกล้วยจะเก็บไว้ที่แก้มหลายๆ ลูก แล้วค่อยๆ นำมาเคี้ยวกินภายหลัง

แปลงสาธิตโครงการแกล้งดิน เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด เป็นการเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน โดยทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน ทำให้ดินเปรี้ยวจัดจนถึงที่สุด แล้วจึงใช้น้ำชะล้างความเปรี้ยวและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้

สำหรับคนที่สนใจเรื่องการทำอาหาร มีส่วนจัดแสดงที่เรียกว่า เส้นทางเครื่องแกง แสดงพืชที่นำมาประกอบเป็นเครื่องแกงชนิดต่างๆ ได้แก่ เครื่องแกงเผ็ด เครื่องต้มยำ เครื่องแกงส้ม ให้ได้เห็นของจริงกันเลยว่า เครื่องแกงแต่ละชนิดประกอบด้วยพืชชนิดใดบ้าง แม่ครัวสมัยใหม่บางคนอาจเคยใช้แต่เครื่องแกงสำเร็จรูป ไม่ได้ตำเครื่องแกงเอง หรือเห็นข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เฉพาะที่ถาดโฟมวางขายในซุปเปอร์มาร์เกต ถ้าไปที่นี่ก็จะได้เห็นต้นจริงๆ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร พร้อมทั้งได้รู้ถึงคุณประโยชน์ สรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิดด้วย

เรื่องพลังงานทดแทน แสดงวิธีการเผาถ่าน ทั้งถ่านจากไม้ยางพารา ไม้ผล และไม้ไผ่ ซึ่งถ่านไม้ที่ผ่านกรรมวิธีการเผาในอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสนั้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมายหลายอย่าง เช่น ช่วยฟอกอากาศ ดูดกลิ่น ดูดความชื้น นำไปเป็นส่วนประกอบของแชมพู สบู่ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก ใช้ผสมอาหารสัตว์ ช่วยเพิ่มแร่ธาตุ ดูดซับสารพิษ ใช้ผสมดินเพื่อการเพาะปลูก ช่วยปรับสภาพดิน เพิ่มแร่ธาตุที่พืชต้องการ

ที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ มีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งทางศูนย์ฯ ผลิตขึ้นเอง เช่น น้ำส้มควันไม้ไล่แมลง สเปรย์ไล่ยุง โลชั่นทากันยุง

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางรังสิต-นครนายก มุ่งหน้าไป เขื่อนขุนด่านปราการชล แล้วจะเห็นป้ายบอกทางไปศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง

สำหรับผู้สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะควรติดต่อนัดหมายล่วงหน้า เพื่อที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติจะได้เตรียมการสาธิตและฝึกอบรมต่างๆ ให้ เช่น การทำสบู่เหลวสมุนไพร การทำแชมพู การทำปุ๋ยชีวภาพ การทำถ่านไม้ไผ่ การทำน้ำยาอเนกประสงค์ การทำบ้านดิน

โดยติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปัญญา ปุลิเวคินทร์ ผู้ประสานงานศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก หมายเลขโทรศัพท์08-1964-5915, 08-6549-0918 และ 0-3738-4049