พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อาจเป็นพระมหากษัตริย์ที่คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับพระองค์ท่านน้อยที่สุด เมื่อพิจารณาจากปริมาณหนังสือและงานวิชาการเกี่ยวกับพระองค์ท่าน นอกจากเรื่องสนธิสัญญาบาวริ่ง สุริยุปราคาที่หว้ากอ และเรื่องแต่งของแหม่มแอนนาแล้ว นับว่าความรับรู้เกี่ยวกับพระองค์ท่านในสังคมไทยค่อนข้างพร่าเลือน
ประชุมประกาศกว่า 343 ฉบับซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงคัดเลือก เพื่อตีพิมพ์ครั้งแรกในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง... การค้าเสรียุคแรก การเปลี่ยนสถานภาพของรัฐ และการจัดรูปสังคมวัฒนธรรม ฯลฯ รอการเรียนรู้จากผู้คนในสังคมไทย เรื่องราวเหล่านี้กำลังรอการเรียนรู้จากผู้คนในรุ่นหลัง "เพราะเราคิดว่าเรารู้เรื่อง แต่เอาเข้าจริงแล้วเราอาจจะไม่รู้ก็ได้ เพราะเราก็ท่องกันมา เรามักพูดถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เรื่องของการหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคม นั่นเป็นประเด็นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาฯ เป็นส่วนใหญ่ แต่เอาเข้าจริงเราก็เห็นว่าเรื่องมันมีมากมายกว่านั้นอีก"
"เราเรียนรู้อะไรจากประชุมประกาศ"
ความสับสนอ่อนแอทางความรู้ความเชื่อเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและยุคสมัยของพระองค์ในสังคมไทยปัจจุบัน
ประการแรก ประวัติศาสตร์ทั้งการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ เราจะหมายถึงรัชกาลที่ 123 แล้วเราก็หยุด เมื่อเราอธิบายถึงยุคสมัยการปฏิรูปการปกครอง เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ตามแบบตะวันตกเราอธิบายถึงรัชกาลที่ 5 ต่อด้วย 6และ7 แล้วรัชกาลที่ 4 อยู่ที่ไหน ความเลือนลางในการเรียนรู้เกี่ยวกับพระจอมเกล้าที่เด่นชัดมากคือ หนังสือหรือหนังสือวิชาการการค้นคว้าเกี่ยวกับพระจอมเกล้ามีน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับรัชกาลอื่นๆ ในพระบรมราชจักรีวงศ์
อีกตัวอย่างของความสับสนอ่อนแอในการรับรู้เกี่ยวกับรัชกาลที่ 4 คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า ประชุมประกาศกว่า 343 ฉบับที่รวมเล่มตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ มิใช่ประกาศทั้งหมดของพระองค์ในช่วงรัชสมัย 17 ปี ของพระองค์ แต่เป็นการคัดสรรโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ "คำถามก็คือว่ามีประกาศอีกจำนวนเท่าไหร่ มากแค่ไหนที่อยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นี่อาจเป็นสภาวะเซื่องซึมของกระทรวงวัฒนธรรมที่ไม่กระทำอะไรเลยเกี่ยวกับช่วงเวลา 200 ปีของพระองค์" ดูเหมือนยิ่งใหญ่แต่ลางเลือน
ประการแรก ประวัติศาสตร์ทั้งการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ เราจะหมายถึงรัชกาลที่ 123 แล้วเราก็หยุด เมื่อเราอธิบายถึงยุคสมัยการปฏิรูปการปกครอง เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ตามแบบตะวันตกเราอธิบายถึงรัชกาลที่ 5 ต่อด้วย 6และ7 แล้วรัชกาลที่ 4 อยู่ที่ไหน ความเลือนลางในการเรียนรู้เกี่ยวกับพระจอมเกล้าที่เด่นชัดมากคือ หนังสือหรือหนังสือวิชาการการค้นคว้าเกี่ยวกับพระจอมเกล้ามีน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับรัชกาลอื่นๆ ในพระบรมราชจักรีวงศ์
อีกตัวอย่างของความสับสนอ่อนแอในการรับรู้เกี่ยวกับรัชกาลที่ 4 คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า ประชุมประกาศกว่า 343 ฉบับที่รวมเล่มตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ มิใช่ประกาศทั้งหมดของพระองค์ในช่วงรัชสมัย 17 ปี ของพระองค์ แต่เป็นการคัดสรรโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ "คำถามก็คือว่ามีประกาศอีกจำนวนเท่าไหร่ มากแค่ไหนที่อยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นี่อาจเป็นสภาวะเซื่องซึมของกระทรวงวัฒนธรรมที่ไม่กระทำอะไรเลยเกี่ยวกับช่วงเวลา 200 ปีของพระองค์" ดูเหมือนยิ่งใหญ่แต่ลางเลือน
ดังนั้น จึงเป็นพระองค์เองที่กำหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด
ซึ่งประกาศรัชกาลที่ 4 นั้น ได้รับการคัดเลือกโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพื่อตีพิมพ์ครั้งแรกในปลายรัชกาลที่ 6 ปี พ.ศ. 2464 และถูกติพิมพ์ซ้ำมาอีกหลายครั้ง เนื้อหาของประชุมประกาศที่ได้รับการตีพิมพ์นั้น เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา ทั้งเรื่องภาษาวรรณคดี เรื่องราวทางสังคม และรัชกาลที่ 4 ได้มีการฟื้นฟูประเพรีสมัยอยุธยา และหากจะวิเคราะห์ ทางวิชาการจริงๆ แล้ว หลายสิ่งในประชุมประกาศเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น
"รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเพณีสมัยอยุธยา โดยที่ก่อนหน้านั้นเอาเข้าจริงแล้ว เราในยุคปัจจุบันไม่มีทางรู้จริงๆ ว่าอยุธยาเป็นอย่างไร ซึ่งหลักวิชาการทางมานุษยวิทยาสังคมวิทยา เรียกว่าเป็นประเพณีประดิษฐ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่เราถือมาสืบทอดกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ล้วนมาจากวาทกรรมของ ร. 4 แทบทั้งสิ้น"
เราจะเห็นว่าพระจอมเกล้า ทรงใช้ประกาศเป็นเครื่องมือสื่อสาร ระหว่างพระองค์กับผู้อยู่ใต้ปกครองของพระองค์ กลุ่มต่างๆ อย่างที่ไม่เคยมีจารีตเช่นนี้มาก่อนในสยาม และประเด็นต่อไปคือ ประกาศเหล่านี้มีความกว้างขวางและสารสื่อเข้าถึงราษฎร และผู้รับสารโดยเฉพาะได้มากกว่าสมัยก่อน
ความรู้ที่ถูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 และทรงอิทธิพลต่อสังคมไทยปัจจุบันว่า
"รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ประเพณีสมัยอยุธยา โดยที่ก่อนหน้านั้นเอาเข้าจริงแล้ว เราในยุคปัจจุบันไม่มีทางรู้จริงๆ ว่าอยุธยาเป็นอย่างไร ซึ่งหลักวิชาการทางมานุษยวิทยาสังคมวิทยา เรียกว่าเป็นประเพณีประดิษฐ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่เราถือมาสืบทอดกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ล้วนมาจากวาทกรรมของ ร. 4 แทบทั้งสิ้น"
ประกาศ ร. 4 การสื่อสารคืออำนาจ
เราจะเห็นว่าพระจอมเกล้า ทรงใช้ประกาศเป็นเครื่องมือสื่อสาร ระหว่างพระองค์กับผู้อยู่ใต้ปกครองของพระองค์ กลุ่มต่างๆ อย่างที่ไม่เคยมีจารีตเช่นนี้มาก่อนในสยาม และประเด็นต่อไปคือ ประกาศเหล่านี้มีความกว้างขวางและสารสื่อเข้าถึงราษฎร และผู้รับสารโดยเฉพาะได้มากกว่าสมัยก่อน
ทั้งนี้ เพราะการมีเครื่องพิมพ์ของหลวงเองในสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นี่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากของสยามที่มีเครื่องพิมพ์เข้ามา
หากรัชกาลที่ 4 ท่านอยู่ในบริบทของเรา สิ่งที่ท่านทรงพระราชปฏิสันถาร (Dialogue) กับราษฎร ก็จะคล้ายๆ กับรายการคุยกับประชาชนวันเสาร์ ถ้าเป็นของอเมริกาก็คือ รายการของประธานาธิบดี แฟรงคลินท์ ดีรูสท์เวลท์ คือ การคุยกับราษฎรในทุกๆ เรื่อง
หากรัชกาลที่ 4 ท่านอยู่ในบริบทของเรา สิ่งที่ท่านทรงพระราชปฏิสันถาร (Dialogue) กับราษฎร ก็จะคล้ายๆ กับรายการคุยกับประชาชนวันเสาร์ ถ้าเป็นของอเมริกาก็คือ รายการของประธานาธิบดี แฟรงคลินท์ ดีรูสท์เวลท์ คือ การคุยกับราษฎรในทุกๆ เรื่อง
ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 สะท้อนว่า ผู้ปกครองในขณะนั้น เริ่มคิดถึงเรื่องการสื่อสาร ถ่ายทอดถึงความต้องการ อำนาจ หรือเป้าหมายลงไปยังคนจำนวนมาก และในกรณีของรัชกาลที่ 4 หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วสิ่งที่ปรากฏในประชุมประกาศ เอกสารสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชกิจจานุเบกษา เป็นการบอกเน้นความต้องการว่า ต้องการสื่อสาร ข้อความและจดหมายทางการเมืองเหล่านั้น ไปถึงผู้รับคือราษฎรซึ่งก็คือผู้อยู่ใต้ปกครองโดยทางตรง ไม่ต้องผ่านตัวแทน ไม่ต้องผ่านพิธีกรรมตามประเพณีเดิม
การพยายามสื่อสารทางตรงนี้เอง เป็นสิ่งแสดงว่า กลุ่มผู้เริ่มปกครองเริ่มมองเห็นการก่อรูปขึ้น ของผู้อยู่ใต้ปกครองที่เป็นนามธรรมมากขึ้น
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบประชุมประกาศกับกฎหมาย ที่เคยประกาศใช้ก่อนหน้านี้ซึ่งปรากฏว่า กฎหมายก่อนหน้าประชุมประกาศ จะระบุถึงผู้อยู่ใต้ปกครอง ที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมมาก เช่น ข้า ทาส บ่าว ไพร่ ทุกคนมีสังกัดแน่นอน แต่แนวคิดใหม่ที่มากับรัฐใหม่ที่เกิดขึ้น ระบุถึงผู้อยู่ใต้ปกครองที่เป็นนามธรรม คือ คำว่าพลเมือง ซึ่งระบุไม่ได้ว่าใครอยู่ตรงไหน
ทั้งนี้ การที่ผู้ปกครองสามารถมองเห็นผู้อยู่ใต้ปกครอง อย่างเป็นนามธรรมได้ เพราะเขารู้ว่าตัวเองมีเทคโนโลยี หรือมีความสามารถในการทำให้การสื่อสารนั้น ลงไปถึงมวลราษฎรเกิดเป็นจริงได้ และเทคโนโลยี หรือเครื่องมือที่สร้างอำนาจ ในการสื่อสารในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็คือ แท่นพิมพ์ เทคโนโลยีการพิมพ์สมัยใหม่ที่มาพร้อมหมอบรัดเลย์...และจากนั้นไป การคิดเรื่องใหม่ๆ ก็จะตามมา เพราะการพิมพ์นั้นจะสร้างมาตรฐาน หรือระเบียบทั่วไปของเรื่องนั้นขึ้นมา เช่น การเขียน การสะกดการันต์ ไปจนถึงการสร้างนโยบายต่างๆ
ทั้งนี้ การที่ผู้ปกครองสามารถมองเห็นผู้อยู่ใต้ปกครอง อย่างเป็นนามธรรมได้ เพราะเขารู้ว่าตัวเองมีเทคโนโลยี หรือมีความสามารถในการทำให้การสื่อสารนั้น ลงไปถึงมวลราษฎรเกิดเป็นจริงได้ และเทคโนโลยี หรือเครื่องมือที่สร้างอำนาจ ในการสื่อสารในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็คือ แท่นพิมพ์ เทคโนโลยีการพิมพ์สมัยใหม่ที่มาพร้อมหมอบรัดเลย์...และจากนั้นไป การคิดเรื่องใหม่ๆ ก็จะตามมา เพราะการพิมพ์นั้นจะสร้างมาตรฐาน หรือระเบียบทั่วไปของเรื่องนั้นขึ้นมา เช่น การเขียน การสะกดการันต์ ไปจนถึงการสร้างนโยบายต่างๆ
"ความฝันของบรรดารัฐสมัยใหม่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกหรือตะวันตก คือ ความสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อยู่ใต้ปกครอง ด้วยแนวคิดทั่วไปได้ อำนาจที่แท้จริงของผู้ปกครอง ไม่ต้องถูกตัดทอน แบ่งแยก ตีความและแอบอ้างโดยคนของรัฐอีกต่อไป นี่คือทฤษฎีในทางปฏิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนั้น"
อย่างไรก็ตาม การสนทนากับประชาชนนั้น ถ้าผู้ทำการสนทนาไม่มีเป้าหมายที่เด่นชัด ก็จะไม่เกิดผลประโยชน์เท่าใดนัก แต่สิ่งที่รัชกาลที่ 4 ทรงกระทำนั้น มีความพยายามและมีผลงานออกมา จนกระทั่งเป็นรากฐานของการปกครองในปัจจุบันนี้หลายเรื่อง เช่น การพิมพ์ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจะแก้การที่มีคนโกง และใช้อำนาจตามอำเภอใจ สร้างความไม่เป็นธรรม ทำให้ราษฎรไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกฎหมายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาก็คือ การกำกับอำนาจการปกครองให้เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน ให้เกิดความรับรู้ทั่วไป ชาวบ้านก็รู้ได้ แล้วก็รู้กันเองด้วย ไม่ใช่รู้ด้วยปากเป่า แค่การไปป่าวประกาศไม่พอ เพราฉะนั้นทุกคนต้องขวนขวายที่จะรู้ที่จะอ่าน
"รัชกาลที่ 4 ทรงพยายามที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับความไม่รู้ และเข้าใจผิด โดยทรงพยายามสร้างความเข้าใจและความจริง ทว่าสิ่งที่พระองค์เพียรกระทำนั้น บรรลุผลหรือไม่ เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นหลักการตามตัวหนังสือ"
ซึ่งไม่อาจชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของความพยายาม หากบรรลุตามที่รัชกาลที่ 4 ต้องการ ผลของการที่รัชกาลที่ 4 ทรงพยายามสร้างความรู้และการสื่อสาร จะต้องยกระดับการเมืองให้สูงขึ้นไป กว่าที่เป็นอยู่นี้ในระดับที่สูงมาก แต่ก็จะพบว่าหลังรัชกาลที่ 5 มา ก็จะพบว่าระบบเศรษฐกิจและการเมืองเริ่มจะถอยหลัง
ฉะนั้น พระอัจฉริยภาพของรัชกาลที่ 4 เมื่อประเมินกับระบบการเมืองที่เป็นจริงแล้วนั้นก็เป็นปัญหา เหมือนกับปัญหาทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับระบบทางการเมืองของเรา ซึ่งก็เป็นระบบบนลงล่างอยู่ตลอดมา......
"การสื่อสารคืออำนาจ ทั้งความรู้คืออำนาจและการสื่อสาร คือ อำนาจนำไปสู่กระบวนการผลิตซ้ำทางสังคม นับตั้งแต่หลังจากพระองค์เสด็จสวรรคต โดยการตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 และตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้เป็นคู่มือแบบเรียนของชนชั้นนำทางสังคมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน.. .ถ้าเราอยากรู้ว่าตัวตนของเราคืออะไรในปัจจุบัน อ่านประชุมประกาศรัชกาลที่ 4"
คำว่า "อำนาจ" ของประชุมประกาศรัชกาลที่ 4...อำนาจที่ส่งผลกำกับ "ความเป็น" ของคนไทยและสังคมไทยตราบกระทั่งปัจจุบัน
การสถาปนารัฐสมัยใหม่ และการกำหนดช่วงชั้นทางสังคม
ด้านแรก ตัวประชุมประกาศเอง แสดงให้เห็นบริบททางการเมือง ที่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 2 ระดับด้วยกัน
- การเปลี่ยนแปลงระดับแรก คือ การเปลี่ยนรูปรัฐมาเป็นรัฐบาล จากรัฐที่ครั้งหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีบริการ (Service) และการควบคุม (Control)
ก้าวสู่ความเป็นรัฐบาลด้วยการบริการและควบคุม รัฐดั้งเดิมที่ปราศจากการบริการและการควบคุมนั้นจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น หากจินตนาการถึงรัฐแบบอยุธยา คือ รัฐที่มีการเก็บส่วยไป แต่ไม่ต้องสร้างโรงพยาบาล การเริ่มเปลี่ยนมาเป็นรูปจากรัฐ มาเป็นรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 4 หมายถึง การสร้างงานขึ้นมาอย่างน้อย 2 ด้าน คือ
- การบริการและควบคุม (Service และ Control) ซึ่งเห็นชัดจากประชุมประกาศฯ เช่น การประชุมประกาศที่เก็บภาษี เพื่อสร้างบริการ
- คำว่าทำนุบำรุงบ้านเมือง หรือทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ก็คือความหมายของการเปลี่ยนรูปเป็นรัฐบาลที่ต้องทำหน้าที่บริการและควบคุม
เราจะเห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนรูปของรัฐมาเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะด้านการควบคุม เป็นร่องรอยแรกที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้านการควบคุมนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจน เริ่มต้นมาจาก
- การแบ่งช่วงชน ชนชั้น หรือการแบ่งช่วงของชนในสังคม ประเด็นที่ถูกเน้นย้ำที่สุดก็คือ การยกระดับของสถาบันกษัตริย์ขึ้นมา อ้างอิงความบริสุทธิ์ของสายเลือด ขีดเส้นแบ่งระหว่างราชวงศ์กับหม่อมราชวงศ์ลงมา
- การยกระดับการพูดถึงวันเฉลิมเป็นวันหยุด นั่นคือการแบ่งช่วงของคนในสังคมให้ชัดเจนมากขึ้น
นอกจาก การควบคุมและการแบ่งช่วงของสังคม ก็ยังมีการสร้างพื้นที่ของสังคมขึ้นมา เราจะพบว่า ในประชุมประกาศความสะอาดความสกปรก มีการพูดถึงพื้นทางทางสังคมในหลายมิติ
ในการควบคุมพฤติกรรมของคน ก็มีมีการพูดถึงความสุภาพ หยาบคายและบทบาทของรัฐในการควบคุมก็คือ พยายามทำให้สกปรกหายไป กลายเป็นความสะอาด ทำให้ความหยาบคายหายไป กลายเป็นความสุภาพ
การควบคุมแบบนี้คือ การสร้างพื้นที่แบบหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่รัฐจะต้องเข้าไปดูแล ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ถูกเน้นขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ...รัฐมีหน้าที่ทำนุบำรุงโดยการสร้างพื้นที่และรัฐเป็นคนดูแล
ด้านการบริการที่เกิดขึ้น คือ ส่งเสริมการค้าขาย บริการด้านความสะอาด การส่งเสริมด้านสมบัติส่วนบุคคล และที่น่าสนใจก็คือ ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย ซึ่งเริ่มเป็นความรู้ที่เข้าไปสู่เรื่องของตัวบุคคลมากขึ้น
การควบคุมแบบนี้คือ การสร้างพื้นที่แบบหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่รัฐจะต้องเข้าไปดูแล ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ถูกเน้นขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ...รัฐมีหน้าที่ทำนุบำรุงโดยการสร้างพื้นที่และรัฐเป็นคนดูแล
ด้านการบริการที่เกิดขึ้น คือ ส่งเสริมการค้าขาย บริการด้านความสะอาด การส่งเสริมด้านสมบัติส่วนบุคคล และที่น่าสนใจก็คือ ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย ซึ่งเริ่มเป็นความรู้ที่เข้าไปสู่เรื่องของตัวบุคคลมากขึ้น
"นอกจากเรื่องควบคุมและบริการแล้ว มีการพยายามที่จะจัดกระบวนใหม่ ในการช่วงที่ระบบไพร่พังทลายลง เราจะพบการประกาศในเรื่องของมูลนาย ไพร่ จีน เจ้าภาษี ซึ่งเป็นความปั่นป่วนของระบบไพร่ โดยรัชกาลที่ 4 พยายามที่จะจัดการด้วยการขยายอำนาจรัฐลงไปมากขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนระบบไพร่มาสู่ระบบใหม่" (การเปลี่ยนแปลงระดับล่าง) เนื่องจากในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนเป็นรัฐสมัยใหม่ ไม่มีใครมีอำนาจเด็ดขาด
ดังนั้น ใครสามารถช่วงชิงพื้นที่ได้ ก็จะมีอำนาจมากขึ้น ในช่วงนั้นเอง อนาคตของขุนนางก็ไม่ได้วางอยู่บนฐานเศรษฐกิจแบบส่วยและแรงงานแบบเดิมแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับระบบตลาด
ดังนั้น ขุนนางจึงแตกเป็นกลุ่ม ไม่มีใครมีอำนาจเด็ดขาด
ประชุมประกาศของรัชกาลที่ 4 สามารถทำให้ทุกคนเห็นซึ่งกันและกันได้ ด้วยการหยิบเอาเรื่องนินทาขึ้นมาประกาศให้ทุกคนรู้ และการที่ทำให้ทุกคนเห็นซึ่งกันและกัน ได้ก็สามารถลดปัญหาเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อแย่งอำนาจ และยิ่งจะทำให้การเมืองภายในกลุ่มต่างๆ ลดลง กระบวนการเปิดทำให้ทุกคนหยั่งรู้ได้ว่าใครจะเดินไปทางไหนและพระองค์ก็สามารถหยั่งรู้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ด้วย
นอกจาก การแบ่งช่วงชั้นสร้างพื้นที่ทางสังคมแล้ว อีกประการที่สำคัญ คือ ร.4 พยายามที่จะควบคุมเวลา การอธิบายเวลาที่เป็นมาตรฐานเดียว หรือพยายามที่จะทำให้เป็นมาตรฐานเดียว สามารถจัดปฏิทินชีวิตของคนไทยขึ้นมาได้ สามารถทำให้แต่ละจังหวัด แต่ละช่วงใน 1 ปี ถูกกำกับโดยพระมหากษัตริย์
ประชุมประกาศของรัชกาลที่ 4 สามารถทำให้ทุกคนเห็นซึ่งกันและกันได้ ด้วยการหยิบเอาเรื่องนินทาขึ้นมาประกาศให้ทุกคนรู้ และการที่ทำให้ทุกคนเห็นซึ่งกันและกัน ได้ก็สามารถลดปัญหาเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อแย่งอำนาจ และยิ่งจะทำให้การเมืองภายในกลุ่มต่างๆ ลดลง กระบวนการเปิดทำให้ทุกคนหยั่งรู้ได้ว่าใครจะเดินไปทางไหนและพระองค์ก็สามารถหยั่งรู้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ด้วย
อีกด้านของอำนาจ เวลากับความรู้
นอกจาก การแบ่งช่วงชั้นสร้างพื้นที่ทางสังคมแล้ว อีกประการที่สำคัญ คือ ร.4 พยายามที่จะควบคุมเวลา การอธิบายเวลาที่เป็นมาตรฐานเดียว หรือพยายามที่จะทำให้เป็นมาตรฐานเดียว สามารถจัดปฏิทินชีวิตของคนไทยขึ้นมาได้ สามารถทำให้แต่ละจังหวัด แต่ละช่วงใน 1 ปี ถูกกำกับโดยพระมหากษัตริย์
การควบคุมเวลาได้ หมายถึง การมีอำนาจมากขึ้น
นอกจากนั้นแล้ว ก็มีการควบคุมทางเศรษฐกิจ คือ การสร้างมาตรฐานกลางในการแลกเปลี่ยนขึ้น คือ สิ่งที่เราเรียกว่าเงินตรา โดยสร้างความเชื่อถือขึ้นมา สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเริ่มระบบแลกเปลี่ยนในสังคมเงินตราคือการสร้างความเชื่อถือให้ได้
อีกประการ คือ การสร้างสิ่งที่เป็นความรู้ขึ้นมา การแสดงเป็นผู้มีภูมิปัญญาในทุกๆ มิติ ได้แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ทางด้านอดีตของสังคมไทย พร้อมๆ ไปกับการพยากรณ์อนาคตด้วย จึงทำให้รัชกาลที่ 4 สามารถที่ถ่ายทอดอำนาจมายังพระโอรสด้วย
อีกประการ คือ การสร้างสิ่งที่เป็นความรู้ขึ้นมา การแสดงเป็นผู้มีภูมิปัญญาในทุกๆ มิติ ได้แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ทางด้านอดีตของสังคมไทย พร้อมๆ ไปกับการพยากรณ์อนาคตด้วย จึงทำให้รัชกาลที่ 4 สามารถที่ถ่ายทอดอำนาจมายังพระโอรสด้วย
สถานะกษัตริย์จากประกาศรัชกาลที่ 4
ประการแรก ลายลักษณ์ ที่ถ่ายทอดมาจาก สิ่งที่พระมหากษัตริย์ประสงค์จะสื่อให้กับผู้รับสาร เป็นสื่อในระยะแรก อย่างน้อย 6 ปีก่อนตั้งโรงพิมพ์
ลายลักษณ์ ที่ถ่ายทอดออกมาในช่วงแรกนี้ ออกมาในรูปของจารีต คือ การรับสั่ง หรือเขียนแล้วให้อาลักษณ์เอาไปคัดลอกต่อ เพราะฉะนั้น ประกาศที่เราได้อ่านกัน จึงเป็นอกสารลายลักษณ์ที่ผ่านการถ่ายทอด 2 แบบคือ ถ่ายทอดจากสิ่งที่พระองค์เขียน หรือผ่านการถ่ายทอดจากสิ่งที่พระองค์รับสั่ง
อย่างไรก็ตาม สถานะของประกาศมีลักษณะพิเศษคือว่า เป็นคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดิน
เพราะฉะนั้น ประกาศจึงเป็นเอกสารลายลักษณ์ที่บอกตัวตนของจักรพรรดิราช และเมื่ออ่านจากประกาศรัชกาลที่ 4 แล้ว จะพบว่า แม้คนรุ่นหลังจะมองว่ารัชกาลที่ 4 เป็นกษัตริย์สมัยใหม่ แต่แท้จริงแล้ว "ตัวตน" ที่พระองค์ พยายามถ่ายทอดในประกาศอันนี้ก็คือ การบอกสถานภาพของพระองค์ ในฐานะองค์จักรพรรดิราช ซึ่งเป็นสมมติเทพที่อาจจะมีราก หรือความเป็นมาในแบบจารีตประเพณี
ตัวตน ที่จะบอกว่าเป็นคำสั่งของพระจักรพรรดิราชอยู่ที่พระนามาภิไธย ปรากฏอยู่ตอนต้นๆ ของประกาศซึ่งระบุชัดว่าตัวผู้ประกาศเป็นใคร
พระนามาภิไธย บอกความฐานะเป็นสมมติเทพแห่งองค์พระอิศวร และยังมีความสำคัญ 2 ประการคือ ระบุพระนามเฉพาะพระองค์ซึ่งไม่เคยมี ชื่อเฉพาะของกษัตริย์ไม่มีเคยมาก่อน
พระนามาภิไธยของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งชื่อเฉพาะของกษัตริย์ แล้วก็ใช้เรียกในเวลาที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เพราะก่อนหน้านั้นจะไม่มีการตั้งชื่อพระมหากษัตริย์ที่เป็นชื่อเฉพาะ
ชื่อพระจอมเกล้า ยังเป็นชื่อที่สืบทอดความหมายดั้งเดิม คือ พระนามที่พระราชบิดาตั้งให้ก่อนครองราชย์คือ มงกุฎ ความหมายของพระจอมเกล้าและพระมงกุฎก็คือ ที่อยู่สูงสุด ก็คือที่อยู่สูงสุดเหนือร่างกายของมนุษย์ เพราะฉะนั้นพระนามของพระองค์ จึงย้ำฐานะของพระองค์ในฐานะเจ้าเหนือหัว ทรงเป็นจักรพรรดิราชไม่ได้เป็นกษัตริย์แบบอื่นเลย
ในขณะเดียวกับที่ทรงตั้งชื่อกษัตริย์แทนพระองค์แล้ว ก็ทำให้ต้องถวายชื่อให้องค์กษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้ในราชวงศ์จักรีอีก 3 พระองค์ด้วยการจัดทำพระพุทธรูปฉลองพระองค์ถวาย การตั้งชื่อขนานพระนามที่สำคัญที่สุดก็คือ การขนานพระนามของพระเชษฐา ก็คือรัชกาลที่ 3 ท่านให้พระนามของพระเชษฐา ต่างกับพระนามของพระองค์เอง
พระนามของพระเชษฐา จะมีลักษณะของสามัญชน ในขณะที่พระนามของท่าน จะบ่งบอกความหมายที่อยู่สูงสุด อยู่เหนือร่างกายของมนุษย์ และยังอ้างอิงชาติกำเนิดที่ต่างกัน โดยอ้างเชื้อสายที่ต่างกันจากการกำเนิดจากพระราชมารดาที่มาจากสายเจ้า ในขณะที่พระเชษฐาเป็นสามัญชน การอ้างอิงนี้มีความสำคัญมาก เพราะในท้ายที่สุด จะมีประกาศอีกชุดหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงความแตกต่างของชาติกำเนิด เพื่อที่จะทำให้การสืบสายสายสันตติวงศ์มีความชัดเจนขึ้น
ในสร้อยพระนามที่ว่า "มหาชนนิกรสโมสรสมมติ" นั้น เป็นสร้อยพระนามที่กำลังประกาศความหมายให้ทราบโดยทั่วกันว่า วิธีการได้มาซึ่งการดำรงสถานะกษัตริย์ของพระองค์นั้น ผ่านมติเห็นชอบร่วมกันของเหล่านิกร คือ ที่ประชุมที่ประกอบด้วยเจ้านายกับขุนนาง ท่วงทำนองการอธิบายแบบนี้ดูไม่ไกลเกินไปกว่าความรับรู้ของพระองค์ ที่มีต่อสภาพความเป็นไปและการปกครองในสังคมอื่น
ทั้งนี้ เมื่ออ่านประกาศประกอบกับพระราชหัตถเลขา ซึ่งเป็นพระราชสาสน์ฉบับหนึ่งในปี 2402 ถึงประธานาธิบดีสหรัฐ เนื้อความระบุว่าทรงชื่นชมระบบเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ทรงเห็นว่าทำให้การสืบทอดอำนาจผู้นำเป็นไปโดยสันติ ไม่ต้องขัดแย้ง ไม่ต้องแข่งขันอำนาจกัน พระองค์อาจจะทรงเปรียบเทียบกับสภาวะที่พระองค์ทรงเคยประสบมาก่อน ที่ทำให้ต้องทรงยอมรับสภาพชะตากรรม ที่ไม่ทรงต้องการเลย ด้วยการผนวชเพื่อลี้ภัยการเมือง และบางทีพระองค์อาจจะกำลังวางพื้นฐานวัฒนธรรม การสืบทอดพระราชอำนาจแบบสันติ เพื่อพระราชโอรสองค์สำคัญที่สุดที่เป็นพระราชปิโยรสในอนาคต
พระนามาภิไธย ที่อิงความหมายอยู่กับชาติกำเนิดอันดีแล้ว อาจจะบ่งบอกความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้ แต่สิ่งที่สำคัญทั้งหมดของประกาศก็คือ การบอกคุณสมบัติของจักรพรรดิอย่างพระองค์เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าของคำสั่งที่จะทำให้คนอ่านต้องปฏิบัติตาม
ประกาศรัชกาลที่ 4 ก่อให้เกิดการสร้างแบบแผนของภาษาในสาสน์ลายลักษณ์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน จากการศึกษาพบว่า แบบแผนสาสน์ลายลักษณ์ประกอบด้วยรูปแบบการเขียน ไวยากรณ์ภาษา การสร้างศัพท์และความหมายใหม่ ในด้านรูปแบบการเขียน มีการแบ่งประเภทของประกาศได้แก่ หมายรับสั่ง พระอักษรสาสน์ตรา ใบบอก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ทรงกำหนดหลักเกณฑ์ว่า หมายรับสั่งจะต้องใช้แบบไหน ใครเป็นผู้ใช้ ใช้อย่างไร เป็นครั้งแรกที่มีการอธิบายรูปแบบการเขียน ในประชุมประกาศทั้งหมดนี้
สิ่งสำคัญอีกประการก็คือ การกำหนดว่าต้องบันทึกลงในกระดาษสมุดฝรั่ง ซึ่งไม่แน่ว่ารูปของวัสดุที่ใช้คือการใช้กระดาษสมุดฝรั่งและรูปแบบที่ต้องพลิกจากหน้าไปหลัง ซึ่งเปลี่ยนไปจากเอกสารลายลักษณ์สมุดไทย ที่ใช้วิธีพับทบซึ่งอ่านเป็นม้วนยาวๆ อ่านเรียงตามความยาวมีผลแตกต่างอย่างไร แต่น่าจะมีนัยสำคัญซึ่งเปลี่ยนวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยในเวลานั้นซึ่งยังมีอยู่น้อยนิด
นอกจากนี้ พระองค์ได้ประกาศให้ความรู้เรื่องการผันวรรณยุกต์ มีการใช้พยัญชนะตามอักษรสามหมู่ ตลอดถึงการใช้สระและวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง
ในด้านการสร้างศัพท์และความหมาย ทรงบัญญัติศัพท์เป็นจำนวนมากและมีนัยที่สำคัญทางการเมืองด้วย และเป็นความหมายใหม่
ตัวตน ที่จะบอกว่าเป็นคำสั่งของพระจักรพรรดิราชอยู่ที่พระนามาภิไธย ปรากฏอยู่ตอนต้นๆ ของประกาศซึ่งระบุชัดว่าตัวผู้ประกาศเป็นใคร
พระนามาภิไธย บอกความฐานะเป็นสมมติเทพแห่งองค์พระอิศวร และยังมีความสำคัญ 2 ประการคือ ระบุพระนามเฉพาะพระองค์ซึ่งไม่เคยมี ชื่อเฉพาะของกษัตริย์ไม่มีเคยมาก่อน
พระนามาภิไธยของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งชื่อเฉพาะของกษัตริย์ แล้วก็ใช้เรียกในเวลาที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เพราะก่อนหน้านั้นจะไม่มีการตั้งชื่อพระมหากษัตริย์ที่เป็นชื่อเฉพาะ
ชื่อพระจอมเกล้า ยังเป็นชื่อที่สืบทอดความหมายดั้งเดิม คือ พระนามที่พระราชบิดาตั้งให้ก่อนครองราชย์คือ มงกุฎ ความหมายของพระจอมเกล้าและพระมงกุฎก็คือ ที่อยู่สูงสุด ก็คือที่อยู่สูงสุดเหนือร่างกายของมนุษย์ เพราะฉะนั้นพระนามของพระองค์ จึงย้ำฐานะของพระองค์ในฐานะเจ้าเหนือหัว ทรงเป็นจักรพรรดิราชไม่ได้เป็นกษัตริย์แบบอื่นเลย
ในขณะเดียวกับที่ทรงตั้งชื่อกษัตริย์แทนพระองค์แล้ว ก็ทำให้ต้องถวายชื่อให้องค์กษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้ในราชวงศ์จักรีอีก 3 พระองค์ด้วยการจัดทำพระพุทธรูปฉลองพระองค์ถวาย การตั้งชื่อขนานพระนามที่สำคัญที่สุดก็คือ การขนานพระนามของพระเชษฐา ก็คือรัชกาลที่ 3 ท่านให้พระนามของพระเชษฐา ต่างกับพระนามของพระองค์เอง
พระนามของพระเชษฐา จะมีลักษณะของสามัญชน ในขณะที่พระนามของท่าน จะบ่งบอกความหมายที่อยู่สูงสุด อยู่เหนือร่างกายของมนุษย์ และยังอ้างอิงชาติกำเนิดที่ต่างกัน โดยอ้างเชื้อสายที่ต่างกันจากการกำเนิดจากพระราชมารดาที่มาจากสายเจ้า ในขณะที่พระเชษฐาเป็นสามัญชน การอ้างอิงนี้มีความสำคัญมาก เพราะในท้ายที่สุด จะมีประกาศอีกชุดหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงความแตกต่างของชาติกำเนิด เพื่อที่จะทำให้การสืบสายสายสันตติวงศ์มีความชัดเจนขึ้น
ในสร้อยพระนามที่ว่า "มหาชนนิกรสโมสรสมมติ" นั้น เป็นสร้อยพระนามที่กำลังประกาศความหมายให้ทราบโดยทั่วกันว่า วิธีการได้มาซึ่งการดำรงสถานะกษัตริย์ของพระองค์นั้น ผ่านมติเห็นชอบร่วมกันของเหล่านิกร คือ ที่ประชุมที่ประกอบด้วยเจ้านายกับขุนนาง ท่วงทำนองการอธิบายแบบนี้ดูไม่ไกลเกินไปกว่าความรับรู้ของพระองค์ ที่มีต่อสภาพความเป็นไปและการปกครองในสังคมอื่น
ทั้งนี้ เมื่ออ่านประกาศประกอบกับพระราชหัตถเลขา ซึ่งเป็นพระราชสาสน์ฉบับหนึ่งในปี 2402 ถึงประธานาธิบดีสหรัฐ เนื้อความระบุว่าทรงชื่นชมระบบเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ทรงเห็นว่าทำให้การสืบทอดอำนาจผู้นำเป็นไปโดยสันติ ไม่ต้องขัดแย้ง ไม่ต้องแข่งขันอำนาจกัน พระองค์อาจจะทรงเปรียบเทียบกับสภาวะที่พระองค์ทรงเคยประสบมาก่อน ที่ทำให้ต้องทรงยอมรับสภาพชะตากรรม ที่ไม่ทรงต้องการเลย ด้วยการผนวชเพื่อลี้ภัยการเมือง และบางทีพระองค์อาจจะกำลังวางพื้นฐานวัฒนธรรม การสืบทอดพระราชอำนาจแบบสันติ เพื่อพระราชโอรสองค์สำคัญที่สุดที่เป็นพระราชปิโยรสในอนาคต
พระนามาภิไธย ที่อิงความหมายอยู่กับชาติกำเนิดอันดีแล้ว อาจจะบ่งบอกความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้ แต่สิ่งที่สำคัญทั้งหมดของประกาศก็คือ การบอกคุณสมบัติของจักรพรรดิอย่างพระองค์เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าของคำสั่งที่จะทำให้คนอ่านต้องปฏิบัติตาม
ประชุมประกาศ: การกำหนดไวยากรณ์ภาษา
ประกาศรัชกาลที่ 4 ก่อให้เกิดการสร้างแบบแผนของภาษาในสาสน์ลายลักษณ์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน จากการศึกษาพบว่า แบบแผนสาสน์ลายลักษณ์ประกอบด้วยรูปแบบการเขียน ไวยากรณ์ภาษา การสร้างศัพท์และความหมายใหม่ ในด้านรูปแบบการเขียน มีการแบ่งประเภทของประกาศได้แก่ หมายรับสั่ง พระอักษรสาสน์ตรา ใบบอก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ทรงกำหนดหลักเกณฑ์ว่า หมายรับสั่งจะต้องใช้แบบไหน ใครเป็นผู้ใช้ ใช้อย่างไร เป็นครั้งแรกที่มีการอธิบายรูปแบบการเขียน ในประชุมประกาศทั้งหมดนี้
สิ่งสำคัญอีกประการก็คือ การกำหนดว่าต้องบันทึกลงในกระดาษสมุดฝรั่ง ซึ่งไม่แน่ว่ารูปของวัสดุที่ใช้คือการใช้กระดาษสมุดฝรั่งและรูปแบบที่ต้องพลิกจากหน้าไปหลัง ซึ่งเปลี่ยนไปจากเอกสารลายลักษณ์สมุดไทย ที่ใช้วิธีพับทบซึ่งอ่านเป็นม้วนยาวๆ อ่านเรียงตามความยาวมีผลแตกต่างอย่างไร แต่น่าจะมีนัยสำคัญซึ่งเปลี่ยนวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยในเวลานั้นซึ่งยังมีอยู่น้อยนิด
นอกจากนี้ พระองค์ได้ประกาศให้ความรู้เรื่องการผันวรรณยุกต์ มีการใช้พยัญชนะตามอักษรสามหมู่ ตลอดถึงการใช้สระและวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง
ในด้านการสร้างศัพท์และความหมาย ทรงบัญญัติศัพท์เป็นจำนวนมากและมีนัยที่สำคัญทางการเมืองด้วย และเป็นความหมายใหม่
นอกจาก จะประดิษฐ์ตัวอักษร ท่านเป็นนักประดิษฐ์ศัพท์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นราชาศัพท์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นศัพท์ที่ยืนยันถึงจิตสำนึกในการใช้ภาษา เพื่อรักษาและสืบทอดโครงสร้างสังคมการเมืองที่ลดหลั่นฐานะกันภายใต้ระบบความสัมพันธ์แบบมูลนายไพร่ ซึ่งจริงๆ แล้วสังคมแบบนี้ก็น่าจะหมายถึงสังคมศักดินานั่นเอง
ประกาศรัชกาลที่ 4 ภาพผ่านของการเปลี่ยนแปลงสังคม
"เราสามารถมองประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 เป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของคนๆ หนึ่งในการดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นสองข้างทางที่คนๆ หนึ่งเดินทางผ่าน ชีวิต 2 ข้างทางนั้นอาจจะหมายถึงสยาม..."สิ่งที่น่าสนใจ หากมองภาพสังคมสยามผ่านประชุมประกาศก็คือ ในช่วงระยะเวลา 18 ปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ เราจะพบว่าในช่วงระยะ 3-4 ปีแรกที่ทรงครองราชย์ คือ ตั้งแต่ 2394 - 2397 ก่อนหน้าที่เซอร์จอห์น บาวริ่งจะเข้ามา ภาพของสองข้างทางจะเป็นแบบหนึ่ง แต่หลังจากปี 2398 เป็นต้นมา เมื่อดูจากประกาศรัชกาลที่ 4 เราก็จะพบว่าภาพ 2 ข้างทางเปลี่ยนแปลงไป... "อาจจะไม่ถึงกับจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของภาพชีวิต" ตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ ในช่วงระยะ 2 ปีแรกที่ทรงครองราชย์ ประกาศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศให้หรือประกาศห้าม เกือบทั้งหมดจะเป็นเรื่องของพระราชประเพณี คณะสงฆ์ การกำหนดชื่อเรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองหรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แต่เมื่อปี 2398 เป็นต้นมา เราจะพบเนื้อหาสาระที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าสนธิสัญญาบาวริ่ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ๆ
ที่น่าสนใจคือ ในปีที่สนธิสัญญาบาวริ่งครบรอบ10 ปี จะพบว่าในปีนั้น มีประกาศซึ่งไม่มากในแง่ปริมาณ แต่เป็นประกาศที่สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลง
เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จากประชุมประกาศ ที่ได้รับผลจากสนธิสัญญาบาวริ่ง
สังคมปลูกข้าวและสังคมค้าขาย
เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จากประชุมประกาศ ที่ได้รับผลจากสนธิสัญญาบาวริ่ง
ประการแรก เราเห็นความกระตือรือร้น ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมสยาม ให้เป็นสังคมของการปลูกข้าว เป็นสังคมของการส่งออกข้าว
ประการต่อมา เมื่ออ่านตัวประกาศ เนื้อหาใจความเกี่ยวกับเศรษฐกิจจำนวนมาก เป็นแนวคิดแบบ อดัม สมิธ เช่น การตักเตือนให้ซื้อข้าว ก่อนที่ข้าวจะขาดตลาด ก่อนที่จะแพงขึ้นไป ก่อนที่ลูกค้าต่างชาติจะมากวาดซื้อ ภาษาคำอธิบายในการเชิญชวนให้ปลูกข้าว เช่น การลดอากรค่านา การพยายามที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของกลไกราคา กลไกตลาด..."เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นอุดมการณ์แบบ อดัม สมิธ" ในประกาศหลายฉบับเห็นได้ชัดว่า เรื่องของกลไกราคา กลไกตลาด หรือการค้าเสรีจะถูกแฝงอยู่ในประกาศเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น
หลังปี พ.ศ. 2398 ซึ่งมีการเปิดการค้าเสรีเกือบทุกเรื่อง แม้ว่าจะมีการเกรงกลัวว่าข้าวจะขาดตลาด หรือว่า ฤดูการผลิตปีต่อไป อาจจะต่ำเพราะฝนอาจจะแล้ง ทว่ารัชกาลที่ 4 ทรงยืนยันโดยตลอดว่า จะไม่มีการห้ามการส่งออกข้าว หรือว่าห้ามลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาซื้อข้าว โดยมีประกาศออกมาย้ำเตือนว่าพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้เปิดการค้าขายข้าวอย่างเสรี และทรงเตือนว่าถ้ากลัวว่าจะมีการซื้อข้าวแพงก็ให้รีบซื้อ โดยภาพรวมของการเปลี่ยนแปลง ที่สามารถมองเห็นได้จากประชุมประกาศคือ การเปลี่ยนภาพสังคมไทยเข้าสู่การเป็นสังคมปลูกข้าว และสังคมของการค้า
ประการต่อมาที่เห็นได้ชัดคือ สังคมของการใช้เงินตรา ทั้งนี้ รศ.ฉลองอ้างถึงเกร็ดจากประชุมประกาศที่สะท้อนว่า รัฐมีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่า การค้าซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งไปสู่การแลกเปลี่ยนโดยการใช้เงินตรา จะนำไปสู่ปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือ การที่ตัวกลางของการแลกเปลี่ยนคือตัวเงินตราไม่เพียงพอ
ฉะนั้น ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 12-13 ปี ตั้งแต่ปี 2398-2407 มีการปรับ หรือเพิ่มการใช้เงินตราเข้ามาถึง 3 ครั้งด้วยกัน
สังคมเงินตรา
ประการต่อมาที่เห็นได้ชัดคือ สังคมของการใช้เงินตรา ทั้งนี้ รศ.ฉลองอ้างถึงเกร็ดจากประชุมประกาศที่สะท้อนว่า รัฐมีความกังวลอยู่ตลอดเวลาว่า การค้าซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งไปสู่การแลกเปลี่ยนโดยการใช้เงินตรา จะนำไปสู่ปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือ การที่ตัวกลางของการแลกเปลี่ยนคือตัวเงินตราไม่เพียงพอ
ฉะนั้น ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 12-13 ปี ตั้งแต่ปี 2398-2407 มีการปรับ หรือเพิ่มการใช้เงินตราเข้ามาถึง 3 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกสุด คือ ในปี 2398 มีการประกาศให้การใช้เงิน เหรียญนอกใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยไม่ต้องตีตราก่อน ซึ่งนี่คือการสะท้อนให้เห็นการขยายตัวของการใช้เงินตรา และการค้าอย่างน่าตกใจที่เดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2405 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินตรา ที่จะมาใช้ในการแลกเปลี่ยนมีการนำเงินตราแบบใหม่เข้ามาใช้ คือ เงินอัฐ เงินโสฬส และอีก 3 ปีต่อมา ก็มีเงินตราแบบใหม่ขึ้นมาหมุนเวียนใช้ที่เรียกว่า เงินเสี้ยวทองแดง
นอกจากนี้ ยังมีประกาศไม่ให้เอาเหรียญเมืองนอกมาแต่งตัวให้กับเด็ก ซึ่งในประกาศจะให้เหตุผลหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ เช่นแต่งแล้วเหมือนคนป่าคนดอย หรือกลัวจะถูกปล้น...
นอกจากนี้ ยังมีประกาศไม่ให้เอาเหรียญเมืองนอกมาแต่งตัวให้กับเด็ก ซึ่งในประกาศจะให้เหตุผลหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ เช่นแต่งแล้วเหมือนคนป่าคนดอย หรือกลัวจะถูกปล้น...
"การนิยมเอาเหรียญไปห้อย เป็นเครื่องแต่งตัว เป็นการดึงเงินตราออกจากตลาด แทนที่จะเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งช่วยให้การค้ามันไหลไปได้ดี ก็จะร่อยหรอเป็นอุปสรรคต่อการค้า"สิ่งที่น่าสนใจ สำหรับสังคมที่ใช้เงินตราก็คือ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 นี้เอง เป็นสมัยแรกที่ปรากฏว่ามีการทำเงินปลอมเกิดขึ้น "ไม่มีเหตุผลที่ผู้คนจะทำเงินปลอมมาใช้ ถ้าหากว่าเงินตราไม่มีความสำคัญ ในบรรดาประกาศรัชกาลที่ 4 ตั้งแต่ 2398 เป็นต้นมา โดยที่ก่อนหน้านั้นไม่มีปรากฏประกาศที่เกี่ยวข้องกับเงินปลอม นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาก่อน"
สังคมอ่อนไหว
ประการสุดท้าย คือ ภาพของสังคมที่ละเอียดอ่อนต่อการเปลี่ยนแปลง จากประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 ก่อน พ.ศ. 2398 ไม่ปรากฏประกาศ ที่สะท้อนความวิตกกังวล เกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย แต่หลังปี 2398 เป็นต้นมา มีประกาศที่สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับข่าวลือ โดยมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ดาวหาง แผ่นดินไหว สุริยุปราคา รวมไปถึงประกาศที่สะท้อนให้เห็นถึงความกังวล เกี่ยวกับความวิตกของราษฎร ที่เห็นฝรั่งเข้ามาเดินเพ่นพ่าน การที่มีแขก หรือฝรั่งเข้ามาซื้อข้าวในเมืองไทย
ลักษณะของข่าวเล่าลือ สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในลักษณะวิกฤติ ซึ่งสะท้อนว่าผู้คนไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาก่อน มีองค์ประกอบใหม่ ที่ทำให้ผู้คนไม่แน่ใจกับความมั่นคงในชีวิต... สังคมสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 ภาพซึ่งปรากฏความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากสนธิสัญญาบาวริ่ง เป็นภาพซึ่งแกะรอยจากประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 นั่นเอง