ปัจจัยแรกๆ พื้นฐานทางร่างกายและจิตใจของคนที่จะไปก่อความรุนแรง อาจจะมีความผิดปกติทางสมองและจิตใจบางอย่าง ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เช่น เป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน รวมถึงสารเสพติด ที่มักเจอได้บ่อยๆ หรือลักษณะของร่างกาย ที่อาจจะเอื้อให้กระทำการรุนแรงสำเร็จ ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งประเด็นนี้จะแตกต่างกันเพียงเพศมากกว่า คือหากเป็นเพศชายหรือเกย์ ที่รูปร่างกำยำแข็งแรง ก็มีโอกาสที่จะก่อความรุนแรง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้สำเร็จได้มากกว่าเพศหญิง
ปัจจัยที่ 2 เป็นเรื่องจิตใจของคนคนนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า บุคลิกภาพ แม้ปัจจุบันเราค่อนข้างเชื่อมากขึ้นว่าก ารชอบเพศเดียวกันไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูอย่างเดียว แต่เกิดจากความหลากหลาย (variation) ทางโครงสร้างสมองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออารมณ์ ความรู้สึกและรสนิยมของคนคนนั้นว่า จะชอบเพศใดมากกว่า แม้จะเป็นเพศเดียวกับตัวเองด้วยก็ตาม แต่ก็ยังคงพบว่า ในกลุ่มที่รักเพศเดียวกันมีปัจจัยเสริม ที่มักทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่าย นั่นคือสภาพครอบครัว การเลี้ยงดูที่มักจะเกี่ยวข้องกับการได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว ที่อาจจะนำมาซึ่งความกดดัน มีผลต่ออารมณ์ ความคิดและความสามารถในการควบคุมตนเองด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่ 3 เรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่ชอบแบบเดียวกัน น่าจะถือว่าสำคัญที่สุด ที่มีผลต่อทัศนคติในการดำเนินชีวิตคู่ของคนรักเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่านิยมเปลี่ยนคู่บ่อยๆ เพื่อความสนุกสนานทางเพศ หรือแม้แต่ความเชื่อในเรื่องการไขว่คว้าหาความรัก ด้วยหวังว่าจะทำให้พบคนที่ “ใช่” สักวันหนึ่ง และค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาว่า คนรักเพศเดียวกันชีวิตไม่ยั่งยืน
ดังนั้น ต้องเกาะให้ติดอย่างแน่นเหนียว และลึกๆ ก็อยากจะพิสูจน์ให้สังคมรับรู้ว่า ฉันทำได้ คาดหวังว่าอย่าให้มีอะไรมาทำให้ต้องพรากจากกัน จนเป็นที่มาของความหึงหวง เมื่อรวมกับองค์ประกอบ 2 ข้อข้างต้น ก็อาจจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ยิ่งบานปลาย จนถึงขั้นจบชีวิตกันไปก็ไม่น้อย
การที่จะดูว่าคู่ที่ทำร้ายกัน มีปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงหรือไม่ มีวิธีสังเกตไม่ยาก
เริ่มจากดูว่า เมื่อเกิดกรณีพิษรักแรงหึง พอทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว ทำร้ายตนเองตามหรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้าทำร้ายตนเองด้วย น่าจะเข้าข่าย ส่วนพวกที่ทำร้ายคนอื่นแล้วหนีไป น้อยรายที่จะป่วยทางจิตเวช ส่วนใหญ่ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่รักกัน เพราะคนรักกันคงไม่ทำได้ขนาดนี้ มักเป็นพวกนิสัยไม่ดีและมักอยู่ด้วยกันด้วยผลประโยชน์เสียมากกว่า
สังคมควรหันกลับมาเข้าใจเรื่องรักของเพศเดียวกันให้มากขึ้น ซึ่งความจริงก็ไม่ได้แตกต่างจากชายจริงหญิงแท้สักเท่าไร อย่างน้อยพวกเขาก็มีความรักให้กัน และรอการยอมรับจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
ส่วนคู่รักเพศเดียวกันทั้งหลาย ก็ควรฝึกที่จะรักกันอย่างมีเหตุผล เข้าอกเข้าใจ รู้จักควบคุมอารมณ์มิให้เตลิดเปิดเปิง มีปัญหาควรแก้ไขเหมือนคู่รักชายหญิงนั่นละ เพราะหากใช้อารมณ์ในสัมพันธภาพค่อนข้างมาก มักไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงเสียมากกว่า ...ความลุ่มหลงไม่เคยทำให้ใครมีความรักที่ยั่งยืน ...เพราะมันเป็นความหลงรักแบบมืดมนที่ทำให้คนตาบอดได้เสมอ
การที่จะดูว่าคู่ที่ทำร้ายกัน มีปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงหรือไม่ มีวิธีสังเกตไม่ยาก
เริ่มจากดูว่า เมื่อเกิดกรณีพิษรักแรงหึง พอทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว ทำร้ายตนเองตามหรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้าทำร้ายตนเองด้วย น่าจะเข้าข่าย ส่วนพวกที่ทำร้ายคนอื่นแล้วหนีไป น้อยรายที่จะป่วยทางจิตเวช ส่วนใหญ่ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่รักกัน เพราะคนรักกันคงไม่ทำได้ขนาดนี้ มักเป็นพวกนิสัยไม่ดีและมักอยู่ด้วยกันด้วยผลประโยชน์เสียมากกว่า
สังคมควรหันกลับมาเข้าใจเรื่องรักของเพศเดียวกันให้มากขึ้น ซึ่งความจริงก็ไม่ได้แตกต่างจากชายจริงหญิงแท้สักเท่าไร อย่างน้อยพวกเขาก็มีความรักให้กัน และรอการยอมรับจากคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
ส่วนคู่รักเพศเดียวกันทั้งหลาย ก็ควรฝึกที่จะรักกันอย่างมีเหตุผล เข้าอกเข้าใจ รู้จักควบคุมอารมณ์มิให้เตลิดเปิดเปิง มีปัญหาควรแก้ไขเหมือนคู่รักชายหญิงนั่นละ เพราะหากใช้อารมณ์ในสัมพันธภาพค่อนข้างมาก มักไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงเสียมากกว่า ...ความลุ่มหลงไม่เคยทำให้ใครมีความรักที่ยั่งยืน ...เพราะมันเป็นความหลงรักแบบมืดมนที่ทำให้คนตาบอดได้เสมอ