เคยบ้างไหม บางครั้งที่อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ มีอาการเย็นวาบตามเนื้อตัว หรือขนหัวลุกขึ้นมาเฉยๆ?
เคยบ้างไหม บางครั้งที่เข้าไปบางสถานที่ แล้วมีความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
เคยบ้างไหม บางครั้งได้ยินเสียงแปลกๆ แต่พอไปดูแล้วก็ไม่มีอะไร หรือได้ยินเสียงประตูปิดที่ชั้นบน ทั้งที่ไม่มีลมพัด?
เรามักจะได้ยินคนพูดถึงปรากฏการณ์แปลกๆ หลอนๆ อยู่เสมอ บางคนก็เจอกับตัวเองบ่อยครั้ง แต่บางคนก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเอาเสียเลย ความเชื่อเรื่องวิญญาณนั้นไม่ใช่มีเพียงแต่คนไทย หรือคนเอเชียเท่านั้น แม้แต่ฝรั่งเองก็มีคนที่เชื่ออยู่ไม่น้อย ถ้าลองไปค้นคว้าหาข้อมูลดูจะพบว่า ฝรั่งก็มีคนที่ถูกผีเข้าสิง มีบ้านผีสิง ปราสาทอาถรรพณ์ โรงแรมที่ไม่ควรไปพัก เพราะมักจะมีคนเจอของแถมเป็นประจำและจากการจัดอันดับสถานที่ต้องห้ามที่น่ากลัวที่สุดไว้อย่างเช่น เมืองที่คนขวัญอ่อนไม่ควรไปโดยเด็ดขาดได้แก่
เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี ที่เคยเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในยุคกลางจนทำให้ชาวเมืองเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เป็นที่เล่าขานกันว่าที่นั่นจะมีเสียงโหยหวนที่น่ากลัวดังขึ้นเป็นประจำ จนคนต่างถิ่นไม่กล้าเข้าไป
เมืองออราดูร์ ซูแกลน ที่ฝรั่งเศส เมืองนี้กลายเป็นเมืองร้างมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะถูกทหารนาซีบุกเข้าไปเข่นฆ่าชาวบ้านไปมากกว่า 600 ศพ แม้ว่าจะมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียงแล้ว แต่บรรยากาศของเมืองเก่ายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสยองขวัญที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไป
อีกเมืองหนึ่งที่แม้จะเป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งจะสร้างมาเมื่อพ.ศ.2513 แต่เพียง 16 ปีหลังจากที่ผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยกัน โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์นามกระฉ่อน เชอร์โนบิล ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรก็เกิดระเบิดขึ้นจนทำให้มีคนเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง แต่ปัญหาการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีที่อันตรายสุดขีด ทำให้ต้องมีการอพยพผู้คนทั้งหมดออกจากเมืองไปในทันที เมืองนั้นจึงกลายเป็นเมืองร้างและมีบรรยากาศที่หลอน วังเวงน่ากลัวที่สุด คือเมือง พรีเพียต ในประเทศยูเครน
พรีเพียต เป็นเมืองร้างยุคใหม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนไม่น้อยไปกว่าเมืองโบราณอื่นๆ ที่มีประวัติยาวนานในทวีปยุโรป แม้ว่าจะเป็นเขตหวงห้าม เพราะยังมีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาอยู่ตลอด แต่ก็มักจะมีคนที่อยากลองของแอบเข้าไปอยู่เสมอ เมื่อไปมาแล้วก็จะเล่าถึงความรู้สึกและประสบการณ์แปลกๆ ซึ่งเจอในเมืองนั้นคล้ายๆ กันว่า บรรยากาศของความวังเวง สัมผัสได้ตั้งแต่หลายกิโลเมตรก่อนเข้าสู่ตัวเมือง เพราะ 2 ข้างทางมีฟาร์มและบ้านร้างอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ
ในตัวเมืองมีเศษขยะและข้าวของที่ถูกทิ้งเรี่ยราดตามถนนทุกสาย 2 ฟากถนนมีตึกรามเรียงรายอยู่พอสมควร รถยนต์หน้าตาโบราณๆ มีจอดทิ้งไว้ให้เห็นอยู่หลายคัน บอกให้รู้ว่ามันเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย แต่บัดนี้มีเพียงความเงียบกับเสียงลม ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นเมื่อเดินไปตามถนน เหมือนมีสายตาจากที่ใดที่หนึ่งทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง จ้องมองเราอยู่แทบทุกฝีก้าว
สะพานคอนกรีตที่ดูไม่ต่างจากสะพานทั่วไป แต่เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าไปบนนั้น ความรู้สึกเยียบเย็นแบบประหลาดๆ ก็เข้ามากระทบประสาทสัมผัสทันที เมื่อครั้งเกิดเหตุที่โรงไฟฟ้า ชาวเมืองจำนวนหนึ่งพากันไปยืนบนสะพาน ที่สามารถมองเห็นโรงไฟฟ้าได้ พวกเขามองดูการระเบิดที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่คิดว่ารังสีที่สูงเกินค่าที่ปลอดภัยกว่า 500 เท่าจะแผ่ไปถึงที่นั่นอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่นั่นตายหมดในไม่กี่วันหลังจากนั้น
ถนนแคบๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ 2 ด้านของถนนพาเข้าไปสู่สวนสนุกประจำเมือง ที่มีวงล้อชิงช้าสวรรค์สีเหลืองมองเห็นได้แต่ไกล ที่นี่เคยเป็นจุดมีสีสันและมีชีวิตชีวาที่สุดของเมือง เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็กๆ และหนุ่มสาวที่เคยดังไปทั่ว ปัจจุบันนี้เหลือแต่ความเงียบวังเวง หดหู่ คราใดที่ลมเย็นยะเยือกกระโชกพัด ทั้งเสียงลมและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องเล่น ที่ทำจากโลหะก็ดังขึ้น และใบไม้ตามพื้นปลิวว่อนเคว้งคว้างไปตามแรงลม ทำให้ใครที่เข้าไปสัมผัสสถานที่นั้นแล้วไม่อยากอยู่ต่อแม้สักนาที ในอาคารต่างๆ คือที่ที่จะทดสอบประสาทว่าใครทนหลอนได้ดีกว่ากัน โดยเฉพาะในโรงพยาบาล กลิ่นอายของความเจ็บป่วย ความตาย ตลบอบอวลตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป ประสาทสัมผัสทุกส่วนจะตึงเขม็งไปอย่างไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่เสียงเหมือนกรีดร้องอย่างน่ากลัวดังขึ้นให้ทุกคนได้ยินโดยไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากที่ใด ทุกคนที่เดินอยู่ในนั้นล้วนแต่มองตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครอยากจะหันไปแล้วเจอภาพสยองที่ทำให้ขนลุกขนพอง ห้องคนป่วยหลายห้องมีคราบสีเข้มเลอะบนผนังและบนฟูกที่ขาดวิ่น ขวดยาที่เปิดทิ้งไว้หลายขวดทำให้จินตนาการไปต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ในห้องพวกนั้นตามโรงเรียนและเนิร์สเซอรี่เด็กเล็กมีตุ๊กตาหลายตัววางอยู่ตามพื้นบ้าง ข้างบันไดบ้าง บนโต๊ะ ที่ล้มคว่ำอยู่กับพื้นบ้าง คราใดที่หันไปมองมันโดยบังเอิญ
ความรู้สึกบอกว่ามันกำลังจ้องมองเราอยู่เช่นกัน ตุ๊กตาเหล่านั้นหลายตัวนอกจากจะดูเหมือนมีชีวิตแล้ว ยังดูราวกับมีใครบางคนที่เล่นมันแล้วเอามาวางไว้ชั่วคราว บ่อยครั้งที่มีเสียงกระพือปีกเหมือนนกขนาดใหญ่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตามอาคารต่างๆ หลายคนบอกตรงกันว่าเคยเห็นเจ้าของเสียงที่ว่ามันเหมือนนกปีศาจสีดำขนาดใหญ่มาก บางคนบอกว่าปีกมันกางกว้างออกไปตั้ง 20 ฟุต แต่เพียงชั่วแวบเดียวมันก็อันตรธานไปเสียแล้ว ผู้คนแถบนั้นรู้จักมันในชื่อ “Black Bird of Chernobyl”และเชื่อกันว่ามันอาจเป็นผลพวงจากการกลายพันธุ์เพราะกัมมันตภาพรังสี แถบอพาร์ตเมนต์คนงานมีหลายคนบอกว่าพบเห็นเงาดำเหมือนผู้ชายร่างสูงผ่านไปผ่านมา ทั้งที่อาคารนั้นร้างสนิท มีการขนานนามเขาคนนั้นว่า “Slender Man” ถ้าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพหลอน เขาก็คงไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน เพราะไม่มีมนุษย์คนใดจะอาศัยอยู่ในเมืองแบบนั้นได้ความสยองขวัญของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ “Chernobyl Diaries เชอร์โนบิลเมืองร้าง มหันตภัยหลอน” กับเรื่องราวของกลุ่มนักท่องเที่ยว 6 คนที่จ้างไกด์เถื่อนให้ลักลอบพาเข้าไปสำรวจเมืองร้างในเขตหวงห้ามแห่งนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนถูกจับตามอง และค้นพบว่าบางทีสถานที่แห่งนี้อาจไม่ได้มีแต่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น...
ย้อนอดีตกลับไปสู่ยุคที่เมืองแห่งนี้ยังไม่กลายเป็นเมืองหลอน ประเทศยูเครนในยุคนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต, พ.ศ.2520 คือปีที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เตาที่ 1 ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์โรงแรกของที่นั่นสร้างเสร็จ เตาที่ 2 เสร็จในปีถัดไป จากนั้นเตาที่ 3 และ 4 ก็สร้างเสร็จตามมา ในปี พ.ศ.2524 และ 2526 ตามลำดับ โรงไฟฟ้าโรงนี้สร้างอยู่ห่างจากเมืองเชอร์โนบิลไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 18 กิโลเมตร โดยมีเมืองพรีเพียตเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้าดังกล่าวมากที่สุด เมืองนี้เป็นเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับคนงานและครอบครัวที่ต้องไปทำงานก่อสร้างที่นั่น รวมๆ แล้วก็เกือบ 50,000 คน ในยุคนั้นโรงไฟฟ้าแห่งนี้มีชื่อว่า สถานีผลิตกระแสไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ วี.ไอ. เลนิน ภายหลังเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิล แม้ว่าที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้วถึง 4 เตา ก็ยังทำการขยายกำลังผลิตโดยการสร้างเตาที่ 5 และที่ 6 ต่อไปอีก แต่ทั้ง 2 เตานั้นยังสร้างไม่ทันเสร็จ เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญชาวโลกก็เกิดขึ้นเสียก่อน
วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ.2529 ระหว่างการ ทดสอบระบบหล่อเย็นของเตาหมายเลข 4 ที่ทำกันในเวลากลางคืน ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เมื่อแรงดันไอน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระบบ ตัดการทำงานอัตโนมัติเกิดขัดข้องไม่สามารถหยุดแรงดันนั้นได้ เป็นเหตุให้เกิดความร้อนสูงขึ้นถึง 2,000 องศาเซลเซียสจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลายและระเบิดขึ้นในที่สุด แรงระเบิดคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไปทันทีหลายสิบคน และอีกหลายพันคนที่อาศัยในเมืองพรีเพียตเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยโรคมะเร็ง เถ้าจากการระเบิดที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมไปทั่วทิศตะวันตกของสหภาพโซเวียต ประเทศแถบยุโรปตะวันออก ยุโรปเหนือ และบางส่วนของยุโรปตะวันตก
ทางการของยูเครนและเบลารุสต้องอพยพผู้คนที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียง จำนวนหลายแสนคนออกจากพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่าการอพยพดังกล่าว ทำให้เมืองพรีเพียตกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างรวดเร็ว ไฟที่ลุกไหม้จากแรงระเบิดไม่สามารถจะดับได้ เพราะกัมมันตภาพรังสีที่รั่วออกมาอย่างรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสีครั้งนั้นรุนแรงกว่าครั้งที่เมืองฮิโรชิมาถูกบอมบ์ด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 4 เท่า และอาจต้องใช้เวลาอีกราว 24,000 ปี ผู้คนถึงจะกลับมาอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย
จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม รัฐบาลยูเครนจึงตัดสินใจสั่งให้สร้างฝาครอบยักษ์ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ครอบเตานั้นไว้ เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของรังสี สิ่งก่อสร้างที่ว่านั้นระดมคนและเครื่องจักรเท่าที่สามารถจะหาได้ทำกันอย่างเร่งด่วน ทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน มันประกอบไปด้วยเหล็กกล้ามากกว่า 7,000 ตัน และคอนกรีตราว 410,000 ลูกบาศก์เมตร เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา และเน้นประสิทธิภาพในการกักกั้นกัมมันตภาพรังสี ฝาครอบยักษ์นั้นจึงมีรูปร่างเหมือนโลงศพดีๆ นี่เอง ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งก็คือ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้เพียงไม่เกิน 30 ปี
ดังนั้น ในปีพ.ศ.2551 ธนาคารเพื่อการก่อสร้างและพัฒนาแห่งยุโรปจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้รัฐบาลยูเครนนำไปสร้างฝาครอบหรือโลงศพ อีกอันหนึ่งที่ทนทานกว่าเดิม ครอบทับไปบนของเดิม เพื่อไม่ให้รังสีหลุดรั่วออกมา โลงอันใหม่นี้จะแล้วเสร็จภายใน พ.ศ.2555 นี้เอง
ทุกวันนี้ค่ากัมมันตภาพรังสีในตัวเมือง อยู่ในระดับที่มนุษย์ที่ไม่สวมชุดป้องกันพอจะเข้าไปได้ แต่รอบๆโรงไฟฟ้าในรัศมีสองสามร้อยเมตร ยังคงมีค่าสูงเกินมาตรฐานหลายเท่า ตัวเมืองนั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่บางพื้นที่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษเท่านั้น โดยทั้งก่อนและหลังจากที่เดินทางเข้าไป ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจระดับกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในร่างกาย และระหว่างทัวร์ก็ต้องมีเครื่องตรวจจับรังสีวัดค่าไปตลอดทาง ซึ่งผู้ที่ใจกล้าพอจะเข้าไปทัวร์ในเชอร์โนบิล เกินกว่าครึ่งต้องอยากขอไปท้าพิสูจน์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ร่ำลือต่อๆ กันมา...