ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเถอะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Romancecar Super Express

หลังสึนามิถล่มเมืองเซนไดของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนทั้งโลกตกตะลึงและเศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันและยังตั้งสติไม่ได้ บัดนี้เวลาผ่านไป 6 เดือนแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณที่ประสบภัยจนเรียบร้อย และยังเข้าไปควบคุมดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ให้มีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาจนสามารถพูดได้ว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว”

ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ทราบข่าวจากคุณโต๊ด หรือคุณสันติ ลีลาทิพย์กุล เจ้าของไรน์นิช ทราเวลว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกยกเลิกการเดินทางไปญี่ปุ่น ทำให้บริษัททัวร์และกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหลายแย่ไปตามๆ กัน แม้ว่าเดี๋ยวนี้สถานการณ์เรียบร้อยแล้วก็ตาม ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องเดินทางไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว” ว่าแล้วคณะของเราก็จัดแจงเดินทางไปญี่ปุ่นกันแบบฉุกละหุก โดยคุณยงยุทธ ลุจินดานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ประจำประเทศไทย เป็นคนอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตั้งแต่ให้ตั๋วเครื่องบินพาคณะของเราไปพักผ่อนในเลานจ์ ที่มีอาหารการกิน ขนมนมเนย ผลไม้และเครื่องดื่มเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ เรียกว่ากินกันจนอิ่มแบบมื้ออาหารหลักเลยก็ว่าได้ ส่วนความสะดวกสบายบนเครื่องบินไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับสาวสวยที่คอยดูแลเอาอกเอาใจเป็นอย่างดี เรียกเปรี้ยวได้เปรี้ยว เรียกหวานได้หวาน อาหารก็อร่อยทุกเมนูทั้งไปและกลับ เลยกินทุกอย่างที่เขาเอามาเสิร์ฟให้จนหมด แถมที่นั่งยังกว้างขวางสะดวกสบาย ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เหนื่อยเลย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฮาโกเน่

วันแรกที่มาถึงญี่ปุ่นเครื่องลงที่สนามบินนาริตะ เราก็นั่งรถเข้ามาที่โตเกียว พักที่โรงแรมเพนนินซูล่า ใจกลางกินซ่า อยู่ตรงข้ามตึกสำนักงานการบินไทย พอรุ่งเช้าอากาศแจ่มใส คุณโต๊ดวางแผนพาเราเดินทางไปเมืองฮาโกเน่ ขึ้นรถไฟสายโรแมนติก (Romancecar Super Express) ซึ่งเป็นรถไฟชั้นหนึ่งที่สะอาดสะอ้าน สามารถปรับที่นั่งหมุนหันหน้าเข้าหากันได้ และที่ถูกใจผมมากที่สุดเห็นจะเป็นห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน สะดวกสบายได้มาตรฐานระดับโรงแรมห้าดาว

รถไฟวิ่งไปเกือบสองชั่วโมงก็มาถึงเมืองฮาโกเน่ เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เราจึงมารับประทาน ข้าวราดหน้าแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น ที่ร้านโคโคโระ เป็นร้านที่เพิ่งเปิดแต่ดังระเบิดเพราะเป็นแกงกะหรี่ที่มีเครื่องเครา เช่น ไข่ต้ม หมูทอด แฮมเบอร์เกอร์หรือชีส ให้เราเลือกโปะลงบนแกงกะหรี่เป็นการเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น จึงทำให้แกงกะหรี่ของที่นี่แปลกและอร่อยไม่เหมือนใคร

อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็เดินทางไปโรงแรมที่พักชื่อยูเชนเท อยู่ริมลำธารได้ยินเสียงน้ำไหลแรงเหมือนน้ำตกยังไงยังงั้น ลองเดินสำรวจบริเวณหมู่บ้านแถบนี้จึงทราบว่า ชาวบ้านที่มีบ้านอยู่ริมลำธารจะทำบ้านเป็นโรงแรมออนเซ็นขนาดเล็กๆ กะทัดรัด บริหารจัดการกันเองภายในครอบครัว ชั้นบนแบ่งเป็นห้องพัก 5–10 ห้อง ชั้นล่างมีห้องอาหาร ห้องอาบน้ำแร่ออนเซ็นแยกชายหญิง ผู้ที่มาพักจะได้สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตตามแบบฉบับของญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มีทั้งความอบอุ่น ความอร่อยของอาหารไคเซกิ ที่ปรุงรสชาติตามสไตล์ท้องถิ่นนั้นๆ นอนบนเสื่อตาตามิ และการดูแลเอาใจใส่แบบญาติสนิทที่ทำให้คณะของเราประทับใจมาก
"ฮาโกเน่" เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมาเยือนเป็นจำนวนมาก มีชื่อเสียงเรื่องรีสอร์ตที่มีออนเซ็นและวิวทิวทัศน์โดยรอบภูเขาไฟฟูจิ มีทั้ง ทะเลสาบอาชิ สปาน้ำพุร้อน ศาลเจ้าฮาโกเน่
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของฮาโกเน่

หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อย เราก็กลับไปสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟสายโรแมนติกไปเที่ยวกันต่อ เขาจะมีแผนที่ท่องเที่ยว จุดแวะต่างๆ บอกไว้หมดแต่ต้องใช้เวลาทั้งวัน คณะของเราเลือกที่จะไปเที่ยวชมคือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของฮาโกเน่แห่งเดียว แล้วจึงกลับมานอนฟังเสียงน้ำไหลซู่ซ่าพาให้เพลินจนหลับสนิท ตื่นขึ้นมากระปรี้กระเปร่าพร้อมจะออกไปผจญภัย ซึ่งจะพาเราขึ้นรถบัสประจำทางจากเมืองฮาโกเน่ไปเมืองโกเท็มบะ ที่มีภูเขาไฟฟูจิสูงเด่นเป็นสง่า ใหญ่ทะมึนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่เห็นหิมะปกคลุมบนยอดเขาเหมือนทุกครั้งที่มา เพราะเป็นช่วงหน้าร้อน เรานั่งรถเที่ยวชมรอบๆ เมืองโกเท็มบะและแวะไปช็อปปิ้งที่โกเท็มบะเอาต์เล็ต ซึ่งเป็นเอาต์เล็ตที่ขายของมียี่ห้อมากมายสารพัดชนิด เดินชมสินค้าจนเมื่อยขาจึงเดินทางกลับโตเกียว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ SHABUZEN
เมื่อมาถึงโตเกียวเราต้องไปหาของกินอร่อยๆ จะกินร้านที่เคยกิน หรือเสาะแสวงหาร้านอร่อยใหม่ๆ ก็สุดแท้แต่ แต่มื้อนี้ขอเป็นร้านประจำ คือร้านชาบูชาบู ของแท้แบบญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ร้านนี้ชื่อชาบูเซ็น (SHABUZEN) อยู่แถวกินซ่า ภายในร้านจัดเป็นเคาน์เตอร์วงรีนั่งได้ประมาณ 25 คน มี 3 เคาน์เตอร์ ตรงกลางจัดสำหรับให้พนักงานบริการลูกค้า ตรงหน้าของเราจะมีหม้อทองเหลืองเคลือบฉนวนกันความร้อน พร้อมอุปกรณ์การลวกจิ้มของใครของมันและน้ำจิ้ม 2 แบบให้เลือก คือแบบข้นทำจากถั่วบดและแบบใสออกรสเปรี้ยว สำหรับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ เราสั่งได้ตามใจชอบ แต่ที่อร่อยที่สุดต้องเป็นเนื้อวากิวของแท้ราคาแพงของญี่ปุ่น ที่สไลด์บางเฉียบจัดวางแผ่มาเต็มจาน ใช้ตะเกียบคีบนำไปลวกในน้ำซุปพอให้สะดุ้งความร้อนนิดหน่อย แล้วนำมาจิ้มน้ำจิ้ม ส่งเข้าปากแบบไม่ต้องเคี้ยวก็ละลายลงคอได้รสชาติความหวานของเนื้อวากิวอร่อยจนฝันถึง ตบท้ายด้วยเส้นอูด้ง หรือข้าวสวยใส่ลงไปในน้ำซุปที่เหลืออยู่นิดหน่อยตรงนี้แหละที่ขาดไม่ได้ ซดกันคนละชามเป็นอันเสร็จสำรับของคาว ทีนี้มาถึงของหวานที่ทำให้พวกเราประหลาดใจ คือ เฉาก๊วย แต่พอมาเสิร์ฟกลับเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้เส้นยาวๆ ขาวจั๊วะแช่มาในชามอ่างใส่น้ำแข็งและมีถ้วยเล็กๆใส่น้ำเชื่อมคาราเมลมาอีกหนึ่งถ้วย จึงถามพนักงานว่ากินอย่างไร เขาบอกว่าให้เอาตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปจุ่มในคาราเมล กินเข้าไปแล้วมันหนึบๆ หอมเย็นชื่นใจจังเลย โออิชิ โออิชิ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ TsuKiji

โตเกียวมีที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ดิสนีย์แลนด์ วัดอาซากูซะ ย่านช็อปปิ้งที่ฮาราจูกุ–ชินจูกุ–ชิบูย่า หรือจะไป ตลาดปลาซึกิจิ (TsuKiji) ไปเดินดูการประมูลปลา หาซื้อของแห้งของสดๆ จากทะเลที่นำมาขายมากมายในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ไม่ผิดกติกาใดๆ เลือกที่จะไปเป็นพระยาน้อยเดินตลาดปลาซึกิจิ และไปกินซูชิที่ทำจากปลาสดๆ ที่ร้านซูชิซันไม ซึ่งเป็นร้านประจำอีกเช่นกัน ที่นี่มีข้าวปั้นหน้าต่างๆ ให้เราเลือกมากมาย แถมราคายังถูกกว่าไปกินร้านหรูๆ แถวกินซ่าเสียอีก จึงบอกให้คุณโต๊ดสั่งพ่อครัวหน้าเคาน์เตอร์ว่า โอมากาเซะ แปลว่า สุดแท้แต่ท่านจะสรรหามาให้รับประทาน คราวนี้แหละของดี ของอร่อย ของแพงที่สุดของร้านก็มาวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าให้เลือกกินจนพอใจ เช่น ข้าวปั้นหน้าปลาโอโทโร่ ชูโทโร่ ปลาซะมะ (ที่ต้องกินช่วงหน้าร้อนจะอร่อยที่สุด) อูนางิ (ปลาไหล) อูนิ (ไข่หอยเม่น) กุ้งหวาน ปลาหมึก หอยต่างๆ เป็นต้น หลังจากกินแบบโอมากาเซะเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินย่อยอาหารเพื่อซื้อของฝากกระจุกกระจิก ที่วัดอาซากูซะที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะมีของฝากสไตล์ญี่ปุ่นให้เลือกซื้อมากมาย กินน้ำมะเน็ดที่วางขายอยู่ปากทางเข้าวัด 1 ขวด มิฉะนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงวัดอาซากูซะ 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองคาวาโกเอะ

จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่เมืองคาวาโกเอะ ซึ่งเป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยเอโดะ เพื่อดูสภาพบ้านแบบโบราณที่ทำด้วยดินเหนียว และร้านค้าเก่าแก่ที่ประกอบอาชีพทำมีดขายมาสามชั่วอายุคนแล้ว แค่มีดแล่ปลาดิบเขาใช้กันจนเหลือนิดเดียวเอง

มื้อค่ำคุณโต๊ดพาเราไปกินของปิ้ง ของย่าง ที่ร้านร็อคกาเซ็น ร้านนี้เป็นร้านโปรดของคนไทยเช่นกัน จะมีเนื้อ หมู ไก่ เครื่องใน ปลา กุ้ง ปลาหมึก หอย ปูอลาสก้า ผักต่างๆ มาให้เราปิ้งๆ ย่างๆ กินกับเบียร์อาซาฮี และสาเก เมาไม่รู้ตัวเลย

วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับต้องแวะไปกิน ร้านโทริงิน กินซ่าซอย 4 ซึ่งเป็น ร้านเชลล์ชวนชิมร้านแรกของญี่ปุ่นเมื่อปี 2504 ตอนนั้นร้านยังเป็นเพิงเล็กๆ เดี๋ยวนี้ใหญ่โตโอ่โถง ของอร่อยของที่นี่คือ สารพัดไก่เสียบไม้ย่าง มีเนื้อ หนัง ปีก เครื่องใน ตูด ลูกชิ้นไก่ แปะก๊วย พริกหวาน เห็ดหอมสด ทุกอย่างเสียบไม้ย่างกินกับสาเกที่มาเป็นชามอ่าง ตบท้ายด้วย ข้าวอบกามาเมชิหน้าเป๋าฮื้อ อิ่มจนถึงเมืองไทยเลย

มาคราวนี้ก็เพื่อจะบอกให้ผู้ที่รักการท่องเที่ยวและอยากไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้ทราบว่า “ญี่ปุ่นปลอดภัยแล้ว” สามารถไปพักผ่อน ไปเที่ยว ไปกิน เหมือนอย่างที่สาธยายมาทั้งหมดรับรองจะติดใจ

วาน นาท จิตกรแห่งคุกสังหารหฤโหด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ The Killing Field

เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมานี้ วาน นาท (Vann Nath) จิตรกรชาวเขมรได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 65 ปี ข่าวการเสียชีวิตของวาน นาท เป็นข่าวดังไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของ ดิธ พราน ผู้สื่อข่าวชาวเขมรของนิวยอร์กไทม์สเมื่อ 3 ปีก่อน ด้วยวัย 65 ปีเท่ากัน

คนไทยเรารู้จักดิธ พราน อยู่บ้างจากภาพยนตร์เรื่อง “ทุ่งสังหาร” (The Killing Field) แต่วาน นาท คนไทยกลับรู้จักน้อยมาก ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดกับสองท่านนี้เกิดขึ้นในกัมพูชา ห่างจากบ้านเราแค่คืบนี่เอง  จึงขอนำเรื่องของเขามานำเสนอให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามอันเกิดจากความแตกแยกของคนในชาติเดียวกัน

ปี 2518 เขมรแดงรุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ 13 เมษายน วันปีใหม่เขมร เป็นวันที่ชาวเขมรพากันโล่งอก จะชอบหรือไม่ชอบคอมมิวนิสต์ พวกเขาก็พอใจที่สงครามยุติ มีฝ่ายหนึ่งแพ้อีกฝ่ายชนะ เขาเชื่อด้วยใจจริงว่าสงครามหยุดแล้ว ต่อไปบ้านเมืองจะสงบ ชนชั้นสูง ชั้นกลาง กับคนจนรากหญ้าเสมอภาคกันแล้ว แต่ในที่สุด ดิธ พราน และชาวพนมเปญก็ถูกต้อนออกจากเมืองหลวง วาน นาท เองก็ถูกต้อนออกจากเมืองพระตะบอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Vann Nath

วาน นาท เกิดปี 2489 ที่พระตะบอง ครอบครัวยากจนไม่มีเงินเรียนหนังสือ พออายุ 16 ปี ก็บวชให้พ่อแม่ พอพี่สาวเสียชีวิตก็สึกออกมาช่วยครอบครัว ตัวเขาประทับใจภาพบนผนังโบสถ์ จึงเข้าเรียนวาดภาพในโรงเรียนเอกชน ตอนหลังไม่มีเงินเรียนต้องช่วยงานวาดภาพเป็นการแลกเปลี่ยน

ตอนเขมรแดงยึดอำนาจ เขามีอาชีพเขียนโปสเตอร์ภาพยนตร์ มีชีวิตอยู่อย่างคนจนรากหญ้าธรรมดา ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง มีภรรยา และลูกสาวหนึ่งคน อุ้มท้องอยู่อีกหนึ่งคน (ทั้งสองเสียชีวิตในยุคเขมรแดง) เขมรแดงไล่คนออกจากเมืองหมด กลายเป็นเมืองร้าง 

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง

วาน นาท กลับสู่ชนบทไปเป็นชาวนา เป็นสมาชิกสหกรณ์หมายเลข 5 ประมาณต้นปี 2521 เคราะห์ร้ายมาเยือน ขณะแบกข้าวจากท้องนามารวมกอง เขมรแดงที่เขารู้จักเรียกให้เขาขึ้นเกวียน บอกว่าถูกเกณฑ์ไปตัดหวาย เขาถูกนำตัวไปที่สหกรณ์อีกแห่ง กลางดึกคืนนั้นเขมรแดงอีกคนที่เขารู้จักจับเขามัด อิสรภาพสิ้นสุดลงตั้งแต่บัดนั้น 
ข้อสังเกตคือ คนที่ไปตามเขามาและคนที่มัดเขาเป็นคนที่เขารู้จัก เพราะสังคมเขมรไม่ใช่สังคมใหญ่
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ผู้คนกำลังนั่ง

เขาถูกส่งให้ชุดสอบสวนจอมโหด ก่อนหน้านั้นเขาได้รับการบอกกล่าวว่า ถูกผู้หญิงร้องว่าเขาทำผิดจริยธรรมชู้สาว และบอกว่าไม่ต้องกังวล ถ้าหญิงนั้นยืนยันว่าคนทำไม่ใช่เขาก็จะปล่อยตัว แต่พอสอบสวนจริง ผู้สอบสวนนอกจากไม่แจ้งว่าเขามีความผิดอะไร กลับข่มขู่ทรมานให้เขาบอกว่าเขาทำผิดอะไรมา เมื่อเขายืนยันว่าเขาไม่ทราบ ก็ถูกทรมานและลงโทษ “องค์การไม่โง่ องค์การไม่เคยจับคนผิดพลาด คิดใหม่อีกทีว่าทำผิดอะไรมา” คือคำข่มขู่ของผู้สอบสวน แนวคิดนี้เป็นแนวคิดถาวรขององค์การ (เขมรแดงเรียกรัฐและพรรครวมว่าองค์การ) การสอบสวนที่คุกตุลเสลงทั้งหมดก็ยึดถือหลักนี้ นี่คือหนึ่งในหลายแนวคิดผิดๆ ที่ทำให้มีคนตายร่วม 2 ล้านคน แนวคิดแรกคือ คุณถูกจับแปลว่าคุณทำผิด ไม่ใช่คุณทำผิดจึงถูกจับ อีกแนวคิดคือ “การลงโทษ (สังหาร) ผิดคน ดีกว่าปล่อยศัตรูรอดไปได้ “อีกแนวคิดที่โหดพอกันคือ “มีคุณอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อองค์การ ขาดคุณไปองค์การก็ไม่เดือดร้อน” องค์การบอกว่าให้สังหารคนเช่นนี้ทิ้งได้

ในภาพอาจจะมี 2 คน

วาน นาท ถูกส่งต่อมาที่คุก S21 หรือคุกตุลเสลงในพนมเปญ เดิมเป็นโรงเรียนมัธยมแล้วแปลงเป็นคุกและสำนักงานใหญ่สันติบาลทำหน้าที่สืบสวนหาข่าว ทรมาน และกำจัดศัตรูขององค์การ เป็นที่คุมขังนำนักโทษมาถ่ายรูปทำประวัติแล้วสอบสวนทรมานจนกว่าจะสารภาพ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

คุกนี้มีเก่ง เก็ก เอียฟ หรือชื่อจัดตั้งว่า สหายดุช เป็นผู้บัญชาการหัวหน้าสันติบาล ขึ้นตรงต่อพอลพต เป็นคนที่พอลพตไว้วางใจที่สุด ทำงานถูกใจพอลพตมาก สิ่งที่สหายดุชทำคือ ทุกคนที่ถูกส่งเข้าคุกต้องสารภาพเท่านั้น หากไม่สารภาพจะต้องถูกทรมานหลากหลายรูปแบบจนตาย มีตั้งแต่การเฆี่ยนตี การช็อตไฟฟ้า การจับกดน้ำ การบังคับให้ดื่มปัสสาวะ การบังคับให้ทานอุจจาระ คำสารภาพต้องเป็นที่พอใจของสหายดุชเท่านั้น คำสารภาพที่สหายดุชอยากได้มากคือ การเป็นไส้ศึกสายลับให้กับซีไอเอ หรือเคจีบี ตอนหลังเพิ่มสายลับเวียดนาม หรือการจารกรรม อะไรประมาณนี้ เมื่อพอใจแล้ว สหายดุชจะบังคับให้แจ้งรายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดจำนวนหนึ่ง เพื่อองค์การจะได้จับตัวมาเพิ่มและรีดเอาคำสารภาพต่อไป

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และผู้คนกำลังนั่ง

มีคนทุกเพศทุกวัยถูกจับเข้าคุกนี้ประมาณ 15,000 คน ทุกคนตายหมด มีชาวยุโรปด้วยอย่างน้อย 2 คนตามที่วาน นาท เห็นด้วยตาตนเอง มีผู้รอดชีวิตจากคุกนี้เพียง 7 คน ทั้ง 7 รอดมาได้เพราะเป็นช่าง ที่เขมรแดงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ รวมทั้งวาน นาท ด้วย

ในภาพอาจจะมี สถานที่กลางแจ้ง และอาหาร

ภายใต้เงื้อมมือมัจจุราช วาน นาท อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้คุมที่เข้มงวด ผู้คุมทั้งหมดเป็นเด็ก หรืออย่างเก่งก็วัยรุ่น ไร้ความเมตตา นักโทษต้องนอนเรียงกันอยู่ในห้องตีตรวนติดกันและติดกับพื้นตลอดเวลา แค่จะลุกจากนอนมานั่งเพื่อขจัดความเมื่อยก็ต้องขออนุญาต ได้รับอาหารวันละมื้อเดียวเป็นข้าวต้มมีแต่น้ำข้าวสองสามช้อน มีข้าวสองสามเม็ด นักโทษส่วนหนึ่งทยอยตายก่อนถึงนาทีมรณะ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

เมื่อเวลาแห่งความตายมาถึง นักโทษทั้งห้องจะถูกนำตัวออกจากคุกไปในเวลากลางคืน พวกเขาถูกนำไปสังหารที่ลานสังหารช่องเอก การสังหารมักจะเป็นการทุบด้วยพลั่ว เชือดด้วยมีด หรือคลุมหัวด้วยถุงพลาสติกให้ขาดอากาศ ทั้งหมดถูกสั่งตายโดยสหายดุช ซึ่งจะลงนามสั่งประหารด้วยลายมือตนเอง วาน นาท ก็ถูกสั่งตายไว้แล้ว

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง

ก่อนการประหาร สหายดุชสั่งให้ไว้ชีวิตวาน นาท เขาถูกแยกจากนักโทษอื่น ด้วยสภาพที่แทบจะเดินไม่ได้ เขาได้รับอาหารเป็นข้าวสวยครั้งแรกในชีวิตหลังถูกจับ เขากินข้าวไม่ได้เพราะขากรรไกรแข็งและคอกลืนไม่ลง ต้องค่อยๆ กินทีละนิด สหายดุชทราบจากทะเบียนประวัติว่าเขาเป็นนักวาด เขาจึงรอดตาย และได้ร่วมทีมช่างฝีมือประมาณ 10 คน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพท่านผู้นำเขมรแดงพอลพต และร่วมในทีมปั้นรูปหล่อผู้นำพอลพต ที่ต้องการให้ประชาชนเห็นเป็นเทพ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ช่วงปลายยุคเขมรแดง พวกเขมรแดงเริ่มฆ่ากันเอง ทหารเขมรจับพวกกันเองเข้าคุก แบบเข้าวันนี้ฆ่าทิ้งวันนี้ โดยไม่สอบสวนเพราะไม่มีเวลา พวกเขมรแดงภาคตะวันออกถูกกวาดจับหมด รวมทั้งเขมรแดงชั้นผู้น้อย (ยังเป็นเด็ก) ด้วยข้อหาสมคบคิดกับเวียดนาม ซึ่งต่อมากองทัพเวียดนามก็ยกมาบุกเขมร

เมื่อเวียดนามบุกถึงพนมเปญ สหายดุชให้ผู้คุมสังหารคนในคุกทิ้งหมด พวกเจ้าหน้าที่คุกได้รับคำสั่งให้อพยพและควบคุมพวกช่างไปด้วย ระหว่างถอยมีการสู้รบชุลมุน เขากับพวกฉวยโอกาสหลบหนีและกระจายกันไปคนละทิศ หลังสงครามจึงสำรวจพบว่ามีผู้รอดชีวิตจากคุกสังหารเพียง 7 คน

สหายดุชถอยร่นไปกับกองกำลังเขมรแดง ตอนหลังทำตัวหายสาบสูญ จน นิค ดันลอป นักข่าวต่างชาติพบว่าเขาเปลี่ยนชื่อเป็น หังปิน เป็นล่ามอยู่ในค่ายอพยพของสหประชาชาติในประเทศไทย ในภายหลังเขาถูกนำขึ้นศาลคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติในกรุงพนมเปญ เมื่อ 30 มีนาคม 2554 ต้นปีนี้เองศาลได้พิพากษาให้จำคุก 35 ปี นับว่าช่างยุติธรรมเหลือเกินกับหญิงชายเด็กผู้ใหญ่รวมทั้งทารกร่วม 15,000 คน ที่เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนทำผิดอะไร พอลพตไม่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ เพราะเขมรแดงตั้งศาลเอง พิจารณาเอง และสั่งควบคุมเอง เขาตายในที่ควบคุมเมื่อ 15 เมษายน 2541 เกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้รับโทษอะไรเลย

ปี 2523 และต่อจากนั้น กระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมขอให้วาน นาท วาดภาพการทรมานและความเจ็บปวดรวดร้าวที่เขาและเพื่อนร่วมคุกประสบออกมาเป็นภาพมีชีวิตบนผืนผ้าใบเพื่อแสดงในพิพิธภัณฑ์

ปี 2541 หนังสือของเขาชื่อ “A Combodian Prison Portrait : One Year in the Khmer Rouge’s S21” ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ White Lotus ของไทย และเขาได้แสดงในภาพยนตร์ชื่อ “S21 : Khmer Rouge Killing Machine” ภาพยนตร์กำกับโดยฤทธี พาน ชาวเขมร เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล “Francois Chalais” จากเมืองคานส์ในปี 2546 ด้วย

เขาบอกว่า ช่วงที่เขารู้สึกดีที่สุดคือเมื่อได้เป็นพยานในศาลในคดีประวัติศาสตร์นี้ สำหรับเหยื่อทุ่งสังหารทั้งหลาย ถือว่าเป็นเวลานานมากที่ต้องรอคอยความยุติธรรม ในปี 2552 เมื่อศาลเปิดพิจารณาคดี เขาบอกว่า “ผมรอเรื่องนี้มานานถึง 30 ปี ผมไม่เคยคิดว่าวันนี้จะได้มานั่งในศาลเพื่อบอกกล่าวถึงประสบการณ์เลวร้าย ผมหวังว่าในที่สุดแล้วความยุติธรรมจะเป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ เห็นได้”

รูน อักขระแห่งเวทย์มนตร์โบราณ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Rune

ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและฟิสิกส์ขั้นสูง ที่กำลังขับเคลื่อนโลกเบี้ยวๆ ของเราใบนี้ให้เดินหน้าต่อไปนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ยังถ่วงดุลอำนาจของวิทยาศาสตร์มาโดยตลอดก็คือ “ไสยศาสตร์” ซึ่งมักจะหมายความโดยรวมถึงเรื่องลึกลับ และเวทมนตร์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของเหตุและผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผี วิญญาณ รวมทั้งเรื่องของเวทมนตร์คาถาที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ด้วยเช่นกัน และบ่อยครั้งที่เวทมนตร์คาถาต่างๆ มักจะถูกแสดงออกในรูปของ “อักขระ” ไม่ว่าจะเป็นการสักยันต์ หรือการปลุกเสกต่างๆ ก็มักจะมี “อักขระ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากอักขระขอมที่มักจะใช้ในการลงยันต์แล้วนั้น ก็ยังมีอักขระอีกไม่น้อยที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำนายและเวทมนตร์คาถาโดยตรง และสัปดาห์นี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย ’ตูน ก็จะนำท่านไปรู้จักกับหนึ่งในอักขระที่ว่ามานี้ก็คือ อักษร “รูน” (Rune) ซึ่งเป็นอักขระแห่งดินแดนยุโรปโบราณครับ

ในปัจจุบันมีอาจารย์และนักพยากรณ์หลายท่าน ที่ใช้อักษรรูนเป็นตัวช่วยในการทำนายและคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า นอกจากนั้นอักษรรูนยังสามารถบอกถึงการวิเคราะห์และหาผลลัพธ์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนาย หรือเสี่ยงทายด้วยอักษรรูนจะมีความแม่นยำมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในอักษรรูนของผู้ทำนายเป็นสำคัญ

ตำนานของอักษรรูนเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าว่ากันตามตำนานเทพนิยายแถบสแกนดิเนเวียน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอักษรรูนแล้ว ต้องกล่าวว่าผู้ที่ประดิษฐ์อักขระชนิดนี้ขึ้นมาให้มนุษย์ได้ใช้ก็คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม บทกวี ความรู้และความฉลาดผู้มีนามว่า โอดิน (Odin) ตำนานเล่าว่าเทพโอดินได้ห้อยหัวเป็นค้างคาวอยู่บนต้นไม้ ที่เรียกว่า “อิกดราซิล” (Yggdrasil) เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน (บ้างก็ว่าท่านห้อยหัวให้โลหิตไหลลงศีรษะ เพื่อเป็นการทรมานร่างกาย) จนท่านได้เกิดญาณพิเศษ รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย ความรู้มหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ตัวท่าน ภายในเวลา 9 คืนนั้น ท่านได้ล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ท่านเองได้ตระหนักถึงก็คือ ท่านคงจะหมดลมหายใจในไม่ช้า แล้วความรู้มหาศาลที่ท่านได้รับรู้มาเล่า มันก็ต้องหายไปหมดด้วยน่ะสิ

ไหนๆ ก็ต้องทนทรมานเจ็บปวดร่างกายมาตั้ง 9 วัน 9 คืนแล้ว จะให้ความรู้และสรรพวิชาที่ได้รับมาต้องสูญเปล่าก็ใช่ที่ ก็เลยคิดจะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นให้มนุษย์โลกได้เรียนรู้กันด้วย เทพโอดินจึงได้ทำการประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายความรู้ที่ท่านได้รับมาใน 9 คืนอันแสนทรมานให้กับมนุษย์โลก 

ดังนั้น ถ้าอ้างอิงตามตำนานนี้ อักษรรูนจึงเป็นอักขระที่ได้มาจาก “ความตาย” ของมหาเทพโอดิน อักขระชนิดนี้จึงมีความพิเศษในด้านของเวทมนตร์คาถาและสรรพความรู้โบราณ เป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์แห่งสแกนดิเนเวียน ที่ใช้สำหรับปลุกเสกคาถาและร่ายคำสาปในไสยเวทต่างๆ โดยเฉพาะการร่ายคาถาลงบนอาวุธเพื่อให้สังหารศัตรูได้อย่างแม่นยำ จะเห็นได้ว่าเวทมนตร์ที่แฝงอยู่ในอักษรรูนนั้น ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลังเป็นอย่างมาก มากถึงขั้นที่โรงเรียนฮอกวอตส์ในวรรณกรรมเยาวชนอย่างพ่อมดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องเปิดสอนวิชาการศึกษาอักษรรูนโบราณกันเลยทีเดียว!! (เจ.เค. โรว์ลิ่ง เธอใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ) แต่ถึงอย่างนั้น ที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมด ก็เป็นอักษรรูนในมุมมองของ “นักพยากรณ์” ที่อ้างความศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานของมหาเทพโอดินเท่านั้น แล้วถ้าในมุมมองของนักวิชาการด้านอักขระโบราณบ้างล่ะ เขามองอักษรรูนกันอย่างไร

อักษรรูน คาดว่าพัฒนามาจากอักษรโรมัน ซึ่งเป็นต้นแบบของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดสามารถฟันธงประเด็นนี้ลงไปอย่างชัดเจนได้ ที่พอจะทราบก็คือ หลักฐานทางโบราณคดีที่จารึกด้วยอักษรรูนนั้น ปรากฏในหลายชนเผ่าแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นชาวกอธ (Goth) เผ่าเจอร์มานิค (Germanic) ชาวเดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ อังกฤษ และเยอรมัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอักษรรูนนั้น เฟื่องฟูในยุโรปตอนเหนือ ตั้งแต่ยุคก่อนการเข้าไปของศาสนาคริสต์เสียด้วยซ้ำ ทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า คำว่า “รูน” ซึ่งเป็นชื่อเรียกอักษรแห่งเวทมนตร์โบราณนั้น น่าจะมาจากคำว่า “raunen” ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า “กระซิบ” (Whisper) ซึ่งก็บอกเป็นนัยถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอักษรรูนได้ไม่น้อยเลย

นอกจากนั้น นักวิชาการยังค้นพบแผ่นหิน แผ่นไม้ และแผ่นโลหะที่จารึกด้วยอักษรรูนกว่า 5,000 ชิ้น กระจายตัวทั่วยุโรป นั่นย่อมหมายความว่า ชนเผ่าแห่งยุโรปตอนเหนือนั้น ก็เป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้และมีตัวอักษรใช้เช่นกันมาเนิ่นนานแล้ว

แน่นอนว่าในตำนาน เราอาจจะบอกได้ว่ามหาเทพโอดินเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรรูนขึ้นมาจากความตายของตัวเอง แต่ถ้ามองในมุมของประวัติศาสตร์ล่ะ ใครเป็นผู้คิดค้นอักษรรูนขึ้นมา คำตอบก็คงจะไม่แตกต่างจากเรื่องลึกลับทั่วโลกนั่นแหละว่า ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดสามารถตอบได้ บ้างก็บอกว่าอาจจะเป็นพวกกอธ หรือไม่ก็เป็นชนเผ่าบริเวณหุบเขาในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการหลายท่านคิดเห็นตรงกันก็คือ อักษรโรมันต้องส่งอิทธิพลบางอย่างให้กับอักษรรูนด้วยเป็นแน่

อักษรรูนประกอบไปด้วยอักขระ 24 ตัว เป็นพยัญชนะ 18 ตัว และสระ 6 ตัว บางครั้งนักวิชาการก็เรียกขานอักษรรูนว่า อักขระ “ฟูทาร์ค” (Futhark) ซึ่งมาจากอักษร 6 ตัวแรกของอักษรรูน (f u th ark) ก็คล้ายๆ กับที่เราเรียกระบบตัวอักษรว่า “Alphabet” ก็ด้วยว่ามาจากอักษร 2 ตัวแรกในภาษากรีก ซึ่งก็คือ Alpha และ Beta นั่นเอง

ทิศทางการอ่านอักษรรูนสามารถอ่านได้ทั้งจากซ้ายไปขวา และขวาไปซ้าย แต่ส่วนมากจะพบว่าเขียนจากซ้ายไปขวาเสียมากกว่า และที่นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นที่ลงรอยกันว่า อักษรรูนได้รับอิทธิพลจากอักษรโรมัน ก็เพราะว่ามีอักขระบางตัวที่คล้ายคลึงกับอักษรโรมันด้วย เช่น ตัว ri b f h s และ t ซึ่งอักขระบางตัวก็อยู่ในลักษณะกลับหัว เช่น u และ l แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอักษรอีกหลายตัวที่ไม่คล้ายคลึงกับอักษรโรมัน เช่น g w j และ p จึงทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่า อักษร รูนนี้มีความสัมพันธ์กับอักษรโรมันในด้านใดบ้าง

ดังนั้น ในทุกวันนี้ ถ้ามองอักษรรูนจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระโบราณแล้วก็ต้องบอกว่า รูนเป็นหนึ่งในอักขระที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าอักษรรูนแต่ละตัวนั้นแทนเสียงอะไร และอ่านอย่างไร แต่เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ที่ภาษาโบราณแห่งสแกนดิเนเวียนนี้ กำลังบอกพวกเราได้เลย นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า อักษรรูนนั้นก็ไม่ต่างจากอักขระอีทรัสคัน ที่สามารถอ่านออกเสียงได้ เพราะอักขระอีทรัสคันนั้น ใช้อักษรกรีก แต่เราไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ภาษาต้องการสื่อกับพวกเราได้มากเท่าใดนัก อักษรรูนก็เช่นกัน ความหมายที่ถอดความออกมาได้โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญนั้นก็ยังคลุมเครืออยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยเรายังขาดความรู้ทางด้านภาษาเจอร์มานิคยุคแรกอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว

ดังนั้น การตีความและเข้าใจความหมายของอักษรรูนในปัจจุบันนั้น ก็เป็นเพียงแค่การศึกษาตีความและคาดเดาความหมาย จากหลักฐานเพียงน้อยนิดที่ยังคลุมเครืออยู่เท่านั้น ดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนได้กล่าวเอาไว้ว่า “จารึกอักษรรูนทุกชิ้นที่ค้นพบสามารถสื่อความหมายได้มากเกินกว่าที่นักวิชาการได้เคยตีความเอาไว้”

คิดแล้วก็น่าแปลก ที่อักขระแห่งเวทมนตร์โบราณ ซึ่งใช้ในการทำนายและพยากรณ์กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน กลับเป็นเพียงตัวเขียนที่ยังถอดความไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ในมุมมองของนักวิชาการด้านภาษาโบราณ แต่ก็อย่างว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบได้ และการพยากรณ์ด้วยอักขระ ที่แลกมาด้วยชีวิตของมหาเทพโอดินอย่างอักษรรูน ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งความลึกลับแห่งโลกโบราณที่ยากที่จะเข้าใจด้วยหลักของเหตุและผลก็เป็นได้