เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เพื่อไปพักผ่อนตามเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามของสวิตเซอร์แลนด์ และหาอาหารอร่อยๆ รับประทานกับทางไรน์นิช ทราเวล ก่อนกลับก็แวะไปช็อปปิ้งที่ฝรั่งเศส ตลอดสิบกว่าวันคณะของเราได้กิน ได้เที่ยวในสถานที่หรูหราอย่างที่ไม่เคยไปกับทัวร์ใดมาก่อน ทำให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน
เราไปถึงสนามบินซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เช้าวันที่ 7 เมษายน ขึ้นรถโค้ชต่อไปยังเมืองอุนเดอร์แมท เพื่อไปนั่งรถไฟกราเซียเอ็กซ์เพรส ที่มีหลังคาเป็นกระจกสามารถมองเห็นวิวแบบพาโนรามารอบทิศและยังเป็นเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ วิ่งไต่ไปตามหุบเขาในเทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน ทิวทัศน์สองข้างทางงดงามสุดจะพรรณนา จึงดึงดูดสายตาทุกคู่ของผู้โดยสารให้หลงใหลไปกับธรรมชาติตลอดเวลาสี่ชั่วโมง ไปจนถึงเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ คือ เมืองแซงมอริสซ์
เราเข้าที่พักและรับประทานอาหารเย็นในโรงแรม จากนั้นก็นอนหลับเป็นตายหลังจากเดินทางมาทั้งวัน
วันรุ่งขึ้นคณะของเราขึ้นกระเช้าไปยอดเขาแซงมอริสซ์ ซึ่งเป็น สถานที่เล่นสกีอันดับหนึ่งของนักสกีทั่วโลก พวกเราได้แต่ถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆ กับหิมะเท่านั้น ไม่มีปัญญาเล่นสกีเพราะไม่มีใครเล่นเป็น พอได้สัมผัสหิมะจนออกอาการหนาวสั่น ก็พากันลงมาเดินเล่นใน เมืองแซงมอริสซ์ ถ่ายรูปหน้าโบสถ์เซนต์ปีเตอร์อายุ 1,000 ปี ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง
วันรุ่งขึ้นคณะของเราขึ้นกระเช้าไปยอดเขาแซงมอริสซ์ ซึ่งเป็น สถานที่เล่นสกีอันดับหนึ่งของนักสกีทั่วโลก พวกเราได้แต่ถ่ายรูปเก็บภาพสวยๆ กับหิมะเท่านั้น ไม่มีปัญญาเล่นสกีเพราะไม่มีใครเล่นเป็น พอได้สัมผัสหิมะจนออกอาการหนาวสั่น ก็พากันลงมาเดินเล่นใน เมืองแซงมอริสซ์ ถ่ายรูปหน้าโบสถ์เซนต์ปีเตอร์อายุ 1,000 ปี ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง
อาหารกลางวันมื้อนี้ ได้กินที่ร้านอาหารไทยที่พ่อครัวเป็นคนไทย จึงเอร็ดอร่อยกับต้มข่าไก่ ยำเนื้อย่าง พล่ากุ้ง แกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียวกับข้าวสวยร้อนๆ ไม่นึกเลยว่าที่แซงมอริสซ์จะมีอาหารไทยแท้ๆ ให้กิน
จากนั้นเราเดินทางไปเมืองลูเซิร์น แวะกินข้าวกลางวันที่ภัตตาคารจีน พักที่ โรงแรม 5 ดาว ชื่อพาเลส ติดทะเลสาบเวียวาลด์สแตร์ทเตอร์ หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปกินมื้อค่ำสุดหรูที่ ภัตตาคารพื้นเมืองสวิส ชื่อ โอลด์สวิสเฮ้าส์ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1859 (พ.ศ.2402) เวลามีแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้นำประเทศต่างๆ มาเยือนลูเซิร์นเขาจะพามาที่ร้านนี้ พอคณะของเราไปถึงเจ้าของร้านออกมาต้อนรับ และพาขึ้นไปชั้นบนในห้องอาหาร ที่ตกแต่งแบบสมัยศตวรรษที่ 17 อุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเป็นเงินแท้มันวับ เครื่องแก้วคริสตัลอย่างดี พนักงานเสิร์ฟแต่งกายชุดพื้นเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับอาหารนั้นไม่ต้องพูดถึง เริ่มจากซุปลอบสเตอร์กับคอนยัค แกะ หรือ เนื้อย่าง หรือจะเป็นปลาก็มีให้เลือก ของหวานเป็นช็อกโกแลตมูสวิปครีม และมีไวน์อย่างดีให้ดื่มกินกันกับอาหารที่แสนอร่อยในบรรยากาศที่ย้อนยุค เหมือนกับไปนั่งกินในสมัยกลางของยุโรป ก่อนกลับเจ้าของร้านนำ ภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อครั้งเสด็จฯ มาเสวยพระกระยาหารที่ร้านนี้ มาแจกให้พวกเราทุกคนเป็นที่ระลึก
มาถึงลูเซิร์นแล้ว ต้องไปถ่ายรูปที่สะพานวิหาร หรือสะพานไม้เก่าแก่อายุกว่า 400 ปี และแวะชมแหล่งผลิตและจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อดัง ซึ่งบางคนในคณะก็ได้ซื้อหาติดมือกลับมาด้วย หลังจากที่คณะของเราได้ชื่นชมกันจนพอใจแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองโลซานน์ เมืองที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลปัจจุบัน เคยประทับอยู่ที่เมืองนี้สมัยยังทรงพระเยาว์จนจบการศึกษา คณะของเราจึงไปถ่ายรูปหน้าแฟลตที่ประทับเลขที่ 16 เป็นที่ระลึก
ทุกครั้งที่มาโลซานน์ต้องไปพักที่โรงแรมโบริวาจพาเลส เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ติดทะเลสาบเลอมองต์ โรงแรมนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี เสด็จประทับระหว่างเยือนประเทศในแถบยุโรป พอคณะของเราไปพักผู้จัดการโรงแรมนำสมุด ที่ทั้งสองพระองค์ทรงลงพระนามไว้เมื่อวันที่ 10-17 มกราคม 2504 มาให้เราดู
จากโลซานน์เราเดินทางไปเที่ยวที่เจนีวา ไปชม น้ำพุจรวดสัญลักษณ์ของเจนีวา และที่ขาดไม่ได้คือ ล่องเรือชมวิวทะเลสาบเจนีวา ที่สวยงาม เพราะมีคฤหาสน์และบ้านของเศรษฐีตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ
จากนั้นเราเดินทางไปเมืองลูเซิร์น แวะกินข้าวกลางวันที่ภัตตาคารจีน พักที่ โรงแรม 5 ดาว ชื่อพาเลส ติดทะเลสาบเวียวาลด์สแตร์ทเตอร์ หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปกินมื้อค่ำสุดหรูที่ ภัตตาคารพื้นเมืองสวิส ชื่อ โอลด์สวิสเฮ้าส์ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1859 (พ.ศ.2402) เวลามีแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้นำประเทศต่างๆ มาเยือนลูเซิร์นเขาจะพามาที่ร้านนี้ พอคณะของเราไปถึงเจ้าของร้านออกมาต้อนรับ และพาขึ้นไปชั้นบนในห้องอาหาร ที่ตกแต่งแบบสมัยศตวรรษที่ 17 อุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารเป็นเงินแท้มันวับ เครื่องแก้วคริสตัลอย่างดี พนักงานเสิร์ฟแต่งกายชุดพื้นเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับอาหารนั้นไม่ต้องพูดถึง เริ่มจากซุปลอบสเตอร์กับคอนยัค แกะ หรือ เนื้อย่าง หรือจะเป็นปลาก็มีให้เลือก ของหวานเป็นช็อกโกแลตมูสวิปครีม และมีไวน์อย่างดีให้ดื่มกินกันกับอาหารที่แสนอร่อยในบรรยากาศที่ย้อนยุค เหมือนกับไปนั่งกินในสมัยกลางของยุโรป ก่อนกลับเจ้าของร้านนำ ภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อครั้งเสด็จฯ มาเสวยพระกระยาหารที่ร้านนี้ มาแจกให้พวกเราทุกคนเป็นที่ระลึก
มาถึงลูเซิร์นแล้ว ต้องไปถ่ายรูปที่สะพานวิหาร หรือสะพานไม้เก่าแก่อายุกว่า 400 ปี และแวะชมแหล่งผลิตและจำหน่ายนาฬิกายี่ห้อดัง ซึ่งบางคนในคณะก็ได้ซื้อหาติดมือกลับมาด้วย หลังจากที่คณะของเราได้ชื่นชมกันจนพอใจแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองโลซานน์ เมืองที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลปัจจุบัน เคยประทับอยู่ที่เมืองนี้สมัยยังทรงพระเยาว์จนจบการศึกษา คณะของเราจึงไปถ่ายรูปหน้าแฟลตที่ประทับเลขที่ 16 เป็นที่ระลึก
ทุกครั้งที่มาโลซานน์ต้องไปพักที่โรงแรมโบริวาจพาเลส เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ติดทะเลสาบเลอมองต์ โรงแรมนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี เสด็จประทับระหว่างเยือนประเทศในแถบยุโรป พอคณะของเราไปพักผู้จัดการโรงแรมนำสมุด ที่ทั้งสองพระองค์ทรงลงพระนามไว้เมื่อวันที่ 10-17 มกราคม 2504 มาให้เราดู
จากโลซานน์เราเดินทางไปเที่ยวที่เจนีวา ไปชม น้ำพุจรวดสัญลักษณ์ของเจนีวา และที่ขาดไม่ได้คือ ล่องเรือชมวิวทะเลสาบเจนีวา ที่สวยงาม เพราะมีคฤหาสน์และบ้านของเศรษฐีตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ
อาหารกลางวันนี้ คณะของเราได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านที่ดังที่สุดในเจนีวา คือ ร้านคาเฟเดอปารีส์ (Cafe' de Paris) ที่ขายเฉพาะสเต๊กเนื้อคาเฟเดอปารีส์อย่างเดียว ไม่มีเมนูอย่างอื่นและไม่รับจอง ใครอยากกินต้องไปยืนเข้าแถวหน้าร้านเท่านั้น ใครมาก่อนได้ก่อน และไม่สนว่าจะเป็นใครมาจากไหน แต่ทว่า คุณสันติ ลีลาทิพย์กุล เจ้าของไรน์นิช ทราเวล ผู้มากประสบการณ์และอยากให้ลูกทัวร์ได้กินของดีๆ จึงทำทุกวิถีทางจนสามารถพาพวกเราทั้ง 23 คน ไปนั่งกินที่ร้านโดยไม่ต้องยืนเข้าแถว (ส่วนอีก 10 คน ไม่กินเนื้อ ก็ไปกินร้านอื่นแทน) ร้านคาเฟเดอปารีส์ มีชื่อเสียงเรื่องซอสที่เสิร์ฟมากับสเต๊ก คือ ซอสที่ใส่ผงกะหรี่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สืบทอดมาตั้งแต่ตั้งร้าน เวลากินเขาจะเอาเนื้อไปย่างก่อนพอสุกนิดหน่อย จากนั้นนำมาวางในจานเปลใบใหญ่ ที่มีซอสคาเฟเดอปารีส์ ยกจานมาตั้งบนเตาให้เราย่างต่อ ใครอยากกินแบบสุกมากสุกน้อยก็เลือกเอาเอง แต่ขอบอกว่าเนื้อนุ่มๆ กับซอสที่มีทั้งมันทั้งหอมอร่อยจนฝันถึง พอกินเนื้อหมดแล้ว ต้องฉีกขนมปังกวาดซอสที่เหลือให้หมดเกลี้ยงจานให้สมกับความอร่อย อิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปเดินย่อยอาหาร หาของฝากของที่ระลึกต่อและแวะชมสถานที่สำคัญ เช่น ที่ทำการสหประชาชาติ นาฬิกาดอกไม้ พิพิธภัณฑ์นาฬิกาปาเต๊กฟิลลิป
พูดถึงการรับประทานอาหารชั้นเลิศ ทั้งในสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เช่น อาหารค่ำที่ เมืองเวอเว่ย์ แหล่งปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ ที่สำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ คือ ฟองดูว์และแรคเคล็ด (Raclette) สำหรับฟองดูว์ หลายคนคงรู้จักกันดีแล้ว แต่แรคเคล็ดอาหารประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก คือ เนยแข็งที่มีรูปร่างเหมือนเขียงไม้หนาๆ กลมๆ เวลาจะรับประทานก็ใช้ไฟลนจนละลายแล้วจึงเอามีดปาดส่วนที่เนยละลายใส่ลงมาในจาน เราต้องกินตอนร้อนๆ แกล้มกับหอมดอง แตงกวาดอง และมันฝรั่งหัวเล็กๆ อบทั้งเปลือก อร่อยอย่าบอกใคร กินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ต้องนอน โรงแรมที่ดีที่สุดและมีวิวที่สวยที่สุดบนยอดเขา คือ โรงแรม LE MIRADOR KEMPIN SKY HOTEL ทุกห้องจะมองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ และทะเลสาบเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา มันช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
จากสวิตเซอร์แลนด์ เรานั่งรถข้ามเขตแดนมาที่ฝรั่งเศสสู่ แคว้นอัลซาส แวะชิมไวน์ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ผ่านมาที่ เมืองมูลูซเพื่อชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์แห่งชาติ ที่มีรถยนต์โบราณมากมายหลายยี่ห้อ เช่น รถบูแกตติโรลส์รอยซ์ และเดินทางต่อไปยัง เมืองสตราสบูร์ก เมืองหลวงของแคว้นอัลซาส ที่มีสองวัฒนธรรมคือฝรั่งเศสและเยอรมันผสมผสานกัน ชมความสวยงามของ มหาวิหารแห่งสตราสบูร์ก ที่งดงามและสูงที่สุดในยุโรปตะวันตก ล่องเรือในแม่น้ำอิลล์ และเดินชมย่าน เมืองเก่าที่มีบ้านเรือนโบราณแบบโกธิค คือบ้านที่มีฝาเป็นไม้ประดับอยู่ตั้งเรียงรายอยู่ริมคลอง จากนั้นเราก็ขึ้นไปชม ปราสาทเคอนิกส์ซูลิค ปราสาทต้นแบบของ Lord of The Rings ถือเป็นสุดยอดปราสาทอันดับ 1 จากการจัดอันดับปราสาทกว่า 500 แห่งของแคว้นอัลซาส ที่ยังอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
จากเมืองสตราสบูร์ก เราขึ้นรถไฟ TGV ความเร็วสูง 320 กม./ชม. รุ่นใหม่ล่าสุด มุ่งสู่ มหานครปารีส เพื่อไปรับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารหอคอยเงินตูร์ดาจอง (LA TOUR D’ARGENT) หรือภัตตาคารเป็ดนโปเลียน ที่มีชื่อเสียงที่สุดของปารีส เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1582 (500 ปีมาแล้ว) ตั้งแต่สมัยนโปเลียน ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อ ที่บุคคลสำคัญจากทั่วโลกต้องมารับประทานทุกครั้งที่มาเยือนฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ มาเสวยที่ภัตตาคารนี้ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2450 เป็ดที่นี่มีเบอร์หมายความว่า เป็ดตัวแรกที่นโปเลียนกินนับเป็นเป็ดตัวที่ 1 แต่วันที่ไปกินได้เบอร์ 1,097,792 ซึ่งทางร้านจะแจกโปสต์การ์ดที่มีเบอร์ให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมารับประทานที่ภัตตาคารแห่งนี้
เราอยู่ปารีส 2 วัน ได้ไปเดินเล่นแถว ชองเอลิเซ่ และไปเยี่ยมเยียนร้านดิวตี้ฟรี ปารีสลุค ของคนไทย รับประทานอาหารกลางวันที่ชั้น 58 บนหอไอเฟล ก่อนกลับได้ไปชม บ้านโมเน่ต์ ศิลปินผู้โด่งดังในการวาดภาพ อิมเพรสชั่นนิสต์ ที่ เมืองจิวานี เป็นอันจบการเดินทางไปพักผ่อนกลับกรุงเทพฯ ด้วยความอิ่มเอิบใจ ไปเที่ยวครั้งนี้ ถือเป็นการไปชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเอง
พูดถึงการรับประทานอาหารชั้นเลิศ ทั้งในสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เช่น อาหารค่ำที่ เมืองเวอเว่ย์ แหล่งปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ ที่สำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ คือ ฟองดูว์และแรคเคล็ด (Raclette) สำหรับฟองดูว์ หลายคนคงรู้จักกันดีแล้ว แต่แรคเคล็ดอาหารประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก คือ เนยแข็งที่มีรูปร่างเหมือนเขียงไม้หนาๆ กลมๆ เวลาจะรับประทานก็ใช้ไฟลนจนละลายแล้วจึงเอามีดปาดส่วนที่เนยละลายใส่ลงมาในจาน เราต้องกินตอนร้อนๆ แกล้มกับหอมดอง แตงกวาดอง และมันฝรั่งหัวเล็กๆ อบทั้งเปลือก อร่อยอย่าบอกใคร กินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ต้องนอน โรงแรมที่ดีที่สุดและมีวิวที่สวยที่สุดบนยอดเขา คือ โรงแรม LE MIRADOR KEMPIN SKY HOTEL ทุกห้องจะมองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ และทะเลสาบเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา มันช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
จากสวิตเซอร์แลนด์ เรานั่งรถข้ามเขตแดนมาที่ฝรั่งเศสสู่ แคว้นอัลซาส แวะชิมไวน์ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ผ่านมาที่ เมืองมูลูซเพื่อชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์แห่งชาติ ที่มีรถยนต์โบราณมากมายหลายยี่ห้อ เช่น รถบูแกตติโรลส์รอยซ์ และเดินทางต่อไปยัง เมืองสตราสบูร์ก เมืองหลวงของแคว้นอัลซาส ที่มีสองวัฒนธรรมคือฝรั่งเศสและเยอรมันผสมผสานกัน ชมความสวยงามของ มหาวิหารแห่งสตราสบูร์ก ที่งดงามและสูงที่สุดในยุโรปตะวันตก ล่องเรือในแม่น้ำอิลล์ และเดินชมย่าน เมืองเก่าที่มีบ้านเรือนโบราณแบบโกธิค คือบ้านที่มีฝาเป็นไม้ประดับอยู่ตั้งเรียงรายอยู่ริมคลอง จากนั้นเราก็ขึ้นไปชม ปราสาทเคอนิกส์ซูลิค ปราสาทต้นแบบของ Lord of The Rings ถือเป็นสุดยอดปราสาทอันดับ 1 จากการจัดอันดับปราสาทกว่า 500 แห่งของแคว้นอัลซาส ที่ยังอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
จากเมืองสตราสบูร์ก เราขึ้นรถไฟ TGV ความเร็วสูง 320 กม./ชม. รุ่นใหม่ล่าสุด มุ่งสู่ มหานครปารีส เพื่อไปรับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารหอคอยเงินตูร์ดาจอง (LA TOUR D’ARGENT) หรือภัตตาคารเป็ดนโปเลียน ที่มีชื่อเสียงที่สุดของปารีส เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1582 (500 ปีมาแล้ว) ตั้งแต่สมัยนโปเลียน ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อ ที่บุคคลสำคัญจากทั่วโลกต้องมารับประทานทุกครั้งที่มาเยือนฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ มาเสวยที่ภัตตาคารนี้ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2450 เป็ดที่นี่มีเบอร์หมายความว่า เป็ดตัวแรกที่นโปเลียนกินนับเป็นเป็ดตัวที่ 1 แต่วันที่ไปกินได้เบอร์ 1,097,792 ซึ่งทางร้านจะแจกโปสต์การ์ดที่มีเบอร์ให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมารับประทานที่ภัตตาคารแห่งนี้
เราอยู่ปารีส 2 วัน ได้ไปเดินเล่นแถว ชองเอลิเซ่ และไปเยี่ยมเยียนร้านดิวตี้ฟรี ปารีสลุค ของคนไทย รับประทานอาหารกลางวันที่ชั้น 58 บนหอไอเฟล ก่อนกลับได้ไปชม บ้านโมเน่ต์ ศิลปินผู้โด่งดังในการวาดภาพ อิมเพรสชั่นนิสต์ ที่ เมืองจิวานี เป็นอันจบการเดินทางไปพักผ่อนกลับกรุงเทพฯ ด้วยความอิ่มเอิบใจ ไปเที่ยวครั้งนี้ ถือเป็นการไปชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเอง