ย้อนดูชีวิตวัยเด็กสมเด็จย่า


ถ้าเหนื่อยกับฝุ่นควันบนถนนในเมืองใหญ่ แนะนำให้เลี้ยวเลาะเข้ามาในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 จะพบกับพื้นที่สีเขียวขนาด 4 ไร่ ชุ่มชื่นหัวใจไปกับต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งห้อมล้อมบ้านไม้จำลองจากบ้านเดิมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครั้งเคยประทับที่ชุมชนแห่งนี้ ภายในตกแต่งตามหนังสือ แม่เล่าให้ฟัง พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะได้เจอตั้งแต่ที่นอนเสื่อกางมุ้ง ตะเกียงเจ้าพายุ เครื่องปั้นดินเผา พัดใบลาน เตาอั้งโล่ และเตารีดถ่านไฟ ได้เรียนรู้ทั้งภูมิปัญญาและพระจริยวัตรแบบไทยของสมเด็จย่า


อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปิดทุกวันเวลา 06.00 – 18.00 น. / โทร. 02-4377799, 02-4390896, 02-4390902 / theprincessmothermemorialpark.org

จากท่าเรือกลไฟ-คลังสินค้าจีนเก่าแก่สู่พื้นที่ประวัติศาสตร์

เมื่อ พ.ศ. 2393 (ค.ศ.1850) โดย พระยาพิศาล ศุภผล (ชื่น พิศาลบุตร) ต้นตระกูลพิศาลบุตร คนจีนที่เกิดบนแผ่นดินสยาม โดยบรรพบุรุษของท่านได้เดินทางจากเมืองจีนมาค้าขายและตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์

ท่าเรือ ฮวย จุ่ง ล้ง ถูกใช้เป็นท่าเรือกลไฟ (เรือโดยสารหรือบรรทุกสินค้าที่ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง มีขนาดใหญ่กว่าเรือไฟ นิยมใช้แล่นในทะเลหรือมหาสมุทร) โดยชาวจีนในสมัยนั้นนิยมใช้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาค้าขายหรือย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่บางกอก เอาเรือเทียบท่า พร้อมลงทะเบียนชาวต่างชาติที่นี่


นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งการค้าธุรกิจ โดยตัวอาคารท่าเรือเป็นร้านค้าและโกดังเก็บสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ฯลฯ อาคารด้านในที่ตั้งขนานกับแม่น้ำเป็นอาคารประธาน เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว (MAZU) คลองสาน

ภายหลังมีการสร้างโกดังเพิ่มเติมที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อรองรับการเก็บสินค้าจำนวนมาก และการเปลี่ยนแปลงของอาคารดั้งเดิมที่กลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนงาน

จนเมื่อ พ.ศ. 2462 (ค.ศ.1919) ตระกูลหวั่งหลี โดยนายตัน ลิบ บ๊วย ก็เข้ามารับช่วงต่อเป็นเจ้าของ



“นอกจากจะเป็นท่าเรือแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงมีห้องจำนวนมาก ตามบันทึกเขาบอกว่าเป็นเหมือนโชวร์รูม ข้างในจะโชว์สินค้าที่ตัวเองเอามาขาย และปรับเปลี่ยนอีกเป็นโฮมออฟฟิศ ข้างบนเป็นบ้าน ส่วนข้างล่างใช้เป็นออฟฟิศไป” พีรยา บุญประสงค์ สถาปนิกอนุรักษ์เล่าให้เราฟัง

“เสาจะป่องกลาง เป็นเสาที่คนจีนนิยม ส่วนลายจิตรกรรมบนผนังที่เขียนสีด้วยพู่กันไม้เส้นเล็กๆ น่าจะเขียนตั้งแต่ตอนที่ปูนยังไม่แห้งดี ที่นี่เป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือชาวจีนก็ว่าได้ เพราะจากการสำรวจแต่ละห้อง มันจะไม่คล้ายกันเลย ขนาดก็ไม่เท่ากันด้วย คือถ้ามองในแง่สุนทรียภาพ นอกเหนือจากประวัติศาสตร์ ที่นี่ก็มีอยู่เยอะมาก”

‘ล้ง’ ล้าง

กระบวนการปลุกฟื้นคืนชีพ ‘ล้ง’ เริ่มด้วยการสำรวจ ตรวจ และล้างอาคารสถาปัตยกรรมจีนเก่าแก่แบบ ‘ซาน เหอ หยวน’ (三合院) ซึ่งเป็นการออกแบบวางผังอาคารแบบจีนโบราณ ลักษณะอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน 3 ด้าน เป็นผังรูปทรงตัว U ให้เอี่ยมอ่อง

Toden Arakawa Line (都電荒川線)


โตเกียวถือเป็นเมืองที่การคมนาคมขนส่งสาธารณะรวดเร็ว มีหลากหลายพาหนะให้เลือกใช้ แถมยังมีหลายเส้นทางจนขนาดคนญี่ปุ่นเองก็งงได้เหมือนกัน ท่ามกลางความวุ่นวายที่ว่ายังมีรถรางสายสุดท้ายอย่าง Toden Arakawa Line หลงเหลืออยู่ เป็นเส้นทางเงียบสงบที่คนนั่งจะได้ผ่อนคลายจิตใจ เริ่มต้นที่สถานีต้นทาง Miniwabashi จนถึงปลายทางที่สถานี Waseda ราคาเดียวตลอดสาย ผู้ใหญ่ 160 เยนและเด็ก 80 เยน เส้นทางนี้มีช่วงต่อระหว่างสถานีค่อนข้างสั้นและมีจำนวนสถานีมากถึงราว 30 สถานี โครงสร้างสถานีเป็นเพียงเพิงเล็กๆ คล้ายป้ายรถเมล์บ้านเรา แต่ก็มีบางป้ายที่ใช้โครงสร้างไม้และตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น ส่วนตัวรถรางถึงจะมีขนาดเล็กแต่ก็นั่งสบายใช้สะดวก ชำระค่าโดยสารที่ประตูทางขึ้นได้ทั้งเงินสดและบัตรเงินสด PASMO และ Suica เหมือนรถสาธารณะทั่วไป วันไหนมีเวลาลองมานั่งจนสุดสายเพื่อชมวิวเมืองโตเกียวแบบที่รถไฟ JR และใต้ดินให้ไม่ได้ บอกใบ้อีกนิดว่าที่ถ้าชมวิวจากสะพานลอยที่สถานี Asukayama จะได้เห็นรถรางสวนกันที่สี่แยกพอดิบพอดีเลย

You-un-ji Temple (陽運寺)


ปกติเวลาไปศาลเจ้าญี่ปุ่นที่โด่งดังเรื่องความรัก อภินิหารที่ท่านเทพเจ้าดลบันดาลให้ ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทขอให้สมหวังกับคนที่ชอบ ขอให้ได้แต่งงาน ขอให้รักกันยาวนานพื้นฐานทั่วไป แต่กว่าจะเริ่มต้นรักใหม่กับใครได้ เราต้องตัดคนเก่าไปจากใจให้ได้ก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะเป็นขั้นตอนที่แสนยาวนานทรมานและร้าวรานที่สุดก็ได้ 

วัดโยอุนจิ เข้าใจทุกข์ชาวบ้านจุดนี้ เลยจัดจุดเสริมดวงช่วยบันดาลให้เลิกเศร้าลืมเขาหรือเธอให้หมดสิ้นอย่างง่ายๆ หลายวิธี เช่น ท่องคาถาพลางเทน้ำลงบนรูปปั้นท่านหญิงโอะอิวะ โยนหินอธิษฐาน เขียนคำร้องบนเอ็นมะ (แผ่นไม้สำหรับเขียนคำอธิษฐาน) หรือซื้อเครื่องรางพกติดตัว

ประสิทธิภาพในการสะบั้นสัมพันธ์น่าจะทรงพลังไม่น้อย เพราะมีการบอกต่อกันปากต่อปากจนที่นี่ขึ้นชื่อว่า เป็นวัดที่ช่วยเรื่องการตัดใจได้ชัวร์ที่สุดในโตเกียวเชียวนะ! (แถมราคาเครื่องรางสำหรับช่วยตัดใจก็ราคาแพงกว่าช่วยให้สมหวังอีกต่างหาก) ที่สำคัญที่สุดคือมีบริการหลังการขาย ว่ากันว่าถ้าใครไปไหว้ซ้ำหลังจากนั้นจะได้เจอกับความรักที่ดี และถ้าไปถี่ๆ ความรักที่ว่านี้ก็จะออกดอกงอกงามตามใจนึกด้วย

Yushukan (遊就館)


ยูฌูคัง คือพิพิธภัณฑ์การทหารและสงคราม ที่อยู่ในศาลเจ้า Yasukuni ฐานที่มั่นของกลุ่มขวาจัดที่ยังหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น บอกเล่าความเป็นมาของศาลเจ้า ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหล่าทหารที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

ถึงตัวศาลเจ้าจะเป็นหัวข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสมมานาน แต่พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ได้ชวนเราเข้าข้างฝั่งใดตรงๆ เขารวบรวมเอกสารหลายประเภท ภาพวาดและงานศิลปะอื่นๆ รวมไปถึงอาวุธในการรบต่างๆ เช่น เครื่องบิน Kamikaze รถถัง เรือดำน้ำที่ใช้สำหรับภารกิจ Suiside Mission ไว้ให้เราเลือกศึกษาตามความสนใจ 

คนไทยอย่างเราถึงไม่อินเรื่องสงครามก็แวะไปได้ เพราะมีรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ C5631 ซึ่งเป็นรถไฟที่ใช้วิ่งในสะพานข้ามแม่น้ำแควช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆ ให้ดู รถไฟคันนี้มีชื่อเก่าจากไทยว่า 725 เป็นหนึ่งในรถจักรไอน้ำ 90 คันที่กองทัพญี่ปุ่นเคยขนมาใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ลำเลียงไพร่พลและอาวุธ 

เมื่อสงครามจบลงจึงยกรถไฟเหล่านี้ให้ไทยไว้ใช้แทนรถไฟ ซึ่งเสียหายช่วงสงคราม พออายุงานสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2522 คุณปู่รถไฟคันนี้ก็เป็นหนึ่งในรถไฟ 2 คันที่ถูกซื้อตัวกลับบ้านเกิดให้คนได้สัมผัสประวัติศาสตร์ของจริงตรงหน้า ถ้าไปถึงที่แล้วอย่าพลาดทักทายวีรบุรุษสงครามผู้เคยอยู่เมืองไทยล่ะ

Shouanbunko (松庵文庫)


จะนิยามที่นี่ว่าเป็นคาเฟ่ก็ไม่ถูกนัก เพราะภายในบ้านไม้เก่าแก่อายุกว่า 80 ปีหลังนี้ เป็นทั้งห้องสมุดและร้านขายของกระจุกกระจิกโอทอปในตัว โซนที่เราแนะนำ คือ คาเฟ่ห้องในสุด เพราะเป็นส่วนที่อยู่ติดกับสวน มองเห็นชานบ้าน เหมาะแก่การมานั่งทอดหุ่ยอ่านหนังสือยามบ่ายรับแสงอุ่นๆ 

หนังสือในร้าน ได้เจ้าของร้านหนังสือในละแวก เป็นคนคัดเลือกให้ด้วยตนเอง โดยเล็งให้เหมาะกับบรรยากาศร้าน ลูกค้าสามารถเลือกหนังสือที่ชอบมานั่งอ่านได้ทีละเล่ม และต้องนำไปคืนที่เดิมก่อนกลับ ส่วนร้านขายของกระจุกกระจิกนั้น ส่วนมากเป็นสินค้าของญี่ปุ่น มีทั้งเครื่องเขียน เครื่องครัว เครื่องนุ่งห่มที่ดูเรียบง่ายแต่น่าใช้เป็นที่สุด 

ถ้ามาวันเสาร์อย่าลืมแวะไปดูแผงผักผลไม้ออร์แกนิกที่หน้าร้านก่อนกลับ เพราะคุณเจ้าของคัดผักสดผลไม้อร่อยคุณภาพดีฝีมือชาวนาญี่ปุ่นจากหลายจังหวัดมาให้จับจ่ายในราคาย่อมเยา มีน้ำผึ้งจากผึ้งญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ไม่ผ่านการแปรรูปใดใดด้วยนะ

Okutama-ko(奥多摩湖)


หลายคนต้องคาดไม่ถึงว่า เมืองหลวงแบบโตเกียวจะมีเขื่อนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์อย่างเขื่อน Okutama แห่งนี้ 

เขื่อนนี้สร้างเสร็จเมื่อปี 1957 เพื่อใช้เป็นเขื่อนกักน้ำสำหรับน้ำประปา ปัจจุบันก็ยังเป็นเขื่อนกักน้ำประปาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น 

คำว่า Ko ในชื่อเรียกญี่ปุ่นแปลได้ว่าทะเลสาบ (คนญี่ปุ่นชอบเรียกเขื่อนว่าทะเลสาบ) ดินแดนอาทิตย์อุทัยมีภูเขาอยู่เยอะ ก็เลยตามมาด้วยการมีทะเลสาบจากธรรมชาติอยู่มากมายตามชนบท กลายเป็นประเภทสถานที่เที่ยวฮอตฮิต 

การตั้งชื่อเขื่อนเป็นทะเลสาบ จึงเป็นอีกหนึ่งไอเดียเรียกนักท่องเที่ยวที่ดีไม่น้อย เขื่อนนี้ตั้งอยู่ที่เมืองทามะ (Tama) ของโตเกียว (ซึ่งที่จริงกินพื้นที่ของจังหวัด Yamanashi ด้วย) สามารถเดินทางจากในตัวเมืองโตเกียวโดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่ง พิกัดสวนด้านหน้าสถานีรถไฟโอคุทามะ ซึ่งใกล้กับเขื่อนที่สุดก็เป็นฉากเที่ยวแสนสวย มีแม่น้ำไหลผ่านตลอดเวลา และจะยิ่งทวีความงามในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งแมกไม้พากันผลัดใบ แต่ถ้าจะไปให้ถึงตัวเขื่อน ต้องนั่งรถบัสจากสถานีที่ว่าไปอีกประมาณ 20 นาที 

เขื่อนนี้เป็นจุดดูดาวใกล้เมืองหลวงแสนวุ่นวายอันหาได้ยากยิ่ง เป็นพื้นที่สังสรรค์ปิกนิกของเหล่าครอบครัวเพื่อนฝูง มีทั้งอากาศสะอาด ท้องฟ้าใส ที่ตั้งโอบล้อมด้วยภูเขาทำให้ไม่มีไฟประดิษฐ์มารบกวนแสงดาว จะไปชมวิวตอนเช้าตรู่หน่อยหรือตอนฟ้ากลายเป็นสีดำยามค่ำคืนก็ล้วนสวยตรึงใจทั้งนั้น

Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum (江戸東京たてもの園)


ในสายตาเรา ที่นี่คือสวนสนุกสำหรับผู้ใหญ่ ที่สร้างความเพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องเล่นหวาดเสียวใดๆ แค่เดินชิลล์ในสวนกว้างใหญ่ พลางแวะเข้าไปดูอาคารบ้านเรือนเก่าแก่สมัยเอโดะ แต่ละแบบก็สนุกจนลืมเหนื่อย 

Edo-Tokyo Open Air Architectural Museum รวบรวมบ้านอาคารของจริง ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจากทั่วประเทศ โดยรื้อแล้วนำมาประกอบใหม่ในสวนขนาด 7 เอเคอร์ มีตั้งแต่บ้านชาวนา บ้านขุนนาง โรงอาบน้ำ ธนาคาร โกดัง ร้านดอกไม้ และป้อมตำรวจ แบ่งเป็นโซนให้คนเดินชมอย่างสนุกสนาน ได้มองเห็นวิวัฒนาการทางการก่อสร้างและดีไซน์ใต้เงาไม้แสนร่มรื่น ราวกับกำลังเดินข้ามผ่านเวลาไปแต่ละยุค ความสนุกจะลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น

เมื่อได้คุยกับคุณลุงคุณป้าอาสาสมัคร ที่คอยเล่าความเป็นมา นัยทางสังคม และการใช้งานส่วนต่างๆ ของบ้านในอดีต ซึ่งคนปัจจุบันอาจจะคิดภาพไม่ออกแล้ว การได้ฟังเรื่องราวที่แสนน่าสนใจพลางจิบชาบนเสื่อทาทามิในบ้านไม้เก่าแก่ คือความสุขสงบที่คนรุ่นใหม่แชร์ร่วมกันได้กับผู้หลักผู้ใหญ่เจ้าของความทรงจำ