ตามรอยตำนานร้อยปี "สะแกกรัง"

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เซ็กเกี๋ยกั้ง

คำว่า "เซ็กเกี๋ยกั้ง" เป็นคำเรียกชื่อสะแกกรังของคนจีน ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่อง ทำมาค้าขายอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ แต่ออกเสียงสะแกกรังไม่ได้ จึงเพี้ยนมาเป็น "เซ็กเกี๋ยกั้ง" ที่คนอุทัยธานีภูมิใจในชื่อนี้มาก

"อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ" นี่คือ คำขวัญประจำจังหวัดอุทัยธานี ก่อนที่จะนำคำขวัญมาเล่าเป็นเรื่องเมืองอุทัยให้ได้รู้จักกัน ขอให้ข้อมูลเบื้องต้นของอุทัยธานีสักเล็กน้อย

อุทัยธานี ตั้งอยู่ระหว่างภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ติดกับจังหวัดชัยนาทและนครสวรรค์ มีพื้นที่ 6,730 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 8 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.ทัพทัน อ.สว่างอารมณ์ อ.หนองฉาง อ.บ้านไร่ อ.หนองขาหย่าง อ.ลานสัก และ อ.ห้วยคต มีประชากรประมาณ 327,959 คน ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีแม่น้ำสะแกกรังเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชุมชนแห่งนี้มานานแสนนาน คำว่า "สะแกกรัง" มาจาก "ป่าสะแก" ที่ขึ้นอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและทั่วไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเรียกขานแม่น้ำสายนี้ว่า "แม่น้ำสะแกกรัง"

ที่กล่าวว่าอุทัยธานีเป็นเมืองพระชนกจักรี เนื่องจากสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกเดิมชื่อ "ทองดี" เป็นบุตรคนโตของเจ้าหมื่นมหาสนิท (ทองคำ) ซึ่งย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรัง ได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาราชนิกูล ทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) ดำรงตำแหน่ง "พระอักษรสุนทร" เสมียนตรากรมมหาดไทย จนถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระเจ้าเอกทัศ) พม่ายกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เกิดการระส่ำระสายแตกสามัคคีในพระนคร จึงทรงอพยพครอบครัวไปรับราชการกับเจ้าเมืองพิษณุโลก ได้รับแต่งตั้งเป็น "เจ้าพระยาจักรี ศรีองครักษ์" สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ ต่อมาทรงประชวรสิ้นพระชนม์ ที่เมืองพิษณุโลก บุตรชายชื่อ "ทองด้วง" ภายหลังรับราชการเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และสถาปนาเป็นกษัตริย์ "ราชวงศ์จักรี" ปกครองแผ่นดิน ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก"

คราวนี้มาพูดถึงการมาท่องเที่ยวอุทัยธานี ที่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน และกิจกรรมสนุกๆ มากมาย จะขอวางโปรแกรมเที่ยว แบบ 2 วัน 1 คืน สำหรับครอบครัวให้ไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ แบบสบายๆ ตามแบบฉบับของเชลล์ชวนชิม

เมื่อเดินทางมาถึงอุทัยธานี สิ่งแรกที่ต้องไปให้ได้ คือ ไปศึกษาธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นก็คือ มรดกโลกห้วยขาแข้งครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอ 3 จังหวัด คือ อ.บ้านไร่ อ.ลานสัก อ.ห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และ อ.อุ้มผาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ 3,609,375 ไร่ หรือ 5,775 ตร.กม. สภาพป่าของที่นี่มีความหลากหลายทั้งป่าดงดิบ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบ สลับกับทุ่งหญ้าต่างๆ ทำให้เกิดความหลากหลายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ต่างๆ บางชนิดเป็นสัตว์หายาก ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ควายป่า เลียงผา เสือดาว หมาใน ไก่ป่า เป็นต้น จึงทำให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้รับการขึ้นทะเบียน จากองค์การยูเนสโกให้เป็น "มรดกโลกทางธรรมชาติ" เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร ควรหาโอกาสมาเที่ยวสักครั้งรับรองจะติดใจ

ออกจากห้วยขาแข้ง เราแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านครัวแตน ซึ่งอยู่ทางผ่านก่อนจะกลับเข้ามาในเมือง ร้านนี้มีของอร่อย คือ ขาหมูทอดเกลือ ผัดสมุนไพร ยำตะไคร้ ไก่ทอดยอดหญ้า และอาหารอื่นๆ ที่อร่อยระดับเชลล์ชวนชิม

ช่วงบ่ายเราจะขึ้นไปบนยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งเป็นเขาเตี้ยๆ ใจกลางเมือง เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอุทัยธานี ถ้าขับรถจากถนนเอเชียเข้ามา จะมองเห็นเขาลูกนี้อย่างเด่นชัด มองเห็นป้ายเขียน ว่า "เมืองพระชนกจักรี" เด่นชัดบนยอดเขา เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งราชวงศ์จักรี ใครที่มาอุทัยธานีแล้วไม่ได้ขึ้นไปกราบไหว้ ถือว่ามาไม่ถึง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ขอแนะนำให้ไปกราบขอพรและถือโอกาสชมวิวแบบพาโนรามาของเมืองอุทัยธานี แล้วเดินลงบันไดมานมัสการ หลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเรื่อง ประเพณีตักบาตรเทโว ที่เรารู้จักกันดี

ช่วงเย็นก่อนที่จะไปหาข้าวหาปลากิน เราจะแวะไปเดินเล่นและหาซื้อของพื้นบ้านอุทัยธานี ที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา ที่ทางเทศบาลร่วมกับชุมชนชาวอุทัยจัดให้มีทุกวันเสาร์ โดยชาวบ้านนำของมาขายและเป็นพื้นที่สำหรับให้เด็กๆ และเยาวชนมาแสดงความสามารถด้านศิลปะและดนตรี ที่นี่มีของกินอร่อยๆหลายอย่าง ทุกครั้งที่ไปเขาจะจัดโต๊ะให้นั่งกลางถนน บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็จะเอาอาหารการกินมาให้รับประทาน โดยเฉพาะเป็ดพะโล้ร้านเม้งของเฮียเม้ง ที่กินกันมากว่า 30 ปี ตกเย็นไปกินอาหารร้านเชลล์ชวนชิมซึ่งมีหลายร้าน เช่น ร้านเฟรชชี่ มี แกงส้มแตงโมอ่อนกับปลาย่าง ปลาแรดทอดกระเทียมพริกไทย ปลาแรดสองหน้า ยำผักหวาน เต้าหู้อบหม้อดิน หรือจะไปร้านทิดเทือง ตรงปากทางเข้าเมืองอุทัย มียำหัวปลี กับปลาร้าสับ และอาหารอื่นๆ อีกมากมาย

อิ่มหนำสำราญก็กลับมาพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ต่อไป พูดถึงที่พักก็มีให้เลือกมากมายตั้งแต่โรงแรมระดับ 5 ดาว ไปจนถึงรีสอร์ตริมน้ำ เช่น โรงแรมไอยรา โรงแรมห้วยขาแข้งเชษฐ์ศิลป์ โรงแรมริเวอร์วิวรีสอร์ท คันทรี่เลครีสอร์ท และโฮมสเตย์อีกมากมาย 

สำหรับอาหารเช้าจะไปกินที่ร้านโกตี๋ในเมือง เพราะเรารู้ใจและกินกันมานาน ของอร่อยที่กินเป็นประจำ คือ ข้าวมัน-ไก่ตอน แพะน้ำแดง ต้มจืดมะระหมูสับ หมูสะเต๊ะ

ถ้ามาอุทัยธานีแล้วไม่ได้ล่องเรือในแม่น้ำสะแกกรัง ก็จะไม่รู้ว่าวิถีชีวิตของชาวแพแถบนี้เขามีความเป็นอยู่อย่างไร วันสุดท้ายก่อนกลับ เราจะไปดูหมู่บ้านลอยน้ำ หรือชุมชนชาวแพ เขาจะสร้างบ้านบนแพแทนเสาเรือน ประกอบอาชีพเลี้ยงปลาในกระชัง มีปลาแรด ปลาสวาย ปลาเทโพ แล้วยังเอาปลาตัวเล็กตัวน้อยมารมควันเป็นปลาแห้ง ปลาย่าง ปลาแดดเดียว ขายเป็นสินค้า OTOP ของดีอุทัยธานี บางครอบครัวปลูกผักบุ้ง ผักกระเฉดขายเป็นกอบเป็นกำ มีรายได้เลี้ยงครอบครัวมาจนทุกวันนี้

เรือจะล่องไปตามสายน้ำพร้อมอาหารกลางวัน แบบบ้านๆ เมนูปลาหลากหลายชนิด ที่เจ้าของเรือจัดให้อย่างเอร็ดอร่อย จะลงเรือริเวอร์ครุยส์ของคุณวีระ จุคนได้ 40-50 คน หรือแพสะแกกรังกู๊ดวิลขนาดใหญ่จุคนได้ 100-150 คน ของครูเสถียร แผ่วัฒนากุล ก็เลือกได้ตามชอบใจ

ช่วงบ่ายก่อนกลับอย่าลืมซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน แต่ขอบอกก่อนว่าของฝากที่อุทัยธานีมีหลายอย่างมาก เช่น ยาหอมซามิ้นจากร้านขายยาซามิ้น ยาหอมตราทับทิมของหมอวิรัติ ขนมปังสังขยาร้านไพพรรณต้นตำรับขนมปังสังขยาของอุทัย หมูทุบไพศาลที่สะพานยาว กระยาสารทแม่สมหมาย ข้าวเกรียบปลา กรายแม่ป๋วยลั้ง หรือไปแวะที่ ศูนย์ OTOP เยื้องโรงแรมไอยรา ซื้อน้ำพริกแมงดาป้าใจ ปลาร้าและขนมกงหนองแก ยอขะแม (หมูยอ) ผ้าไหมโคกหม้อผ้าทอบ้านไร่ มีดพับ หัวเข็มขัด และ เครื่องประดับงาช้าง กรรไกรตัดกิ่งไม้ที่ทำด้วยเหล็กชั้นดี เสื้อสำเร็จรูปกลุ่มแม่บ้าน รองเท้าหนังแท้ราคาถูก และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอีกมากมายเลือกได้ตามกำลังทรัพย์