จางเจี่ยเจี้ย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนานตอนกลาง ค่อนมาทางใต้ของประเทศจีน เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษและโดดเด่นด้านทัศนียภาพ ภูเขา แม่น้ำ ถ้ำ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 264 ตารางกิโลเมตร และ 97.7% ของพื้นที่เป็นป่าไม้
เราเดินทางโดยสายการบินไทยไปลงที่กวางเจา ซึ่งเป็นจุดหมายแรกที่จะต่อเครื่องบินภายในประเทศบินไปจางเจี่ยเจี้ย ระหว่างรอขึ้นเครื่องเป็นเวลาอาหารค่ำพอดี คณะของเรามีทั้งหมด 30 กว่าคน จึงนั่งรถโค้ชเข้าเมืองไปกินอาหารเย็นแบบกวางเจา ที่ภัตตาคารเก่าแก่ที่เคยกินทุกครั้งที่มากวางเจา ชื่อ ภัตตาคารป้านสี่ ซึ่งมีชื่อเสียงมากว่าร้อยปี รสชาติและเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง เช่น ไก่นึ่งจิ้มซีอิ๊วขาว ขอบอกก่อนว่า ไม่มีที่ไหนในโลกที่ทำซีอิ๊วขาวอร่อยเท่าที่กวางเจา ที่ว่าอร่อยคือมีความหอมและเค็มกำลังดี จะนำไปปรุง หรือจิ้มกับอาหารอะไรมันชูรสชาติของอาหารจานนั้นให้อร่อยตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย ซื้อกลับมาหนึ่งหีบค่อยๆ กินอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้หมดเดี๋ยวจะเดือดร้อนต้องบินไปซื้อถึงกวางเจา
นอกจาก ไก่แล้วก็มีของขึ้นชื่ออีกคือ ห่านตัวโตย่างหนังกรอบจิ้มบ๊วยเจี่ย หมูแดงติดมันนิดหน่อย ปลาทอดราดซีอิ๊ว ผัดผักตามฤดู กุ้งแม่น้ำตัวเล็กๆ นึ่งจิ้มซีอิ๊ว และอาหารอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่เมนูตบท้ายที่อยากบอกคือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นกลาง ทำมาจากแป้งแห้ว มีความหนานิดหน่อย แต่เหนียวนุ่มมาก เขาเอามาผัดซีอิ๊วธรรมดา แบบก๋วยเตี๋ยวถังแตก ไม่ใส่เนื้อสัตว์อะไรเลย แต่หอมซีอิ๊วเหลือเกิน กินจนเกลี้ยงเดี๋ยวนี้ยังฝันถึงอยู่เลย
เราขึ้นเครื่องบินมาที่เมืองจางเจี่ยเจี้ย ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เข้าพักที่โรงแรมวูลิงหยวน เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในเครือพูลแมน ที่มีห้องหับและเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่น่าเชื่อเลยว่า จางเจี่ยเจี้ยซึ่งเป็นเมืองที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เพิ่งจะมาเปิดตัวให้โลกรู้เมื่อหนังเรื่องอวตารออกฉาย จะมีโรงแรมดีๆ หลายแห่ง ได้ทราบมาว่า รัฐบาลจีนทุ่มเงินหลายร้อยล้านหยวนพัฒนาปรับปรุงทั่วบริเวณเมือง ตัดถนนหนทางไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวและยังดูแลเรื่องสาธารณูปโภค ความปลอดภัยและบริการต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้คนจีนและคนต่างชาติมาท่องเที่ยวที่เมืองนี้มากๆ เชื่อว่าไม่เกิน 2-3 ปีนี้ จางเจี่ยเจี้ย คงเจริญไม่แพ้เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของจีน
ก่อนจะไปชมสถานที่ต่างๆ ในจางเจี่ยเจี้ย ขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า แหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปอยู่ในอุทยานแห่งชาติทั้งหมด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองจึงสะดวกในการเดินทาง ผู้ที่เข้าชมจะต้องปฏิบัติตามกฎของอุทยาน คือ ไม่อนุญาตให้รถทุกชนิดเข้าไปในอุทยาน เขาจะจัดรถและคนขับที่ชำนาญเส้นทางให้นักท่องเที่ยวนั่งไปชมสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งวัน แบบรถขับวนทั่วอุทยาน ใครจะไปเที่ยวตรงไหนก็ขึ้นรถไป ใครอยากจะกลับลงมาก็มาขึ้นรถตามจุดที่จัดไว้ให้จนกว่าจะหมดเวลา แต่ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่จะเข้าอุทยานต้องซื้อบัตรผ่านประตูราคา 245 หยวนต่อคน ประมาณ 1,225 บาท บัตรนี้สามารถใช้ได้ 2 วัน คือ ถ้าเราตั้งใจจะเที่ยวชมทุกๆ แห่งในอุทยานอาจจะต้องใช้เวลาถึง 2 วัน
เราขึ้นเครื่องบินมาที่เมืองจางเจี่ยเจี้ย ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เข้าพักที่โรงแรมวูลิงหยวน เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในเครือพูลแมน ที่มีห้องหับและเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่น่าเชื่อเลยว่า จางเจี่ยเจี้ยซึ่งเป็นเมืองที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เพิ่งจะมาเปิดตัวให้โลกรู้เมื่อหนังเรื่องอวตารออกฉาย จะมีโรงแรมดีๆ หลายแห่ง ได้ทราบมาว่า รัฐบาลจีนทุ่มเงินหลายร้อยล้านหยวนพัฒนาปรับปรุงทั่วบริเวณเมือง ตัดถนนหนทางไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวและยังดูแลเรื่องสาธารณูปโภค ความปลอดภัยและบริการต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้คนจีนและคนต่างชาติมาท่องเที่ยวที่เมืองนี้มากๆ เชื่อว่าไม่เกิน 2-3 ปีนี้ จางเจี่ยเจี้ย คงเจริญไม่แพ้เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของจีน
ก่อนจะไปชมสถานที่ต่างๆ ในจางเจี่ยเจี้ย ขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า แหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปอยู่ในอุทยานแห่งชาติทั้งหมด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองจึงสะดวกในการเดินทาง ผู้ที่เข้าชมจะต้องปฏิบัติตามกฎของอุทยาน คือ ไม่อนุญาตให้รถทุกชนิดเข้าไปในอุทยาน เขาจะจัดรถและคนขับที่ชำนาญเส้นทางให้นักท่องเที่ยวนั่งไปชมสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งวัน แบบรถขับวนทั่วอุทยาน ใครจะไปเที่ยวตรงไหนก็ขึ้นรถไป ใครอยากจะกลับลงมาก็มาขึ้นรถตามจุดที่จัดไว้ให้จนกว่าจะหมดเวลา แต่ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่จะเข้าอุทยานต้องซื้อบัตรผ่านประตูราคา 245 หยวนต่อคน ประมาณ 1,225 บาท บัตรนี้สามารถใช้ได้ 2 วัน คือ ถ้าเราตั้งใจจะเที่ยวชมทุกๆ แห่งในอุทยานอาจจะต้องใช้เวลาถึง 2 วัน
ดังนั้น บัตรผ่านประตูเราต้องเก็บเอาไว้ให้ดี เพราะจะต้องใช้ประกอบการสแกนนิ้วมือทั้งขาเข้าและขาออก การสแกนนิ้วมือจะทำให้ทราบว่านักท่องเที่ยวกลับออกมาจากอุทยานครบทุกคนหรือไม่ หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุมีคนตายจะได้ทราบว่าใคร เพราะมีลายนิ้วมือบ่งบอก
จุดแรกที่เราไปชม คือ ระเบียงภาพเขียน 10 ลี้ จะมีรถไฟฟ้าขบวนเล็กๆ หลังคาเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิว 360 องศา วิ่งลัดเลาะไปตามไหล่เขาและช่องแคบๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามแปลกตา มองเห็นยอดเขาหน้าตาพิสดารสูงเสียดฟ้าและหินยักษ์ที่มีรูปร่างลักษณะต่างๆ มากกว่า 200 ลูก ด้านล่างมีลำธารไหลผ่านคดเคี้ยวไปตามเส้นทางรถไฟฟ้า เราต้องจินตนาการว่า เรากำลังดูภาพเขียนของศิลปินมีชื่อของจีน เป็นภาพธรรมชาติของจริง ที่งดงามปรากฏเป็นทางยาว จึงได้ฉายาว่า "ระเบียงภาพเขียน 10 ลี้"
จากนั้นเราเดินทางไปขึ้น ลิฟต์แก้วไป่หลงที่มีความสูง 326 เมตร สูงขนาดตึก 100 ชั้น สูงที่สุดในเอเชีย นึกดูก็แล้วกันว่า ถ้าไม่ใช่ประเทศจีนใครที่ไหนจะมีปัญญาสร้างได้ ที่เราต้องขึ้นลิฟต์ เพราะเราจะขึ้นไปบนยอดเขาจักรพรรดิที่สูง 1,250 เมตร มีเนื้อที่ 65 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยชะง่อนผาสูงชัน ลำห้วย เหวลึก ป่าหินยักษ์รูปร่างหน้าตาเหมือนจอมปลวก ที่แทงยอดเสียดฟ้า เมื่อขึ้นมาแล้วนักท่องเที่ยวทุกคนต้องเดินไปที่สะพานใต้ฟ้า "เทียนเสี้ยนตี้อี้เฉียว" แล้วมองลงไปดูเหวด้านล่าง สำหรับคนที่กลัวความสูง กลัวความเสียว ขอแนะนำว่าไม่ต้องไปดู
จุดชมวิวอีกแห่งที่ต้องไปคือ หวงซือจ้าย หรือเขาสิงโตเหลือง เทือกเขาแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 83,000 ไร่ สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,300 เมตร มีจุดชมวิวเรียงรายลดหลั่นไปตามแนวหน้าผา ที่นี่คือบริเวณธรรมชาติมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของจีน เราจะเห็นยอดเขาวงกตสูงเทียม เมฆปรากฏอยู่เบื้องหน้า
จุดแรกที่เราไปชม คือ ระเบียงภาพเขียน 10 ลี้ จะมีรถไฟฟ้าขบวนเล็กๆ หลังคาเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิว 360 องศา วิ่งลัดเลาะไปตามไหล่เขาและช่องแคบๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามแปลกตา มองเห็นยอดเขาหน้าตาพิสดารสูงเสียดฟ้าและหินยักษ์ที่มีรูปร่างลักษณะต่างๆ มากกว่า 200 ลูก ด้านล่างมีลำธารไหลผ่านคดเคี้ยวไปตามเส้นทางรถไฟฟ้า เราต้องจินตนาการว่า เรากำลังดูภาพเขียนของศิลปินมีชื่อของจีน เป็นภาพธรรมชาติของจริง ที่งดงามปรากฏเป็นทางยาว จึงได้ฉายาว่า "ระเบียงภาพเขียน 10 ลี้"
จากนั้นเราเดินทางไปขึ้น ลิฟต์แก้วไป่หลงที่มีความสูง 326 เมตร สูงขนาดตึก 100 ชั้น สูงที่สุดในเอเชีย นึกดูก็แล้วกันว่า ถ้าไม่ใช่ประเทศจีนใครที่ไหนจะมีปัญญาสร้างได้ ที่เราต้องขึ้นลิฟต์ เพราะเราจะขึ้นไปบนยอดเขาจักรพรรดิที่สูง 1,250 เมตร มีเนื้อที่ 65 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยชะง่อนผาสูงชัน ลำห้วย เหวลึก ป่าหินยักษ์รูปร่างหน้าตาเหมือนจอมปลวก ที่แทงยอดเสียดฟ้า เมื่อขึ้นมาแล้วนักท่องเที่ยวทุกคนต้องเดินไปที่สะพานใต้ฟ้า "เทียนเสี้ยนตี้อี้เฉียว" แล้วมองลงไปดูเหวด้านล่าง สำหรับคนที่กลัวความสูง กลัวความเสียว ขอแนะนำว่าไม่ต้องไปดู
จุดชมวิวอีกแห่งที่ต้องไปคือ หวงซือจ้าย หรือเขาสิงโตเหลือง เทือกเขาแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 83,000 ไร่ สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,300 เมตร มีจุดชมวิวเรียงรายลดหลั่นไปตามแนวหน้าผา ที่นี่คือบริเวณธรรมชาติมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของจีน เราจะเห็นยอดเขาวงกตสูงเทียม เมฆปรากฏอยู่เบื้องหน้า
นอกจากนี้ ยังมียอดเขาสูงนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมา บางลูกมีลักษณะคล้ายบอนไซ บางลูกมีรูปร่างเหมือนดาบเล่มมหึมาปักอยู่ทั่วไป หวงซือจ้ายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยที่สุด เพราะยอดเขานับร้อยเหล่านี้จะมีหมอกบางๆ ปกคลุมสวยงามสุดพรรณนา จึงมีคำกล่าวของคนจีนว่า "งดงามเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์"
เดินจนเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งวัน พอกลับมาถึงโรงแรมคุณโต๊ด หรือคุณสันติ ลีลาทิพย์กุล ของไรน์นิช ทราเวล สั่งปิดห้องนวดให้เฉพาะลูกทัวร์นอนนวดเท้าอย่างสบายอกสบายใจ เพื่อเตรียมเท้าเอาไว้เดินต่อในวันรุ่งขึ้นที่เราจะต้องไปเข้าถ้ำ
เดินจนเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งวัน พอกลับมาถึงโรงแรมคุณโต๊ด หรือคุณสันติ ลีลาทิพย์กุล ของไรน์นิช ทราเวล สั่งปิดห้องนวดให้เฉพาะลูกทัวร์นอนนวดเท้าอย่างสบายอกสบายใจ เพื่อเตรียมเท้าเอาไว้เดินต่อในวันรุ่งขึ้นที่เราจะต้องไปเข้าถ้ำ
ก่อนที่จะไปเข้าถ้ำ จะเล่าเรื่องอาหารการกินที่จางเจี่ยเจี้ยสักนิด อาหารที่นี่เป็นอาหารพื้นบ้าน ส่วนมากจะมีเครื่องเทศและพริกเป็นส่วนผสมหลัก ไม่ว่าจะเป็นพริกแห้ง พริกหยวก หรือพริกชี้ฟ้า ก็เอามาทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น หมู เนื้อ เป็ด และไก่ผัดพริก กระดูกหมูหมักเครื่องเทศทอดกรอบกับพริกแห้งเม็ดเล็ก ขาหมูผัดพริก ปลานึ่งราดพริก ผัดผักต่างๆ อาหารทุกมื้อถูกปากคณะของเรามาก
ถ้ำหวงหลงต้ง หรือถ้ำวังมังกรเหลือง มีความสูงประมาณ 160 เมตร ลึก 1.5 กิโลเมตร ถ้ำนี้แบ่ง เป็น 4 ชั้น ภายในถ้ำมีอ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ลำธารใต้ดิน 2 สาย บึง 4 บึง ห้องโถง 13 ห้อง และระเบียงเดินเที่ยว 90 กว่าแห่ง เรายังได้ลงเรือล่องไปตามธารน้ำใต้ดินไปชมถ้ำต่างๆ ตื่นตาตื่นใจกับหินงอกหินย้อย ที่มีรูปร่างแปลกๆ เช่น หินดาบทอง หินหอกเงิน หินเครื่องดนตรีจีน นับเป็นถ้ำที่โหดที่สุดตั้งแต่เคย เข้าถ้ำในประเทศจีนและที่อื่นๆ เพราะทั้งสูงทั้งลึก มีบันไดมากกว่า 1,000 ขั้น บางช่วงเดินขึ้นบันไดไต่ไปตามไหล่เขาและเหวสูง
อากาศข้างในเย็นสบายไม่อับชื้น แต่ขอโทษทีมองเห็นพรรคพวกเราเดินออกมาจากถ้ำแล้วอดขำไม่ได้ เพราะหลายคนถอดเสื้อหนาวผูกเอว หัวหูเปียกปอนเดินแบบหมดแรง ไต่ถามได้ความว่า เมื่อเข้าไปแล้วต้องเดินหน้าเต็มตัวถอยหลังไม่ได้ จะมีแรงหรือหมดแรง ก็ต้องทนเดินไปตามทางวนไปวนมาเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย เล่นเอาเข็ดขยาดถ้ำไปตามๆ กัน แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "คุ้มจริงๆ"
จุดท่องเที่ยวสุดท้ายที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกันคือ เขาเทียนเหมินซาน หรือภูผาประตูสวรรค์ ต้องขึ้นกระเช้าที่มีความยาว 7.5 กิโลเมตร สูงจากพื้นดิน 1,279 เมตร ระหว่างทางเราจะได้ เห็นทัศนียภาพของภูมิประเทศจากพื้นราบสู่แนวขั้นบันไดที่สูงขึ้น มองเห็นเส้นทางที่คดเคี้ยว 99 โค้ง เลียบหน้าผาสูงชัน เมื่อขึ้นถึงด้านบน เราจะได้ชมความงามของภูผานับร้อยยอด และถ้าอยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ต้องเดินขึ้นบันได 999 ขั้น ไปยืนถ่ายรูปที่ช่องเขาประตูสวรรค์ จึงจะถือว่ามาเที่ยวจางเจี่ยเจี้ย ครบถ้วนกระบวนความ
ถ้ำหวงหลงต้ง หรือถ้ำวังมังกรเหลือง มีความสูงประมาณ 160 เมตร ลึก 1.5 กิโลเมตร ถ้ำนี้แบ่ง เป็น 4 ชั้น ภายในถ้ำมีอ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ลำธารใต้ดิน 2 สาย บึง 4 บึง ห้องโถง 13 ห้อง และระเบียงเดินเที่ยว 90 กว่าแห่ง เรายังได้ลงเรือล่องไปตามธารน้ำใต้ดินไปชมถ้ำต่างๆ ตื่นตาตื่นใจกับหินงอกหินย้อย ที่มีรูปร่างแปลกๆ เช่น หินดาบทอง หินหอกเงิน หินเครื่องดนตรีจีน นับเป็นถ้ำที่โหดที่สุดตั้งแต่เคย เข้าถ้ำในประเทศจีนและที่อื่นๆ เพราะทั้งสูงทั้งลึก มีบันไดมากกว่า 1,000 ขั้น บางช่วงเดินขึ้นบันไดไต่ไปตามไหล่เขาและเหวสูง
อากาศข้างในเย็นสบายไม่อับชื้น แต่ขอโทษทีมองเห็นพรรคพวกเราเดินออกมาจากถ้ำแล้วอดขำไม่ได้ เพราะหลายคนถอดเสื้อหนาวผูกเอว หัวหูเปียกปอนเดินแบบหมดแรง ไต่ถามได้ความว่า เมื่อเข้าไปแล้วต้องเดินหน้าเต็มตัวถอยหลังไม่ได้ จะมีแรงหรือหมดแรง ก็ต้องทนเดินไปตามทางวนไปวนมาเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย เล่นเอาเข็ดขยาดถ้ำไปตามๆ กัน แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "คุ้มจริงๆ"
จุดท่องเที่ยวสุดท้ายที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกันคือ เขาเทียนเหมินซาน หรือภูผาประตูสวรรค์ ต้องขึ้นกระเช้าที่มีความยาว 7.5 กิโลเมตร สูงจากพื้นดิน 1,279 เมตร ระหว่างทางเราจะได้ เห็นทัศนียภาพของภูมิประเทศจากพื้นราบสู่แนวขั้นบันไดที่สูงขึ้น มองเห็นเส้นทางที่คดเคี้ยว 99 โค้ง เลียบหน้าผาสูงชัน เมื่อขึ้นถึงด้านบน เราจะได้ชมความงามของภูผานับร้อยยอด และถ้าอยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ต้องเดินขึ้นบันได 999 ขั้น ไปยืนถ่ายรูปที่ช่องเขาประตูสวรรค์ จึงจะถือว่ามาเที่ยวจางเจี่ยเจี้ย ครบถ้วนกระบวนความ
ขอขอบคุณไรน์นิชทราเวล ที่พามาดูเมืองอวตารจางเจี่ยเจี้ยของจริง