การเดินทางไปเกียวโตครั้งนี้ ก็เพื่อชมความงดงามของวัดคิงกะกุ หรือวัดโระคุองจิ แต่คนที่ไปเที่ยวมักจะเรียกวัดนี้ว่า วัดทอง ที่มีศาลาทองเป็นจุดเด่นของวัด ตั้งอยู่กลางสระน้ำกว้างใหญ่ เมื่อมองไปจะเห็นเงาสะท้อนของน้ำ เห็นภาพวัดทองเหลืองอร่ามตัดกับต้นไม้สีเขียวสวยงามจับตา
วัดนี้เคยเป็นที่อยู่ของเณรน้อยเจ้าปัญญา "อิกคิวซัง" ที่เรารู้จักกันดีในโทรทัศน์ ในอดีตวัดนี้ถูกเผาแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่หมดทั้งหลัง สวยงามเหลืองอร่ามเพราะเอาทองคำมาปิดไว้ทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณและของมีค่าอื่นๆ หลังวัดเป็นเนินเขาตกแต่งบริเวณด้วยสวนหิน ลำธาร และต้นไม้ตามสไตล์ญี่ปุ่น นึกดูก็แล้วกันว่าการเดินขึ้น-ลงเนินเขาจะเมื่อยขาขนาดไหน
เท่านั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นพวกเราต้องตะกายพาสังขารเดินขึ้นเขาสูงชัน เพื่อไปวัดที่มีอายุเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง คือ วัดคิโยมิซึ (Kiyomizu) วัดนี้มีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา และระเบียงใหญ่ยื่นชะโงกเหนือหุบเหวมองเห็นแต่ไกล เมื่อขึ้นมายืนบนระเบียงสามารถมองเห็นวิวของเกียวโตได้รอบด้าน ใครมาเกียวโตแล้วไม่ได้มาวัดแห่งนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเกียวโต แต่ที่พวกเราชอบมากที่สุดและทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง คือ การได้ช็อปปิ้งของที่ระลึกสองข้างทางระหว่างเดินลงจากเขา มีสารพัดของที่น่าสนใจ เช่น ชุดกิโมโน ร่มคันเล็กๆ พวงกุญแจ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของกินเล่น และที่ขาดไม่ได้ คือ ขนมแป้งห่อถั่วและถั่วห่อแป้ง (ขนมโมจิ) สัญลักษณ์ของญี่ปุ่น ที่มีรสชาติแตกต่างกันไป พร้อมทั้งหีบห่อที่วิลิศมาหรา ทำให้ขนมมีราคาแพงตามกระดาษที่ห่อ
ก่อนกลับเราได้ไปดู หมู่บ้านซามูไร (SAMURAI VILLAGE KYOTO STUDIO PARK) เป็นสตูดิโอสำหรับถ่ายหนังเกี่ยวกับซามูไร-นินจา ภายในจำลองหมู่บ้านซามูไรไว้เหมือนของจริง มีทั้งบ้านเก่า ร้านค้า สะพาน ทางเดินที่เลียนแบบโบราณ เดินไปเดินมาก็ไปจ๊ะเอ๋กับนินจา-ซามูไร แต่งตัวเต็มยศถือดาบซามูไรคม กริบทำท่าจะมาฟันเรา ทำให้ตกใจได้เหมือนกัน แต่สำหรับสาวๆ ในชุดกิโมโนที่เดินไปมา เพื่อให้เราถ่ายรูป ทำให้นึกว่ากำลังเดินอยู่ในสมัยเอโดะยังไงยังงั้นเลย เรายังได้ชมการแสดงของนินจาฮาโตริด้วย สนุกมาก